xs
xsm
sm
md
lg

Inside Tohoku – บุก 5 ที่เที่ยวลับในโทโฮคุกับรุจ ศุภรุจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากพูดถึงภูมิภาคโทโฮคุ หลายคนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Ginzan Onsen หรือภูเขา Zao ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ในแต่ละปีมีคนไปเยี่ยมชมมากมายจนบางทีก็แอบรู้สึกว่าไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติหรือดื่มด่ำกับสถานที่สักเท่าไหร่ Anngle และคุณรุจจึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคโทโฮคุที่น้อยคนจะรู้จักแต่สวยงามน่าประทับใจไม่แพ้กัน

บทความนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ Collaboration กับ คุณรุจ (ศุภรุจ เตชะตานนท์​) หรือ รุจ เดอะสตาร์ ซึ่งปัจจุบันรับอีกบทบาทเป็นแอดมินสุดเฟรนด์ลี่ที่คอยแบ่งปันมุมสวยๆ ของญี่ปุ่นใน เพจ Outside The Room โดยซีรี่ส์นี้เป็นซีรี่ส์ที่เราจะขอชวนทุกคนก้าว Outside The Room ของตัวเองและเข้ามาเที่ยว Inside โทโฮคุพร้อมข้อมูลแน่นปั้กและเรื่องเล่าแบบ Insight จากคุณรุจ สำหรับบทความตอนที่ 3 นี้คุณรุจจะมาถ่ายทอดความสวยงามและสตอรี่น่าสนใจของ 5 สถานที่ท่องเที่ยวลับในโทโฮคุผ่านเลนส์กล้องที่คุณรุจไปเก็บมาได้

1. สะพานสึรุโนะไม (จ.อาโอโมริ)


สะพานสึรุโนะไม (鶴の舞橋, Tsuru no Maihashi Bridge) เป็นสะพานไม้ในเมืองสึรุตะ จังหวัดอาโอโมริ ถือเป็นสะพานไม้ 3 โค้งที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น สร้างเสร็จในปี 1994 ด้วยเทคนิคทางสถาปัตกรรมอันเก่าแก่ของญี่ปุ่น ตัวสะพานถูกสร้างโดยใช้ไม้สนฮิบะในจังหวัดอาโอโมริ มีความยาวทั้งหมด 300 เมตร

สะพานแห่งนี้ออกแบบในธีม “นกกระเรียน” เนื่องจากเมืองสึรุตะเป็นเมืองที่มีคำว่า “นกกระเรียน (สึรุ)” อยู่ในชื่อเมือง และมีเป้าหมายที่จะเป็นเมืองแห่งนกกระเรียนและการแลกเปลี่ยนกับนานาชาติ (鶴と国際交流の里づくり) ตัวสะพานมีรูปร่างโค้งงอได้รูปเหมือนนกกระเรียนสยายปีก ตัวอาคารไม้หลังใหญ่เปรียบได้กับหัวนกกระเรียนตัวผู้ ส่วนอาคารไม้หลังเล็กกว่าเปรียบได้กับหัวนกกระเรียนตัวเมีย หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นภาพสะพานเหมือนนกกระเรียนสองตัวบินเคียงคู่กันอย่างสนิทสนมบนแม่น้ำสึการุฟุจิมิ สมชื่อสะพานสึรุโนะไม (แปลไทยได้ว่า การร่ายรำของนกกระเรียน) ซึ่งงดงามดุจทูตสวรรค์ที่บินหอบความฝันข้ามผืนน้ำ


อีกหนึ่งความใส่ใจในการสรรสร้างสะพานแห่งนี้คือ การใส่ดีไซน์กากบาทเข้าไปในราวจับเป็นต้น เป็นการออกแบบเพื่อให้สมกับที่เป็นเมืองแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ เนื่องจากในปี 1977 เมืองสึรุตะได้ลงนามสัญญาเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับเมือง Hood River รัฐ Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้สร้างสะพานนี้ในสไตล์ญี่ปุ่นอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและญี่ปุ่นโดยคำนึงถึงผู้คนที่มาแลกเปลี่ยนเป็นหลัก






