เกียวโดนิวส์รายงาน (12 พ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น แย้งประเด็นพาดหัวที่นิตยสารไทม์ใช้กับบทสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ โดยอ้างว่าไม่ได้ถ่ายทอดคำพูดของเขาเกี่ยวกับนโยบายกลาโหมของประเทศอย่างถูกต้อง เจ้าหน้าที่รัฐบาลกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี
บทความฉบับออนไลน์เผยแพร่ก่อนที่ฉบับพิมพ์ของนิตยสารจะวางแผงในวันศุกร์ ในตอนแรกพาดหัวข่าวว่า "นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ กำลังเปลี่ยนญี่ปุ่นที่เคยสงบสุขให้กลายเป็นอำนาจทางทหาร" เพื่อตอบสนองต่อคำแย้งของโตเกียว Time ได้โพสต์พาดหัวข่าวฉบับแก้ไขว่า คิชิดะ "ญี่ปุ่นผู้รักสงบ และบทบาทที่กล้าหาญมากขึ้นในเวทีโลก"
อย่างไรก็ตาม นิตยสารของสหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนคำบนหน้าปกของฉบับวันที่ 22-29 พฤษภาคม ซึ่งมีรูปภาพของคิชิดะ พร้อมกับข้อความว่า "นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ละความสงบสุขนานหลายทศวรรษ มุ่งสร้างญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจทางทหารที่แท้จริง "
“เราไม่ได้ขอให้แก้ไข แต่บอกให้พวกเขารู้ถึงมุมมองของเรา เพราะมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างพาดหัวและเนื้อหาของบทความ” เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าว
บทสัมภาษณ์ดังกล่าวเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ คิชิดะ ในการทำงานเพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลกในฐานะผู้ร่างกฎหมายที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งในฮิโรชิมา เช่นเดียวกับการตัดสินใจของเขาที่จะเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศเป็น 2 เท่าในช่วง 5 ปี เพื่อจัดการกับความอหังการที่เพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักอย่างเป็นทางการในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 28 เมษายน ก่อนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม จี7 ในสัปดาห์หน้าที่เมืองฮิโรชิมา
คิชิดะบอกกับไทม์ว่า ญาติของเขาบางคนอยู่ในหมู่ผู้เสียชีวิตในเหตุระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ ที่เมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่น และเขาได้ยิน "เรื่องเล่าอันน่าสยดสยองเกี่ยวกับความทุกข์ยากของผู้คน" จากย่าของเขา
กระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ประชาคมระหว่างประเทศกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ หลังผ่านประสบการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และเผชิญกับความก้าวร้าวของรัสเซียต่อยูเครน ซึ่งทำให้รากฐานของระเบียบระหว่างประเทศสั่นคลอน
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด G7 เป็นครั้งที่ 7 โดยการจับมือกันของกลุ่ม ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมถึงสหภาพยุโรป ซึ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเผชิญกับ สงครามในยูเครน และอหังการทางทหารของจีนในอินโดแปซิฟิก รวมถึงปัญหาอธิปไตยไต้หวัน
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2564 จะเป็นประธานการประชุม ที่คาดว่าจะมีผู้นำเข้าร่วม เช่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีริชิ ซูนัค ของอังกฤษ และประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส
สำหรับ "ประเด็นสำคัญ" ในระหว่างการประชุมสุดยอด กระทรวงฯ ได้อ้างถึง 8 ประเด็น ได้แก่ สถานการณ์ระดับภูมิภาค เช่น ยูเครนและอินโดแปซิฟิก การลดอาวุธนิวเคลียร์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาหาร สาธารณสุข การพัฒนา ตลอดจนเพศภาวะ สิทธิมนุษยชน และดิจิทัล
สำหรับยูเครน ญี่ปุ่นคาดหวังว่ากลุ่ม G7 จะ "ร่วมมืออย่างจริงจัง" ในการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งรุกรานดินแดนมานานกว่า 1 ปีแล้ว กระทรวงฯ ระบุ
ผู้นำกลุ่ม G7 ยังได้รับการคาดหวังว่าจะยืนยันความร่วมมือของพวกเขาต่ออินโดแปซิฟิกที่ "เสรีและเปิดกว้าง" ซึ่ซึ่งสะท้อนให้เห็นความกังวลของกลุ่มเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้และตะวันออก และความตึงเครียดเหนือไต้หวัน ซึ่งเป็นเกาะประชาธิปไตยที่ปกครองตนเอง แต่ปักกิ่งยืนกรานว่าเป็นดินแดนของตนเอง
ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิก G7 เพียงรายเดียวจากเอเชียได้เคลื่อนไหวควบคู่กับเพื่อนร่วมชาติ G7 รายอื่นในการพยายามกดดันรัสเซียด้วยเหตุผลที่ว่า ความมั่นคงของยุโรปและอินโดแปซิฟิกนั้นแยกกันไม่ออก โดยกล่าวว่า "วันนี้เป็นยูเครน วันพรุ่งนี้อาจเป็นเอเชีย”
กลุ่ม G7 ระมัดระวังต่อการขยายอิทธิพลทางทหารและเศรษฐกิจของจีน โดยวิจารณ์พฤติกรรม "ความพยายามฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่โดยใช้กำลัง" ในขณะที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "สันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวัน"
สำหรับประเทศอื่นๆ นอกจากสมาชิกกกลุ่มที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย คอโมโรส ซึ่งเป็นประธานสหภาพแอฟริกา หมู่เกาะคุก อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม