คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน มีใครชอบช้อปปิ้งออนไลน์บ้างเอ่ย วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ที่เจอในการซื้อของจาก Amazon ในญี่ปุ่นกับอเมริกาให้ฟังค่ะ ในภาพกว้าง ๆ แล้วคล้ายกันหลายอย่าง แต่พอลงรายละเอียดแล้วกลับมีความแตกต่างที่น่าสนใจเยอะกว่าที่คิด
Amazon มีบริการส่งสินค้าฟรีถ้ามียอดซื้อสินค้าถึงที่ขั้นต่ำกำหนดไว้ และสำหรับสมาชิก “Prime” ซึ่งจ่ายค่าบริการต่อเดือนหรือต่อปี ก็จะได้รับสินค้าส่งฟรีแบบด่วนจี๋โดยไม่มีขั้นต่ำ และยังได้สิทธิพิเศษอื่น ๆ อย่างการดูละครหรือภาพยนตร์ฟรีทางช่อง Prime Video ฟังเพลงฟรีผ่าน Prime Music และอื่น ๆ อีกมาก แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นสมาชิกเสียเงิน แล้วนาน ๆ เราถึงจะสั่งของสักที ทางเว็บก็มักเสนอบริการ Prime ให้ทดลองใช้ฟรีหนึ่งเดือน จากนั้นค่อยเสียเงินถ้าไม่ได้ยกเลิก
ที่ญี่ปุ่นนั้นค่าสมาชิก Prime ตกเดือนละ 500 เยน เท่ากับราคากาแฟหนึ่งแก้วเท่านั้น นับว่าถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ยิ่งถ้าคนไหนชอบดูละคร/ภาพยนตร์ญี่ปุ่นและต่างประเทศละก็ เป็นสมาชิกไว้รับรองว่าคุ้มแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นหากไปเช่าดีวีดีจากร้านก็ตกแผ่นละประมาณ 100-250 เยน หรือถ้าจะเช่าละครเป็นตอน ๆ หรือภาพยนตร์เป็นเรื่อง ๆ จาก Amazon ก็ตกประมาณ 300-400 เยน
ที่น่าเสียดายก็คือว่าแม้เราจะเป็นสมาชิก Prime ที่ญี่ปุ่น แต่ถ้าตัวเราอยู่ประเทศอื่นก็จะไม่สามารถดูละคร/ภาพยนตร์ของญี่ปุ่นได้เพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เช่นเดียวกับบริการสตรีมมิ่งเจ้าอื่น ๆ นั่นเอง แต่แปลกที่ว่าหากเช่าเป็นตอนหรือเป็นเรื่อง จะสามารถดูในต่างประเทศได้
การส่งของโดย Amazon ภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นเร็วมาก ต่อให้ไม่ได้เป็นสมาชิก Prime ก็ตาม มีหลายครั้งที่ฉันสั่งของวันนี้ก็ได้รับพรุ่งนี้ หรืออย่างช้าก็วันมะรืน เว้นแต่จะเป็นสินค้าจากร้านอื่นที่มาเปิดขายใน Amazon ซึ่งอาจจะจัดส่งช้ากว่าแต่ก็ไม่มาก อาจเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศเล็ก และระบบขนส่งเชื่อมต่อกันหมด เลยทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากอย่างน่าทึ่ง
การแพ็คของก็เยี่ยมมากค่ะ ฉันเคยสั่งหนังสือให้ส่งมาที่อเมริกาหลายหน เขาจะเอาหนังสือวางบนกระดาษลูกฟูกแล้วซีลพลาสติกหุ้มไว้ จากนั้นแปะกาวด้านหนึ่งแล้วยึดไว้ที่กล่อง ทำให้หนังสือถูกตรึงไว้เหนียวแน่น จึงไม่มีทางยับเยินระหว่างขนส่งให้ช้ำใจผู้รับเลย แม้บางทีมาถึงอเมริกากล่องเกือบพังแล้ว แต่เพราะทางญี่ปุ่นซีลข้างในไว้ดีของเลยปลอดภัย เว้นแต่ถ้าสั่งหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มเดียวเขาจะใส่ซองสีน้ำตาลบาง ๆ ให้ ถ้าส่งในญี่ปุ่นซึ่งเขาระวังเรื่องขนส่งก็คงไม่เป็นไร แต่ที่เคยให้ส่งมาถึงอเมริกานี่หนังสือยับเหมือนกัน
