สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยจะมีข่าวดีเลยนะครับมีแต่ข่าวที่อ่านแล้วห่อเหี่ยวจิตใจ ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องจำนวนประชากรที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุซึ่งมีประชากรวัยสูงอายุมากและประชากรวัยเด็กลดลง แต่ปีที่แล้วมีสถิติว่ามีวัยเด็กและวัยรุ่นญี่ปุ่นฆ่าตัวตายมากถึง 512 คน สูงที่สุดกว่าที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจมาก
นี่ก็เข้าสู่เดือนมีนาคมแล้วแม้ว่าอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น แต่ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของโรคภูมิแพ้ละอองเกสร หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “คะฟุงโช” (花粉症;kafun-shō ) ซึ่งคนญี่ปุ่นแพ้กันมากเป็นช่วงที่ทุกคนเบื่อหน่ายเหมือนกัน และยังมีข้อมูลว่าปีนี้มีคะฟุงโชมากกว่าปีที่แล้ว 12 เท่าอีกด้วย แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศให้ประชาชนสามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคมนี้แล้ว แต่เมื่อมียังมีปัญหาคะฟุงโชอยู่คนญี่ปุ่นหลายคนก็คงต้องใส่หน้ากากอนามัยกันต่อไป เหล่านี้ก็เป็นแค่หนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเครียดและกดดันในชีวิตสูงครับ
ถึงขนาดที่ว่ามีคนต่างชาติเขียนใน SNS ว่า อยู่ญี่ปุ่น 3 ปีเป็นคะฟุงโช! แต่ถ้าอยู่ 7 ปีจะเป็นโรคจิต!! ผมอ่านแล้วก็เข้าใจที่เขาได้ดีเลย วันก่อนผมได้คุยกับเพื่อนที่ญี่ปุ่น เพื่อนเล่าว่ามีคนที่ทำงานไปเที่ยวแต่เพื่อนของเพื่อนเอาขนมมาฝากคนข้างๆ แต่กลับไม่ให้เพื่อนผม ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้ไหม กรณีนี้ขอพูดในประเด็นที่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งอีกรูปแบบหนึ่งในสังคญี่ปุ่นนะครับ เรียกว่า お菓子外し Okashi hazushi
お菓子外し Okashi hazushi คือประมาณว่าจงใจไม่ให้ขนมของฝากคนบางคนในกลุ่มสังคมที่ทำงานที่โรงเรียน เป็นต้น ปกติถ้าคนญี่ปุ่นมีการเดินทางท่องเที่ยวหรือการเดินทางเพื่อธุรกิจ มักจะแสดงน้ำใจโดยการซื้อขนมของฝากเพื่อนที่ร่วมงาน แต่ก็มีคนที่ไม่ให้ขนมกับผู้ที่ตัวเองไม่ชอบในองค์กรที่ทํางานนั้นๆ จากหลายๆ สาเหตุที่แตกต่างกันไป มีฝ่ายที่ไม่ได้รับขนมหลายคนที่เศร้าและหดหู่หรือมีอารมณ์จิตตกเมื่อไม่ได้รับขนมเหมือนคนอื่นๆ แต่ว่ากันว่าการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการเพิกเฉยต่อเหตุการณ์นั้นๆ ครับ
ปัจจุบันที่องค์กรที่ญี่ปุ่น มีหลายคนที่ได้รับขนมในที่ทํางาน เช่น ของที่ระลึกเมื่อเพื่อนกลับมาจากการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือการเดินทางท่องเที่ยว หรือสิ่งที่ได้รับจากพันธมิตรทางธุรกิจ ปัญหาที่น่าคิดที่เกี่ยวข้องกับขนมของฝากดังกล่าวคือ มีลักษณะของการกลั่นแกล้งกันแฝงอยู่โดยการไม่ให้ขนมของฝาก ซึ่งมันเป็นปัญหาทั่วไปไม่เพียงแต่ในที่ทํางานเท่านั้นแต่ยังรวมถึงในองค์กรต่างๆ และคนในแวดวงเดียวกันด้วย ผลสำรวจพบว่ามีคนวัยทํางานจํานวนมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการกลั่นแกล้งประเภทนี้ครับ
เมื่อถามว่าอะไรคือสาเหตุของการการกลั่นแกล้งประเภทนี้? เมื่อสอบถามจากประสบการณ์ของพนักงานก็พบว่ามีคําตอบมากมาย เช่น เคยมีข้อพิพาทเรื่องงานกัน และมีปัญหาเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ แต่บางคนตอบว่า ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร ในบางกรณียังมีเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย เช่น เพราะพวกเขาอายุน้อยที่สุดในที่ทำงาน! และบางคนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ใครจะเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งประเภทนี้และด้วยเหตุผลอะไร ดังนั้นหลายคนจึงพยายามจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างในแต่ละวัน
วันนี้พาไปดูตัวอย่างประสบการณ์คนที่โดนเพื่อนที่ทำงานกลั่นแกล้งโดยจงใจไม่ให้ขนมของฝากครับ
●คุณอาโออิ (อายุ 36 ปี พนักงานออฟฟิศ)
หลังวันหยุด เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งที่ไปเที่ยวเธอมีขนมมาแจกที่ทำงาน แต่พอมาถึงฉัน เธอบอกว่ามีไม่พอ ฉันเป็นพนักงานชั่วคราว ที่จะทํางานที่นั้นเพียงหนึ่งปีเท่านั้น คนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นพนักงาน full-time ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าฉันไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะตัวเองอยู่ในฐานะพนักงานชั่วคราว บางทีฉันอาจจะลืมไป ฉันคิดว่ามันเป็นความตั้งใจแต่ฉันไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ
ในเรื่องนั้น ฉันไม่ได้ทําอะไรเลย แต่มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่เห็นอกเห็นใจฉัน และวิพากษ์วิจารณ์ผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ต้องกังวลหากมีเรื่องแนวนี้เกิดขึ้น
●คุณอุรารา (อายุ 41 ปี, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ)
ฉันอยู่ในกลุ่มผู้หญิงที่บริษัท แต่เมื่อคนในกลุ่มนั้นแจกจ่ายขนม แม้ฉันจะอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้รับแจกขนมด้วย ฉันคิดว่าเหตุผลก็คือเขาเข้าใจผิดว่าฉันเกลียดและฉันพูดไม่ดีเกี่ยวกับคนในกลุ่ม
ฉันตกใจมากจนไม่สามารถอยู่ที่นั่นและต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ํา แต่ฉันได้แค่เงียบ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ทําอะไรผิด ดังนั้นหลังจากนั้น ฉันจึงพยายามแจกจ่ายขนมให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างแข็งขัน จากนั้นสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มก็เริ่มให้ขนมแก่ฉัน และมันก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ฉันคิดว่าถ้าไม่ตอบโต้การถูกคุกคามหรืออยู่เฉยๆ ไว้ในที่สุดมันก็จะได้รับการแก้ไข ดังนั้นฉันหวังว่าจะผ่านมันไปได้
●คุณมาโกะ (อายุ 22 ปี ช่างทําผม)
เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ฉันทํางานเป็นช่างทําผม รุ่นพี่ที่ทํางานมีของที่ระลึกให้ทุกคนเมื่อเขาไปเที่ยวที่ Universal Studios และมอบให้ทุกคนรายคน แต่กลับไม่เพียงพอสําหรับฉัน ฉันจึงรู้สึกว่า "ถึงตาฉันที่ถูกรังแก"
อย่างไรก็ตามหากรู้สึกหดหู่ใจเพราะโดนกลั่นแกล้งประเภทนี้ ฉันคิดว่าการประพฤติตัวร่าเริงจะดีกว่าไม่ทําอะไรเลย คนที่ทําแบบนั้นสนุกที่เห็นคนที่เขาแกล้งหดหู่ใจ ท้ายที่สุดฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่โง่ๆ ทํา ดังนั้นฉันคิดว่ามันดีกว่าที่จะพยายามอย่าหดหู่เกินไป
ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยมีการกลั่นแกล้งลักษณะนี้ไหมนะครับ บางคนบอกว่าถ้าโดนกลั่นแกล้งประเภทนี้บ้าง จะทําแบบเดียวกันกลับไป ! บางคนคิดเกี่ยวกับแผนการแก้แค้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการเพิกเฉยด้วยการตอบสนองแบบผู้ใหญ่ คือไม่ใช่เรื่องการแก้แค้นแบบไม่มีวุฒิภาวะ คนทุกคนต่างเป็นเพียงสมาชิกเล็กๆ ของสังคม ดังนั้นมีข้อแนะนำว่าอย่าวางแผนแก้แค้นหรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับบุคคลนั้น ให้ปล่อยผ่านไปจะสบายใจมากกว่า หลายคนกล่าวว่า "มันเสียเวลาที่จะไปจัดการกับพวกเขา" และ "สักวันหนึ่งมันจะสงบลงถ้าทําตัวตามปกติ" วันนี้เล่าสู่กันฟัง แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