สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว กำลังเป็นประเด็นร้อนในญี่ปุ่นที่เมนูอาหารกล่องกลางวันข้าวหน้าปลาไหลแต่ไม่มีปลาไหล มีแต่ข้าวสวยและซีอิ๊วหวานราดหน้าเท่านั้น มีวางขายแล้วในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ!
ช่วงนี้เมื่อพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น ไม่รวมอุบัติเหตุและภัยพิบัติ คงมีเพียงหัวข้อเศรษฐกิจฝืดเคืองและความประหยัดมัธยัสถ์หรืออาจจะเรียกว่าการรัดเข็มขัดลดต้นทุนของร้านค้าและคนญี่ปุ่นที่เล่าได้ไม่รู้จบ (´・ω・` )...ที่จริงผมก็อยากเขียนเรื่องตลกเรื่องสนุกสดใสอบอุ่นหัวใจแต่ก็หาหัวข้อยากสักหน่อยครับช่วงนี้...( ́∀` ;) ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้น่าจะเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อเนื่องจากภาวะสงคราม และต้นทุนอาหารที่เพิ่มขึ้นด้วย
ผมเคยคุยกับคนญี่ปุ่นถึงยุครุ่งเรืองในอดีต ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาน่าจะเป็นยุคเศรษฐกิจญี่ปุ่นเฟื่องฟู และร่ำรวยมาก มีเรื่องที่ผมได้ฟังบ่อยๆ คือคนร่ำรวยขนาดที่ว่านั่งเครื่องบินไปกินปู และราเม็งซัปโปโร ที่ฮอกไกโด และบินกลับในวันนั้น รวมถึงยุคที่ได้พบปะกับคนรุ่นหลังผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากสงครามและต้องก่อร่างสร้างตัวจนสร้างญี่ปุ่นยุคเข้มแข็งได้ รุ่นผมคงเป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้ฟังคำสอนจากปากพวกท่านที่สอนและถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆ ให้เป็นข้อคิดเตือนใจ แต่ต่อไปมันคงจะกลายเป็นแค่เรื่องเล่า
ภาพลักษณ์สาธารณะของคนญี่ปุ่นคือดูเป็นคนเงียบ คลั่งไคล้งานของตัวเอง มีความบกพร่องทางการสื่อสาร ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อโกรธ เป็นต้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ คนญี่ปุ่นที่เกิดก่อนสงคราม โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของคนที่ได้รับการศึกษาก่อนสงคราม (ความทรงจำของคามิกาเสะยังคงสดใส และพวกเขาถูกอบรมจนถูกเรียกว่าสัตว์เศรษฐกิจ และแม้ว่าบางครั้งจะถูกดูหมิ่น แต่พวกเขาก็เคยทำให้ญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่..) ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับงานมากกว่าชีวิตส่วนตัว ปัจจุบันงานหนักปานกลางและสภาพแวดล้อมการทำงานมักจะเป็นสีดำ เรียกว่า black เช่น ธุรกิจร้านอาหารที่พยายามคงราคาอาหารจนเรียกได้ว่า ร้านอาหารประเภทครอบครัวมีอาหารราคาถูกและอร่อย
ก่อนวิกฤตโควิด-19 ประเทศญี่ปุ่นดูปลอดภัย สะอาด และสะดวกสบาย นอกจากนี้ การเดินทางในญี่ปุ่นที่ค่อนข้างถูกยังเป็นเรื่องดีอย่างมากสําหรับชาวต่างชาติ จนเกิดคำว่า 爆買い bakugai (คือนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาซื้อของราคาถูก โดยเฉพาะคนจีน และคนไทย ว่ากันว่าการมาซื้อเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ในร้านขายยาที่ญี่ปุ่นที่มีราคาถูกและคุณภาพดีมาก) และในที่สุดก็ตระหนักว่าค่าจ้างคนญี่ปุ่น และราคาของที่คนต่างชาติหยิบจับได้ และอะไรก็ถูกเมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพด้านต้นทุน
นอกจากนี้ยังเกิดคำว่า ซื้อและสูญเสีย 買い負け kaimake คือมีดีมานด์ความต้องการอาหารญี่ปุ่นทั่วโลกสูงมากขึ้นโดยเฉพาะปลา หอย และอาหารซีฟูดต่างๆ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามีความต้องการอาหารญี่ปุ่นและซูชิเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ในตลาดเอเชีย แทนที่วัตถุดิบเหล่านั้นจะถูกใช้สอยบริโภคในญี่ปุ่นกลับกลายเป็นว่าต้องแบ่งไปขายทั่วโลก เกิดการขาดทรัพยากรและแหล่งอาหารจากวิกฤตโควิด-19 และสงครามก็คือสาเหตุเช่นกัน
