ยอมญี่ปุ่นปล่อยน้ำ​โรงไฟฟ้า ไม่ส่งผลเสียคะแนนนิยมผู้นำเกาหลีใต้

เกียวโด​นิวส์​รายงาน ​(8​ ก.ย.)​ การปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิ​มะ​ของญี่ปุ่นไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อความสัมพันธ์โตเกียว-โซล และกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งทั่วไปในเกาหลีใต้ในฤดูใบไม้ผลิหน้า

ตามผลสำรวจในเกาหลีใต้เผยให้เห็นว่า​ พรรคเดโมเครติกฝ่ายค้านที่โจมตีประธานาธิบดียุน ซอกยอล ฐานเห็นชอบกับการปล่อยน้ำ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนในวงกว้าง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อสรุปของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ​ (IAEA) ​ว่าการกระทำของญี่ปุ่นเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก

พัค จุง จิน ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยสึดะ ในโตเกียว กล่าวในการสัมภาษณ์ล่าสุด “พรรคฝ่ายค้านกำลังโจมตีญี่ปุ่นและรัฐบาลยุนด้วยกรณีปล่อยน้ำ แต่ดูเหมือนว่าจะใช้เป็นประเด็นทางการเมือง มากกว่าประเด็นที่ได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ และเป็นยุทธวิธีที่จีนกำลังใช้”

จีนประณามการปล่อยน้ำออกจากโรงงานฟุกุชิมะ ไดอิจิ ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าวว่าไม่เห็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์กับการปล่อยน้ำแม้ว่าจะไม่สนับสนุนหรืออนุมัติก็ตาม

ปาร์คกล่าวถึงการห้ามนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นของปักกิ่งว่า "ปฏิกิริยาของจีนมากเกินไป"

ตามข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่น จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ประมงของญี่ปุ่น ตามมาด้วยฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และเกาหลีใต้

“ในเกาหลีใต้สนใจความปลอดภัยของอาหารทะเล แต่ผมไม่คิดว่าการรณรงค์ต่อต้านกัมมันตภาพรังสีของพรรคเดโมเครติกจะเป็นกระแสยาวจนเลือกตั้งครั้งหน้า​ ที่จะมีในเดือนเมษายน 2567” ปาร์คกล่าว

“เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาก่อนการเลือกตั้ง​ และจุดยืนของปักกิ่งอาจเปลี่ยนไปในแง่ของความสำคัญของความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพรรคฝ่ายค้านที่จะกดดันรัฐบาลเกี่ยวกับ​ปัญหา​นี้” เขากล่าว

ในการสำรวจของเกาหลีใต้ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 กันยายน ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าร้อยละ 70​ คัดค้านหรือกังวลเกี่ยวกับการปล่อยน้ำที่ฟุกุชิมะ ในขณะที่การสำรวจความคิดเห็นของ Gallup Korea แสดงให้เห็นในวันเดียวกับที่อัตราการสนับสนุนพรรเดโมเครติกลดลงร้อยละ 5 จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ร้อยละ 27 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ยุนเข้ารับตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565

ในการสำรวจความคิดเห็นของเรียลมิเตอร์​ (Realmeter)​ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ คะแนนนิยมของยุนลดลง 2.2 จุดจากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 35.4 เมื่อวันที่ 28 ส.ค. เรียลมิเตอร์กล่าวว่า อันดับคะแนนนิยม​ของเขาเพิ่มขึ้น 2 จุดเป็น 37.6 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักมาจากการประเมินเชิงบวกต่อสาธารณชนในการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ณ สถานที่พักผ่อนของประธานาธิบดีแคมป์เดวิด ใกล้กรุงวอชิงตัน

รายงานนักวิเคราะห์ของเรียลมิเตอร์ระบุว่า​ ผลกระทบของการปล่อยน้ำนั้น "ไม่มีนัยสำคัญ" เนื่องจากประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นในการสำรวจครั้งก่อนๆ แล้ว

แม้ก่อนที่จะเริ่มระบายน้ำ คะแนนการสนับสนุนของยุน ยังต่ำอยู่ แต่พรรคเดโมเครติกก็ไม่ได้ผลดีนักในการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้นำ อี แจ มยอง ตกอยู่ภายใต้การสอบสวนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการคอร์รัปชันที่เขาอ้างว่าเป็นข้อกล่าวหาเท็จ

ความสัมพันธ์ระหว่างโตเกียว-โซล
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างโตเกียว-โซล ปาร์คกล่าวว่า ยุนหลีกเลี่ยงการแสวงผลประโยชน์จากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น เช่น การปล่อยน้ำและประวัติศาสตร์ในช่วงสงคราม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ และพยายามส่งเสริมความสัมพันธ์ในบริบทที่กว้างขึ้นเมื่อเผชิญกับสงครามของรัสเซียในยูเครน การพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศจีนและเกาหลีเหนือที่กล้าแสดงออกเปิดเผยมากขึ้น

นักวิชาการอ้างถึงข้อตกลงของยุน นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมสุดยอดแคมป์เดวิดเมื่อวันที่ 18 ส.ค. เพื่อสร้างความร่วมมือระดับไตรภาคีให้เป็นสถาบันเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี​ ในการจัดการสิ่งที่บางคนมองว่าเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ซึ่งยังคงเปราะบางระหว่างสหรัฐฯ กับสองพันธมิตรหลักในเอเชีย

“การจัดให้มีการประชุมเป็นประจำระหว่างผู้นำ รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทั้งสามประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะยกระดับการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น” เขากล่าว

เมื่อถูกถามว่าข้อตกลงแคมป์เดวิดอาจถูกทิ้งตกหรือไม่ หากฝ่ายบริหารหลังยุคยุนมุ่งเน้นไปที่ประเด็นประวัติศาสตร์ และเปิดตัวการรณรงค์ต่อต้านญี่ปุ่น เช่นเดียวกับมุน แจอิน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ปาร์คกล่าวว่า ฝ่ายบริหารชุดปัจจุบันควรกระชับและขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และพื้นที่อื่นๆ กับญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เพื่อให้โซลและโตเกียวสามารถลดข้อพิพาทและเดินหน้าสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป