สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว ถ้าจะคุยประเด็นที่ว่าทำไมบริษัทญี่ปุ่นจึงรับพนักงานที่จบชั้นมัธยมปลายมาทำงานแบบเดียวกับคนเรียนจบมหาวิทยาลัย แถมมีส่วนทำให้พนักงานเหล่านี้เขม่นกันเอง ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนมาก แทบจะไม่เอามาพูดกันสักเท่าไร แม้ว่าผมได้เรียนรู้พุทธศาสนาเถรวาทที่ยอดเยี่ยมในประเทศไทย ( -人- ) ที่บอกว่ามนุษย์มีคุณค่าเท่าเทียมกันและไร้ค่าไม่แพ้กัน ทำให้ผมคิดว่าการปฏิบัติต่อหน้าที่การงานก็ควรตัดสินใจอย่างเป็นธรรมด้วยความสามารถและความรับผิดชอบ (แน่นอนว่าการศึกษาสูง ก็มีฐานเงินเดือนสูงกว่าแม้จะไม่มากนักถ้าเข้ามารุ่นเดียวกัน) เราจะพบเห็นเรื่องราวแบบนี้ได้ในบริษัทญี่ปุ่น
วันนี้ผมจะพูดถึงประเด็นนี้เท่าที่พอพูดได้ คนต่างชาติที่ทำงานที่บริษัทญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเองที่ทำงานในบริษัทมานานทุกคนที่เข้ากันได้ดี เพราะเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทุกคนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าบริษัท หรือองค์กร เช่น แพทย์ วิศวกรอาวุโส การให้คำปรึกษา ทนายความ และสำนักงานบัญชี เป็นบริษัทเฉพาะทางที่รับคนที่มีใบปริญญาเท่านั้นเพราะเป็นงานที่ต้องสอบผ่านคุณสมบัติที่ได้มาตรฐานระดับประเทศ
แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพนักงานที่เรียนจบมัธยมปลายเข้ากันไม่ได้กับคนที่จบสูงกว่าในบริษัทไทยสักเท่าไหร่! แม้อาจจะมีบ้างที่คุยกันไม่เข้าใจ อาจเพราะแค่มีภูมิหลังแตกต่างกัน หรือไม่ได้มีส่วนร่วมกันมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับอิจฉากันแรงๆ หรือเขม่นกันแบบที่ญี่ปุ่น
เป็นที่ทราบกันว่าในวงการอุตสาหกรรมและบริษัททั่วไปในญี่ปุ่นนิยมชมชอบผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นอย่างมาก → การศึกษาในญี่ปุ่นไม่ได้คาดหวังให้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา เนื่องจากสมัยก่อนเน้นการศึกษาระดับประถมศึกษาที่เตรียมความพร้อม ทั้งความคิดคำนวณต่างๆ อย่างเข้มข้น เด็กๆ ดีดลูกคิดคล่องแคล่ว เก่งในการอ่านและเขียนอย่างละเอียดถี่ถ้วนในสมัยเอโดะ ยกเว้นว่าจะไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย จึงกล่าวได้ว่าคนสมัยนั้นมีคุณภาพที่จะลงมาทำงาน หรือแรงงานในระดับภาคสนามที่ดีที่สุดในโลกอย่างแท้จริง
ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นก็เหมือนไม่ได้คาดหวังพนักงานที่จะตอบเรื่องการวัดค่าละเอียดขนาดเป็นมิลลิเมตร หรือใบปริญญาของมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ ตอนสัมภาษณ์แทนที่จะให้พูดถึงเนื้อหาของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทเกี่ยวกับลูทวิช โยเซ็ฟ โยฮัน วิทเกินชไตน์ แต่อาจมีการสัมภาษณ์ว่าคุณจะดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม เอ็นเตอร์เทนเป็นไหม คาราโอเกะได้ไหม การพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์การเล่นกีฬาของคุณเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนก็เป็นที่นิยม ผมเดาว่ามันน่าประหลาดใจและน่าผิดหวังสำหรับผู้ถือปริญญาในไทยที่บริษัทที่ญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ คนญี่ปุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นที่ได้รับการศึกษาที่ยัดเยียดและซ้ำซากจําเจแบบนี้ หรือป้าที่อยากเป็นแคชเชียร์พาร์ทไทม์ที่ร้านขายยา ก็สามารถทำได้โดยไม่ยากไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตวิทยาลัย หรือเป็นบัณฑิตมัธยมปลาย...!