ความงดงามของสะพานและทิวทัศน์รอบด้านทำให้นักท่องเที่ยวมากมายนิยมมาถ่ายรูป แต่ละช่วงเวลาก็จะมีความงามที่แตกต่างกันออกไป ช่วงสายจะสามารถเห็นทั้งสะพาน แม่น้ำสึการุฟุจิมิใสกระจ่าง และภูเขาอิวากิที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน ยามเย็นก็จะได้เห็นสะพานอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์สีส้มนวลตา ตกกลางคืนก็จะได้เห็นสะพานโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟที่ติดตั้งในราวจับ ระยิบระยับวูบไหวสะท้อนผืนน้ำ ราวกับเทพมังกรในนิทานรักโศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงชิราคามิ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาของแม่น้ำสึการุฟุจิมิ เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าหญิงชิราคามิผิดหวังในรัก จึงเดินลงแม่น้ำอันเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำร่วมกันกับอดีตชายคนรักและกลายร่างเป็นมังกรในที่สุด








ช่วงฤดูหนาวก็เป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะมาเที่ยวที่นี่ เพราะทั่วทั้งบริเวณสะพานสึรุโนะไมจะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาตามที่เห็นในภาพ สวยงามราวกับอยู่ในอีกโลกหนึ่ง


นอกจากนี้ยังเป็น Power Spot (สถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ) ที่หลายคนเชื่อกันว่าช่วยเสริมดวงต่อชะตาชีวิต เพราะสะพานสึรุโนะไมเป็นสะพานไม้ที่ทอดยาว (長い木の橋, Nagai Ki no Hashi) และพ้องเสียงกับคำว่า สะพานอายุยืนยาว (長生きの橋, Nagaiki no Hashi) ในภาษาญี่ปุ่น จึงเชื่อว่า หากข้ามสะพานไปจะทำให้มีอายุยืนยาว อีกทั้งอุทยานธรรมชาตินกกระเรียนมงกุฎแดง (丹頂鶴自然公園, Tsuruta Town Japanese Crane Nature Park) ที่อยู่อีกฝั่งของสะพานก็เป็น Power Spot ที่เชื่อกันว่าช่วยเสริมดวงด้านความสัมพันธ์และความรัก จากตรงนี้สามารถขอพรภูเขาอิวากิที่เขาว่ากันว่ามีพลังชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และช่วยเสริมดวงชะตาอีกด้วย



สะพานสีรุโนะไม (鶴の舞橋)

สะพานไม้ 3 โค้งที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ปลายสะพานทั้งสองด้านเป็นที่ตั้งของอุทยานธรรมชาตินกกระเรียนมงกุฎแดงและสวนสาธารณะฟุจิมิโกะที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ปิคนิคพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมทอดสายตามองสะพานรูปทรงสวยงามราวนกกระเรียนร่ายรำท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

ที่อยู่: 81-150 Osawa Mawarizeki Tsuruta, Tsuruta-machi, Tsugaru-gun, Aomori
ค่าเข้า: ฟรี
การเดินทาง: นั่งรถแท็กซี่จากสถานี JR Mutsu-Tsuruda ประมาณ 10 นาที
Website: medetai-tsuruta.jp



2. ศาลเจ้าทาคายามะ อินาริ (จ.อาโอโมริ)



หากพูดถึงศาลเจ้าที่มีเสาโทริอิพันต้น ใครๆ ก็คงนึกถึงศาลเจ้าฟุชิมิอินาริอันโด่งดังในจังหวัดเกียวโต แต่ที่จังหวัดอาโอโมริเองก็มีเหมือนกันนะ นั่นคือ ศาลเจ้าทาคายามะอินาริ (高山稲荷神社) นั่นเอง

ศาลเจ้าทาคายามะอินาริเป็นศาลเจ้าที่อยู่ในเมืองสึการุ จังหวัดอาโอโมริ ว่ากันว่าศาลเจ้านี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคามาคุระ (ปี 1180-1336) จนถึงสมัยมุโรมาจิ (ปี 1336-1573) โดยตระกูลอันโดซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูงที่ปกครองแคว้นสึการุในสมัยนั้น เทพประจำศาลเจ้าแห่งนี้คือเทพแห่งการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ (อุคะโนะมิทามะโนะมิโคะโตะ) เทพคุ้มครองการเดินเรือ (ซะทะฮิโคะโนะมิโคะโตะ) และเทพแห่งการค้าขายรุ่งเรือง (โอมิยะเมะโนะมิโคะโตะ) ทำให้เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่มีผู้คนมากมายเดินทางมาขอพร


