สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว อย่างที่บอกอยู่เสมอ ผมรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วมากเลยครับ เราก้าวผ่านช่วงวิกฤตโควิดที่ทำให้โลกหยุดชะงักไปแบบงงๆ ถ้ายังจำได้เหมือนตอนนั้นเรากังวลกันว่าหลังวิกฤตโควิดแล้วพวกเราจะเป็นอย่างไร หลายคนตั้งความหวังว่าอยากให้โลกสงบสุขเต็มไปด้วยสันติภาพ แต่มันก็มีเหตุการณ์อะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไม่คาดคิดตามข่าวที่เราได้อ่านกัน
ถ้าถามว่าตอนนี้คนญี่ปุ่นกำลังสนใจข่าวอะไรอยู่บ้าง หนึ่งในข่าวที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจตอนนี้คงจะเป็นข่าวของนักสเก็ตน้ำแข็งชื่อดัง 羽生結弦 ยูซุรุ ฮานิว เจ้าของแชมป์โอลิมปิก 2 สมัยและแชมป์โลก 2 สมัย ประกาศหย่ากับภรรยาแล้วหลังเพิ่งแต่งงานเพียง 3 เดือน!! ก็น่าตกใจและคนยังติดตามกันอยู่ครับ แต่จริงๆ ยังมีอีกหลายข่าวซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวเครียด ข่าวเศรษฐกิจ เป็นต้น แต่วันนี้มาคุยเรื่องสภาพอากาศกันดีกว่าครับ
ตอนนี้ที่เมืองไทยเริ่มมีอากาศเย็นๆ ในช่วงเช้า ผมรู้สึกว่าเย็นสบายดี แต่นึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่ค่อยได้ยินข่าวคนไทยร้อนจนเสียชีวิตสักเท่าไหร่ แต่จะได้ยินข่าวว่าคนไทยเสียชีวิตในหน้าหนาวเพราะสภาพอากาศหนาวเย็น อาจจะตามยอดดอยหรือภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือก็แล้วแต่ หรือผู้ที่ไม่มีเครื่องกันหนาวเอย เป็นต้น ตรงกันข้ามกับคนญี่ปุ่นนะครับ จะได้ยินข่าวว่ามีคนเสียชีวิตเนื่องจากอากาศร้อนกันบ่อยๆ ถึงขั้นที่ว่าต้องหามาตรการป้องกันการเสียชีวิตในฤดูร้อนจากโรคลมแดด 熱中症 (heat stroke) นั่นเอง บางทีเด็กๆ เดินไปกลับจากโรงเรียนตอนที่อากาศร้อน ก็เคยมีข่าวว่าเด็กเสียชีวิต คือไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับอายุเลย ก็มีประเด็นน่าสนใจว่าทำไมหน้าร้อนคนญี่ปุ่นถึงเสียชีวิตกันเยอะ!?
พอลองมาดูสาเหตุจากหลายปัจจัย โดยเปรียบเทียบกับวิถีของคนไทย ก็พอจะสรุปออกมาว่าอาจจะเกิดจาก..
◆ คนไทยเลี่ยงการทำงานกลางแดดจัด! ต่างจากคนญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงความร้อนและแสงแดดที่แผดเผาในฤดูร้อน ความร้อนในหน้าร้อนของญี่ปุ่นน่าจะไม่ต่างจากเมืองไทยมาก แต่จะสังเกตเห็นว่าคนไทยมักจะเลี่ยงและไม่ออกไปทำงานกลางแดดจัด ยกตัวอย่างงานก่อสร้างนะครับ ถ้าคนไทยทำงานก่อสร้างหรืองานกลางแจ้งในวันที่อากาศร้อนมากๆ เขาจะไม่ออกไปนอกอาคาร ไม่ออกไปตากแดดนานๆ หรือแม้แต่เกษตรกรจะทำงานในช่วงเช้าตรู่หรือเย็นๆ จะพักผ่อนหรือทำงานในร่มอื่นๆ ในตอนกลางวัน แม้แต่หัวหน้างานในสายงานก่อสร้างก็อนุญาตให้ลูกทีมงดออกแดดจัดที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายในวันที่อากาศร้อนจัดในช่วงกลางวัน โดยให้สลับทำงานอื่น หรือทำล่วงเวลาในตอนกลางคืนแทน หรือบ้างก็รอเวลาให้ความร้อนคลายจึงจะทำงานกลางแจ้งอีกครั้ง
ซึ่งจะต่างจากคนญี่ปุ่นที่จะไม่ค่อยคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้นัก หมายความว่าด้วยความเข้มงวดจริงจังในการทำงานแบบคนญี่ปุ่น แม้งานก่อสร้างในวันที่แดดร้อนจัด เขาก็จะพยายามทำให้เสร็จตามแผนนะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยในช่วงเวลาที่ร้อนมากๆ ก็ยังทำงานกันอยู่อย่างโหด แล้วเวลาทำงานเขาจะใส่ชุดก่อสร้างเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวมิดชิดแต่มันก็อบอ้าวมาก บางครั้งผมเคยได้ยินมาอีกว่าทั้งหัวหน้าทีมจะสั่งให้ลูกน้องแรงงานกินลูกอมที่มีรสเกลือ เพราะเชื่อว่าช่วยป้องกันอันตรายจากความร้อน แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
◆ ความเชื่อแปลกๆ ของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน
โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นสมัยก่อนจะมีความเชื่อแปลกๆ และเป็นความเชื่อที่ผิดสืบต่อๆ กันมาว่า ถ้าทำงานกลางแดดมาเหนื่อยๆ หรือเล่นกีฬากลางแดดจ้ามาเหนื่อยๆ อย่าดื่มน้ำทันที!
แต่ที่จริงคนเราสามารถปรับตัวและรักษาอุณหภูมิร่างกายได้ค่อนข้างคงที่ ไม่ค่อยผันเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม ปกติแล้วอุณหภูมิปกติของร่างกายคนเราจะอยู่ที่ 36-37.5 องศาเซลเซียส และร่างกายคนเราจะพยายามรักษาสมดุลอุณหภูมิของร่างกายเอาไว้ แม้สภาพแวดล้อมภายนอกจะมีสภาพอากาศที่ร้อนเพียงใด แต่สมองจะสั่งการให้หลอดเลือดขยายตัว โดยจะระบายความร้อนออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ ถือได้ว่าร่างกายคนเรามีกลไกในการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับ 37 องศาเซลเซียสบวกลบเล็กน้อยอยู่เสมอนั่นเอง
จากพฤติกรรมและความเชื่อดังกล่าว ทำให้คนญี่ปุ่นหลายคนยังประมาทในการดูแลตัวเองในหน้าร้อน จึงทำให้เป็นโรคลมแดดและเสียชีวิตกันทุกปี แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ระวังและพยายามหามาตรการป้องกันทุกปีก็ตาม ที่เมืองไทยแม้ว่าอากาศจะเย็นในช่วงเช้าแต่กลางวันยังมีอากาศร้อนอยู่ ถ้าอากาศร้อนมากๆ อาจเกิดโรคลมแดด (heat stroke) ได้นะครับต้องระวังไว้ โรคลมแดดเกิดจากการที่เราอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีอากาศร้อนจัดมากๆ แล้วร่างกายระบายความร้อนในตัวเองไม่ทัน ไม่สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิปกติ 37 องศาเซลเซียสได้ จนทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย ขาดน้ำ มีเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว มึนศีรษะ หน้าแดง ไปจนถึงมีอาการมากจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ผมเคยได้ยินคนไทยเสียชีวิตเพราะอากาศหนาว แต่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยเสียชีวิตจากอากาศหนาว อยากรู้ว่าเขามีแนวทางป้องกันและเทคนิคอะไรในชีวิตประจำวันบ้าง? ไว้มีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า วันนี้สวัสดีครับ