คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ฉันได้ยินมาว่าคนญี่ปุ่นบางคนแปลกใจที่ทำไมคนไทยเชื่อเรื่องผีกันนัก นอกจากจะกลัวจริงจังแล้ว ก็ยังกลัวกันทุกวัยตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่เสียอีก มาคิดดูแล้วฉันรู้สึกว่าเรื่องผีสำหรับคนไทยเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน และแทบทุกคนก็เคยได้ยินเรื่องเจอผีทั้งจากคนใกล้และไกลตัวเสมอ แต่ฉันกลับแทบไม่เคยได้ยินคนญี่ปุ่นเล่าเรื่องผีให้ฟังเลย
คนไทยกลัวผีกันเยอะกว่าที่คนญี่ปุ่นคิด
คนญี่ปุ่นที่เคยมาอาศัยในเมืองไทยเล่าว่า คนไทยทั้งหญิงชายจำนวนมากกลัวผีขนาดหนัก ทำให้คนไทยบางคนไม่สามารถพักเดี่ยวในโรงแรมได้ กระทั่งคนที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวหรืออายุมากแล้วก็ยังกลัว
มีอีกคนเล่าว่าเขาเคยคบกับสาวไทย แล้ววันหนึ่งไปหาแฟนที่ห้อง กลับเจอหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง เขาก็ตกใจว่าหมอนี่ใครกัน พอคุยโทรศัพท์กับแฟน ก็ได้ความว่าหนุ่มแปลกหน้าคือ “น้อง” ที่ก่อนนี้ฝ่ายหญิงบอกเขาแล้วว่าจะมาอยู่ที่บ้านด้วย ซึ่งเหตุผลที่น้องชายมาอยู่ด้วยคือ “กลัวผี” (รายละเอียดไม่ได้เล่าไว้ เดาว่าบ้านที่น้องชายอยู่ก่อนนี้อาจจะมีผีหรืออะไร) หนุ่มญี่ปุ่นก็ไม่เชื่อ บอกว่าอายุ 20 แล้วเนี่ยนะ กลัวผีอะไรกัน
สุดท้ายเขาก็เลิกกับสาวไทยคนนี้ ซึ่งต่อมาพอเขาอยู่เมืองไทยนานขึ้นก็ได้รู้จักคนไทยมากขึ้น จึงเล่าเรื่องนี้ให้คนไทยคนอื่นฟังขำๆ ปนเศร้า และแล้วเขาก็ได้เริ่มรู้ว่าอาการกลัวผีเป็นเรื่องปกติในหมู่คนไทยหลายคน และแฟนเก่าเขาก็ดูท่าจะพูดจริงเรื่องที่น้องชายกลัวผี
คนไทยที่ไม่กล้านอนคนเดียวแม้โตแล้ว
คราวก่อนที่ฉันกลับไปเมืองไทย มีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมค่ายแห่งหนึ่งซึ่งให้ทุกคนนอนห้องเดี่ยวกันหมด ในใบสมัครมีให้ตอบคำถามด้วยว่าสามารถนอนคนเดียวได้หรือไม่ ซึ่งถ้านอนคนเดียวไม่ได้คงหมดสิทธิสมัคร รุ่นน้องฉันคนหนึ่งไม่กล้านอนคนเดียวจึงไม่ได้สมัครมา พี่วัยห้าสิบคนหนึ่งก็สารภาพเหมือนกันว่าเธอกลัวผี ไม่อยากนอนคนเดียว แต่ก็กลั้นใจมาจนได้
ส่วนฉันเองทีแรกก็ลังเลเหมือนกัน แต่คิดว่าอยู่ห้องเดี่ยวมีอิสระกว่า แล้วอยากไปค่ายนี้มาก เลยลองสู้ดูสักตั้ง และสุดท้ายแล้วตลอด 1 สัปดาห์ของการนอนเดี่ยวก็ทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นเยอะเลย
เรื่องของเรื่องคือบางครั้งประสาทสัมผัสฉันก็ชอบทำงานดีเกิน เลยไปรับรู้เรื่องข้างนอกที่ไม่ได้อยากจะรู้ เพื่อสร้างความอุ่นใจฉันก็เลยเตรียมของจากบ้านให้พร้อม ทั้ง white noise machine ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปล่อยเสียงซ่าๆ เอาไว้กลบเสียงในอากาศ (เช่น เสียงเพื่อนบ้านคุย เสียงนกร้องไก่ขัน เสียงรถขยะ) และช่วยให้หลับดีขึ้น ฉันจะได้ไม่เผลอตื่นมาเพราะได้ยินเสียงแปลกๆ รวมทั้งเอาผ้าปิดตาไปด้วย เผื่อตื่นมากลางดึกจะได้ไม่ลืมตามาแล้วจินตนาการไปต่างๆ นานา