ครั้งหนึ่งฉันเคยสั่งสินค้าแบบเป็น limited edition ซึ่งจะมีของแถมมาให้ แต่เขากลับส่งแบบเวอร์ชั่นธรรมดามา พอแจ้งไปเขาก็พบว่ามีความผิดพลาดในระบบ เลยเปลี่ยนสถานะการสั่งซื้อของฉันจาก limited edition กลายเป็นแบบธรรมดาเสียดื้อ ๆ ฉันบอกไม่เป็นไรแต่ช่วยส่งของแถมมาให้ด้วย เขาบอกว่าสินค้ามันคนละรหัสกัน ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เลยคืนค่าของให้เต็มจำนวนโดยไม่ได้ให้ส่งของคืน (คงเพราะค่าส่งข้ามประเทศแพงและไม่คุ้มเขา) และบอกว่าถ้าต้องการ limited edition ให้สั่งเข้ามาใหม่ แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้สั่ง เพราะไม่รู้จะเอาสินค้าซ้ำกันสองชิ้นไปทำอะไร
ส่วนที่อเมริกา ค่าสมาชิก Prime ตกเดือนละ 15 เหรียญ แพงกว่าญี่ปุ่นเกือบ 4 เท่าแน่ะค่ะ อาจเพราะค่าครองชีพสูงกว่าญี่ปุ่นมาก สิทธิพิเศษคือจะได้รับของภายใน 1-3 วัน ไม่อย่างนั้นก็อาจต้องรอของเป็นสัปดาห์หรือนานกว่านั้น เดาว่าคงเพราะประเทศกว้างใหญ่มากเลยต้องรอขนส่งนาน แต่บางทีโกดังสินค้าอยู่ใกล้บ้านแท้ ๆ เขาก็รอก่อนไม่ยอมมาส่ง หรือบางทีเขาบอกว่าจะส่งช้าก็เปลี่ยนใจส่งให้เร็วเสียอย่างนั้น เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ เวลาส่งของมาช้ามันก็ดีอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าเราเปลี่ยนใจทีหลังก็สั่งยกเลิกได้ง่าย
เมื่อก่อนนี้ถ้าจะคืนสินค้าเพราะเหตุผลส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวกับตัวสินค้าชำรุด เราต้องเป็นคนจ่ายค่าส่งคืนเอง แต่เดี๋ยวนี้ Amazon ของอเมริกา(รวมถึงร้านค้าออนไลน์เจ้าใหญ่อื่น ๆ) จะมีสินค้าเยอะมากที่สามารถคืนได้โดยไม่เสียค่าส่ง ที่หน้าขายสินค้าจะระบุไว้เลยว่า “FREE Returns” ซึ่งสำหรับ Amazon แล้วคืนของสะดวกมาก เราแค่แจ้งทางเว็บไว้ เขาจะให้คิวอาร์โค้ดมา เราก็เอาสินค้ากับคิวอาร์โค้ดไปแสดงที่ร้านขนส่งหรือจุดรับสินค้าคืน เขาก็จะจัดการที่เหลือให้โดยเราไม่ต้องแพ็คของด้วยซ้ำ แต่ Amazon ที่ญี่ปุ่นฉันยังไม่เจอบริการแบบนี้นะคะ ถ้าจะคืนสินค้าเพราะเหตุผลส่วนตัว เราต้องจ่ายค่าส่งเอง
สังเกตว่าเวลาสั่งของออนไลน์ในอเมริกา แม้จะเป็นสินค้าใหม่แต่บางทีผ่านมือลูกค้าเปิดกล่องหรือลองใช้สินค้าข้างในไปแล้ว ซึ่งมันควรจะเรียกว่าเป็นของมือสองมากกว่า ฉันเคยสั่งเคสใส่มือถือมา แล้วข้างในมีบัตรประจำตัวใครก็ไม่รู้อยู่ด้วย หรือสั่งเครื่องฟอกอากาศใหม่มา แต่แพ็กกิ้งสินค้าดูค่อนข้างเยิน มีสก็อตเทปปิดรอบฝากล่องเหมือนปิดเปิดซ้ำมาแล้วหลายรอบ สายไฟก็ระเกะระกะ แสดงว่าเคยมีคนแกะมันออกมาลองใช้แล้ว