→ ดังนั้น หากเข้าร่วมทำงานในบริษัทญี่ปุ่นและได้รับมอบหมายให้ไปที่ไซต์งาน จะเห็นว่าทั้งผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะได้ทำงานเกือบเหมือนกัน ซึ่งมันน่าประหลาดใจและน่าทึ่งมาก เพราะน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมญี่ปุ่นที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่ประเทศไหน
→ทุกคนบอกว่าญี่ปุ่นเป็นสังคมแห่งการศึกษา แต่จนถึงขณะนี้ที่ญี่ปุ่นเคยมีนายกรัฐมนตรีหลายคนที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมปลายก็มี ส่วนเรื่องเงินเดือนเริ่มต้นของบริษัทจดทะเบียนโดยไม่คำนึงถึงขนาดของบริษัท (น่าเสียดายที่เงินเดือนแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยมากว่า 30 ปี) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายคือ 180,000 เยน ส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยคือ 200,000 เยน มีความแตกต่างอยู่ที่ประมาณ 10% แต่ได้ข่าวว่าหลังจากวิกฤตโคโรนา มีคนหนุ่มสาวที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 300,000 เยนในฐานะผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ แต่ก็มีความต่างจากผู้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไม่มาก แต่ผมเคยได้ยินมาว่าที่เมืองไทยเงินเดือนเริ่มต้นระหว่างบัณฑิตมหาวิทยาลัยกับบัณฑิตมัธยมปลายมีความแตกต่าง 3 เท่า ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ ทำไมต่างกันมากขนาดนี้...
→ เมื่อพูดถึงความแตกต่างในสวัสดิการนั้น ยิ่งน้อย..ความอิจฉาของมนุษย์ก็จะยิ่งมากขึ้น → ไม่มีชาวญี่ปุ่นคนไหนกังวลเรื่องรายได้รายปีของ Shohei Ohtani นักเบสบอลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้ค่าแรงถึงพันล้าน แต่เมื่อพนักงานเข้าร่วมทำงานบริษัทใดๆ ในเวลาเดียวกัน ... และรู้ว่าเงินเดือนของผู้ชายข้างๆ มากกว่าไม่กี่พันเยน ... ก็เป็นเหตุให้อิจฉากันในที่สุด บ้างก็แค่ทำงานด้วยกันตามหน้าที่แต่ในใจมีความอิจฉากันอยู่เป็นนิจ
→ สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมกับผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมักจะดีกว่าบริษัททั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไซต์งานของผู้ผลิตรายใหญ่ และข้าราชการท้องถิ่นโดยทั่วไป สถาบันการเงินในท้องถิ่น เช่น ธนาคาร เคยรับคนจากโรงเรียนมัธยมสายพาณิชย์มาจนถึงประมาณ 30 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และการทำงานหนักมาก มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากในญี่ปุ่นที่ต้องการเป็นข้าราชการทั้งช่วงก่อนและหลังโควิด-19
ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ
ผมคิดว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่มีสุขภาพดี ซึ่งคนหนุ่มสาวจะเริ่มต้นหางานใหม่ได้ง่าย แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนงานบ่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่าการเริ่มต้นใหม่ของการทำงานของทุกคนจะเจอแต่สิ่งที่ดี “d(*゚∀゚*) วันนี้เล่าสู่กันฟัง พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