พอเข้าห้องพัก ฉันก็จัดการลากเตียงมาชิดผนัง เอาหมอนหลายใบมาตั้งไว้รอบที่นอนราวกับจะสร้างป้อมปราการ (เป็นเอามาก) มันก็ตลกดีนะคะที่คิดว่าของแบบนี้จะช่วยปกป้องเราจากสิ่งที่มองไม่เห็นได้ บางคนก็ใช้วิธีคลุมโปงเอา แต่มันมีหนังผีญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ผีเล่นโผล่มาจากผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่นั่นแหละ เป็นฉากที่สะท้านสะเทือนจิตมากค่ะ ทำให้รู้สึกว่าผ้าห่มไม่อาจใช้ป้องกันภัยได้อีกต่อไป (หัวเราะ) แต่เอาเข้าจริงฉันว่าถ้าใครจะได้เจอก็ได้เจอ ถ้าจะไม่ได้เจอก็ไม่ได้เจออยู่ดี
ที่น่าประหลาดใจคือเวลาไปต่างประเทศไม่ค่อยรู้สึกกลัวผีเท่าไหร่ มันจะเป็นเอามากก็ตอนอยู่เมืองไทยนี่แหละค่ะ อาจเพราะบ้านเราให้บรรยากาศมากกว่าหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่อก่อนตอนอยู่ไทยฉันต้องให้น้องหมาสองตัวมานอนเป็นเพื่อน (เป็นเอามากค่ะ ถึงขนาดเอาหมามากันผี!) นึกแล้วก็ยังขำตัวเองอยู่เลย ตอนนั้นก็กังวลเหมือนกันว่า ถ้าเกิดจู่ๆ มันพากันหอนขึ้นมาทั้งคู่กลางดึกแล้วฉันจะทำอย่างไร
เรื่องแปลกที่เจอในญี่ปุ่นและอเมริกา
อยู่ญี่ปุ่นกับอเมริกาไม่ค่อยเจออะไรมากเท่าตอนอยู่เมืองไทย แต่ก็มีบ้าง ขอเล่าให้ฟังเฉพาะเรื่องเบาๆ ก็แล้วกันค่ะ ตอนนั้นฉันอยู่ตามลำพังในอพาร์ตเมนต์ที่ญี่ปุ่น กำลังนั่งทำอะไรเพลินๆ อยู่ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง ฉันก็ตกใจ พยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นกลิ่นจากข้างนอก แต่พอเปิดหน้าต่างดูพบว่าข้างนอกอากาศสดชื่นดี ในบ้านก็ไม่น่าจะมีหนูตายแน่ๆ
เบื้องหน้าฉันในเวลานั้นมีพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุบนหิ้งพระ ฉันจึงรีบสวดมนต์ทันที แต่สวดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเลยยอมแพ้ ทำเป็นไม่สนใจเสีย ภายหลังครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้อย่าไล่เขาว่าให้ไปที่ชอบๆ หรือไปสวดมนต์ไล่เขานะ คนที่เขาจะมาหาเราได้นั้นต้องเคยเป็นญาติเรามาก่อน เขากำลังเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ จึงมาหาเรา อย่าไปไล่เขา เมตตาเขาไว้ ให้แผ่ส่วนบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป
พอมาอยู่อเมริกา คืนหนึ่งระหว่างฉันงัวเงียลุกขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำ ก็ได้กลิ่นลักษณะเดิมอีก พอนึกสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ก็เลยอธิษฐานในใจว่า “บุญใดที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมไว้ดีแล้วตลอดทั้งสังสารวัฏนี้ ขอทุกท่านได้มีส่วนในบุญนั้นทุกประการ” พอจบคำอธิษฐานปุ๊บ กลิ่นนั้นก็หายวับไปทันที
ถ้าถามว่าตอนนั้นฉันกลัวหรือเปล่าก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่เลย คือพอเปลี่ยนมุมมองจาก “สิ่งน่ากลัว” เป็น “สิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ” ความรู้สึกก็เปลี่ยนจากความกลัวกลายเป็นความปรารถนาที่จะช่วย และพอได้เจอประสบการณ์นี้ด้วยตัวเองเลยเกิดความเข้าใจใหม่ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยกลัวผีน้อยลงมาก
เรื่องผีๆ สำหรับคนญี่ปุ่น
นานมาแล้วฉันเคยเล่าให้เพื่อนญี่ปุ่นฟังว่ากลัวผี เขาหัวเราะใหญ่ ตอนนั้นเรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ เขาบอกว่าถ้าผีมีจริงป่านนี้วิญญาณของสัตว์ที่เรากินก็วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวแล้วสิ
ที่จริงฉันเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านพูดคล้ายๆ เรื่องนี้อยู่ครั้งหนึ่งค่ะ ท่านบอกว่าใช้พวกกระเป๋าหนังสัตว์นี่ไม่ดีนะ ถ้ามีหูมีตาจะรู้เลยว่าเขาวนเวียนอยู่รอบๆ เพราะเขาตายทรมาน (ที่ฉันเคยได้ยินมาคือสัตว์เหล่านี้ถูกถลกหนังทั้งเป็น)
คนญี่ปุ่นคนหนึ่งเล่าว่า ที่ญี่ปุ่นนั้นในหน้าร้อนพวกเด็กวัยเรียนจะชอบเล่นเกมทดสอบความกล้ากันตอนกลางคืน โดยให้เดินเดี่ยวหรือเป็นคู่ไปตามทางที่มืดน่ากลัว หรือไม่ก็ในอาคารเรียนตอนมืดๆ และบางคนก็แอบซุ่มอยู่กลางทางแกล้งเพื่อนด้วย เขาบอกว่าถ้าเป็นคนไทยคงมองว่าคนญี่ปุ่นหาเรื่องใส่ตัว เพราะเชื่อว่าขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวจะมีอะไรตามกลับมาด้วยจริงละยุ่งเลย
หน้าร้อนที่ญี่ปุ่นยังมีรายการเล่าเรื่องผีทางโทรทัศน์ด้วย โดยผู้ชมพากันส่งเรื่องเข้ามา แล้วเขาเอามาทำเป็นสตอรี่หลายๆ เรื่อง
ฉันเคยดูอยู่ครั้งหนึ่งพบว่ามันน่ากลัวมากทีเดียว และให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเรื่องผีที่คนไทยเจอเลย แขกรับเชิญในรายการเองดูแล้วก็ยังกลัว แต่กระนั้นก็ดูเหมือนคนญี่ปุ่นโดยภาพรวมจะไม่ได้เชื่อเรื่องผีกันจริงจังเท่าคนไทยอยู่ดี
อย่างมีการวิจัยของญี่ปุ่นชิ้นหนึ่งที่ถามว่าเชื่อเรื่องผีหรือไม่ พบว่ามีคนที่ตอบว่าเชื่อไม่ถึง 50% ส่วนที่คนไทยเชื่อเรื่องผีกันค่อนข้างเยอะอาจเป็นเพราะในทางพุทธมีความเชื่อเรื่องกรรม อีกทั้งเชื่อว่าพอตายไปก็ไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามบุญบาปที่สร้างไว้ ถ้าตายด้วยความโลภหรือใจห่วงพะวงถึงอะไรอยู่ก็ไปเป็นเปรต ตายด้วยโทสะก็ไปนรก เจ้าความคิดเจ้าความเห็นตายไปเป็นอสุรกาย ตายด้วยใจเป็นกุศลก็ไปเป็นเทวดาหรือมนุษย์ อีกทั้งเราคงเคยได้ยินพระท่านเล่าเรื่องกรรมให้ฟังกันมาเยอะเลยรู้สึกว่าเรื่องภพภูมิอะไรเหล่านี้ใกล้ตัวมาก
ส่วนญี่ปุ่นจะไม่ได้มีสิ่งแวดล้อมแบบนี้เลยอาจรู้สึกเป็นเรื่องไกลตัว เว้นแต่เคยสัมผัสได้ด้วยตัวเองก็จะมองอีกแบบ เรื่องพวกนี้จะจริงไม่จริง เชื่อไม่เชื่อ ยกไว้ก่อน ถือว่าวันนี้อ่านเล่นเพลินๆ แล้วกันนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ..
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.