คิดว่าสาเหตุที่สินค้าซึ่งน่าจะ “ใหม่” กลับเป็นสินค้าที่คนอื่นเคยเปิดกล่องมาแล้ว (หรือแอบลองใช้ไปแล้ว) อาจเป็นเพราะพอลูกค้าซื้อมาแล้วเปลี่ยนใจก็ส่งคืนได้ฟรีอย่างที่เล่าข้างต้น เลยทำให้ลูกค้าคืนของกันง่ายมาก แต่ความที่ของมันแกะแล้ว อีกทั้งบางทีทางร้านก็ไม่เช็คให้ดีก่อนเอามาขายใหม่ ก็ทำให้ลูกค้าที่อยากได้ของใหม่จริง ๆ แบบไม่ผ่านมือคนอื่นมาต้องวัดดวง ถ้าไม่คิดมากมันก็ใช้ได้ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ขอคืนเงิน หรือให้เขาเปลี่ยนชิ้นใหม่มาได้
สำหรับการแพ็คกิ้งของ Amazon อเมริกานั้นน่าตีมากค่ะ เป็นปัญหาที่ลูกค้าบ่นตลอดเวลาว่าของข้างในเละเทะ สินค้าหก หนังสือยับอะไรแบบนี้ มีลูกค้าหลายคนบ่นว่าสั่งน้ำปลายี่ห้อแพงมา แต่แพ็กกิ้งไม่แน่นหนาหรือป้องกันการขยับมากพอ พอมาถึงขวดน้ำปลาก็แตกเรียบร้อยแล้วส่งกลิ่นโชยวุ่นไปหมด ก็น่าประหลาดใจว่าเขาไม่ได้เทรนพนักงานเรื่องการแพ็คของหรือเปล่า ทำให้มีสินค้าที่ต้องทิ้งเพราะความไม่ระมัดระวังแบบนี้ ซึ่งปีหนึ่ง ๆ ก็คงไม่น้อยเลย
กลับมาพูดถึงสิทธิประโยชน์ของสมาชิก Prime ของอเมริกากันต่อ มีอยู่อีกข้อหนึ่งที่ญี่ปุ่นไม่มีคือ สามารถใช้ลดในซูเปอร์มาร์เก็ต Wholefoods ซึ่ง Amazon ซื้อกิจการมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ได้ด้วย โดยเอามาลดสินค้าที่ลดราคาอยู่แล้วได้เพิ่มอีก 10% ถ้าใช้บริการที่ซูเปอร์มาร์เก็ตนี้บ่อยก็อาจจะคุ้มกับการเป็นสมาชิกได้เหมือนกัน
บ่อยครั้งที่ฉันซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่านี้ แล้วพบว่าราคาในใบเสร็จสูงกว่าราคาป้ายที่เห็น เลยบอกฝ่ายบริการลูกค้า ถ้าเป็นสินค้าอาหารนี่เขาจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเลย แล้วให้สินค้าเรามาฟรีด้วย ครั้งแรกที่ฉันกับสามีเจอแบบนี้ก็ตกใจว่านึกว่าเขายักยอกสินค้าให้ลูกค้า เลยทำท่าจะไม่รับ แต่พนักงานยืนยันว่าให้เอาไป กว่าพวกฉันจะชินก็ใช้เวลาพอดูค่ะ มันรู้สึกไม่สบายใจเหมือนไปลักของเขามาอย่างไรไม่ทราบ แต่เห็นเขาก็ทำแบบนี้ทุกสาขาและทุกครั้งที่เราแจ้งว่าราคาผิด เลยเดาว่าอาจเป็นนโยบายของบริษัท เพราะถ้าเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตอื่นเขาจะให้เลือกระหว่างคืนของและเอาเงินคืน หรือไม่ก็คิดราคาใหม่ให้ถูกต้อง
โดยภาพรวมแล้วฉันชอบ Amazon ของญี่ปุ่นมากกว่า เพราะรู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับสินค้า การแพ็คกิ้ง และการขนส่ง เลยพลอยรู้สึกว่าใส่ใจลูกค้าไปด้วย (แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่เคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้เลยนะคะ) อีกอย่างคือค่าสมาชิกถูกเหลือเชื่อ ที่จริงราคานี้ก็เหมือนจะตรึงมาตลอดหลายปีตามสภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่แน่นิ่งมาหลายทศวรรษ ถึงตอนนี้ค่าครองชีพจะเพิ่มก็ยังราคาเดิม
ก็เป็นเรื่องเล่ามุมหนึ่งจากลูกค้าร้านออนไลน์ค่ะ แล้วพบกันสัปดาห์หน้านะคะ สวัสดีค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.