เมื่อพูดถึงข่าวข้าวหน้าปลาไหล คิดว่าเพื่อนๆ คงเคยได้ยินเมนูข้าวหน้าปลาไหล หรือบางคนอาจจะชอบกินมาก ที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นเมนูราคาแพงเชียวครับ ข้าวหน้าปลาไหลเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยข้าวสวยราดหน้าด้วยเนื้อปลาปลาไหล (อุนะงิ) ย่างและราดซีอิ๊วรสหวานอร่อย แต่นอกจากปลาอุนะงิแล้ว บางแห่งเอาปลาอื่นๆ มาทำการปรุงแบบเดียวกัน เช่น ปลาฮาโมะ ปลาโดโจ ปลาอะนะโกะ (ปลาไหลทะเล) เป็นต้น เมนูข้าวหน้าปลาไหลเป็นที่นิยมอย่างมากที่ญี่ปุ่น และยังอุดมไปด้วยวิตามินเอและอี และกรดไขมันโอเมก้า 3 อีกด้วย
ตั้งแต่ยุคเอโดะมีประเพณียอดนิยมที่จูงใจคนให้กินข้าวหน้าปลาไหลในช่วงฤดูร้อนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางฤดูร้อนที่เรียกว่า โดโย โนะ อุชิ โนะ ฮิ (土用の丑の日, Doyo no Ushinohi) ทำให้คนนิยมรับประทานกันมากตลอดมา แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันนี้มีอาหารกล่องเมนูข้าวหน้าปลาไหลที่มีแต่ซีอิ๊วหวานและกลิ่นปลาไหลย่างขายด้วย!
ที่บอกว่ามีข่าวอาหารกล่องมื้อกลางวันเมนูข้าวหน้าปลาไหล (คาบายากิ) ที่มีแต่ข้าวกับซีอิ๊วหวานรสชาติปลาไหลย่างที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง! ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมกำลังดูข่าวนี้ที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าที่ขายของหรูหราและสินค้าฟุ่มเฟือย! ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องจะเกิดที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้!
ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าจากศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ราคุโกะที่เล่าเรื่องคนที่กินข้าวด้วยกลิ่นปลาไหลย่าง .. มีครอบครัวหนึ่งที่ขี้เหนียวมากๆ เขาบอกว่ามันเป็น "ความหรูหราแบบไดเมียว แค่กินบ๊วยดองหนึ่งลูกต่อวัน" โดยเขาจะนั่งมองบ๊วยดอง ให้รู้สึกเปรี้ยวที่ปากและกินข้าวสวยร้อนๆ ตาม และเมื่อเบื่อบ๊วยดอง จะกินข้าวกับกลิ่นปลาไหลย่าง เพราะครอบครัวนี้อาศัยอยู่ข้างร้านข้าวหน้าปลาไหล และเมื่อถึงเวลากินข้าวก็กินข้าวพร้อมกลิ่นคาบายากิย่างที่โชยออกมาจากร้านข้าวหน้าปลาไหลนั่นเอง แต่เมื่อร้านปลาไหลย่างรู้ ก็บอกให้จ่ายเงินค่ากลิ่น เขาก็จะหยิบกระเป๋าเงินออกมา ทำเป็นจ่ายเงินค่าข้าวหน้าปลาไหล โดยโยนเหรียญให้เป็นเสียงตกกระทบแต่ไม่ได้จ่ายเงินจริง จากนั้นร้านก็เปลี่ยนทิศทางของกลิ่นและนำไปใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าแทน เป็นเรื่องราวที่คนชื่นชอบและประทับใจกันมาก และยังช่วยกันเสนอวิธีอีกหลายวิธีในการประหยัดเงิน เช่น วิธีทําน้ำซุปสต๊อกโดยไม่ต้องซื้อเกล็ดปลาโบนิโตะ เป็นต้น
ตอนนี้คนญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์เป็นคนมัธยัสถ์ มีความประหยัดหรือเริ่มเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่ยอมจ่ายง่ายๆ หรือถึงขั้นเหนียวหนืดจนเรียกว่าขี้เหนียวไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่ต้องรัดเข็มขัดอย่างมากท่ามกลางเศรษฐกิจเช่นนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ของแพงขึ้น และได้ของที่มีปริมาณลดลง ในขณะที่เงินเดือนเท่าเดิมและมีภาระมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพยายามฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ วันนี้เล่าสู่กันฟัง พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