ส่วนอีกเหตุผลที่ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้บูมขึ้นมาเพราะเมื่อปี 2016 ศาลเจ้าทาคายามะอินาริไปปรากฎอยู่บนโปสเตอร์รถไฟ JR ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังประจำจังหวัดอาโอโมริ โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่รถไฟ Tohoku-Hokkaido Shinkansen ตั้งแต่สถานี Shin Aomori จนถึงสถานี Shin-Hakodate-Hokuto เปิดให้บริการพอดี ด้วยความที่มีเสาโทริอิพันต้นทำให้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดีย และโด่งดังไปไกลถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ








จุดเด่นของศาลเจ้าทาคายามะอินาริคือเสาโทริอิสีแดงเข้มสูงกว่า 2 เมตรทอดยาวเรียงรายคดเคี้ยวคล้ายมังกร ว่ากันว่าเสาโทริอินี้เพิ่งมีอายุอานามเพียง 40 ปีเท่านั้น ที่มาของโทริอิเหล่านี้มาจากการที่ชาวนาครอบครัวหนึ่งถวายเสาโทริอิเป็นจำนวนมากเพื่อสักการะ และชาวบ้านในละแวกนี้ก็ทำตามๆ กันมา แต่ก็ไม่สามารถสร้างเสาโทริอิให้เป็นทางตรงได้ เพราะพื้นที่ศาลเจ้ามีบ่อน้ำอยู่ทำให้สร้างได้ยาก อีกทั้งยังเชื่อกันว่าบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งวังเทพมังกร จึงตั้งใจสร้างให้มีรูปร่างคดเคี้ยวคล้ายมังกร จนเกิดเป็นภาพเสาโทริอิอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

หากเดินขึ้นไปสุดปลายทางจะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเสาโทริอิและธรรมชาติรอบด้านได้ในมุมสูง วิวในแต่ละฤดูก็จะมีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้สีเขียวสดชื่นสบายตาในฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และหิมะสีขาวโพลนในฤดูหนาว ใกล้ๆ จุดชมวิวมีรูปปั้นจิ้งจอกตัวแทนเทพอินาริอยู่นับไม่ถ้วน








นอกจากเสาโทริอิพันต้นแล้ว บริเวณศาลเจ้าทาคายามะอินาริยังมีศาลเจ้าเล็กๆ และจุดที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ศาลเจ้าซันโนที่มีเสาโทริอิซันโนรูปร่างแปลกตาตั้งตระหง่านเบื้องหน้า หรือศาลเจ้าเมียวบุฉะซึ่งช่วยในเรื่องความรักและช่วยให้ชีวิตคู่ราบรื่น



ศาลเจ้าทาคายามะอินาริ (高山稲荷神社)

ศาลเจ้าโทริอิสีชาดพันต้นของจังหวัดอาโอโมริ เป็นที่ประดิษฐานของเทพสามองค์ที่ช่วยในเรื่องการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ เดินเรือปลอดภัย และค้าขายรุ่งเรือง ทำให้หลายคนมาขอพรพร้อมกับเดินเล่นชมความสวยงามของทิวทัศน์ในสวนรอบศาลเจ้าอันกว้างใหญ่

ที่อยู่: Ushigatacho, Tsugaru, Aomori
เวลาทำการ (สำหรับมาสักการะ): 9.00 – 17.00 ไม่มีวันหยุด
Tel: 0173-56-2015
การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย JR Gono Line ลงสถานี Goshogawara แล้วนั่งแท็กซี่ประมาณ 30 นาที
Website: takayamainari.jp



3. อาคิอุออนเซ็น (จ.มิยางิ)



หนึ่งในแหล่งออนเซ็นที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคโทโฮคุ อยู่ในเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ ว่ากันว่าเป็นแหล่งออนเซ็นที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยโคะฟุน (ปี 531-570) น้ำจากออนเซ็นแห่งนี้มีสรรพคุณดีเยี่ยม และว่ากันว่าช่วยรักษาโรคผิวหนังให้กับจักรพรรดิคินเม จักรพรรดิองค์ที่ 29 ของญี่ปุ่นจนหายขาดจากโรค และได้พระราชทานชื่อว่า ออนเซ็นแห่งนาโทริ ซึ่งชื่อนี้มีปรากฎใน Yakumomishou (八雲御抄) บันทึกรวมบทเพลงญี่ปุ่นของจักรพรรดิจุนโตกุด้วย นอกจากนี้ยังมีบันทึกอีกว่าในสมัยสงครามยุคเซ็นโกคุ ไดเมียวชื่อดังอย่างดาเตะ มาซามุเนะ ก็มักจะมาที่ออนเซ็นแห่งนี้บ่อยๆ เพื่อรักษาอาการเหนื่อยล้าและโรคต่างๆ

ปัจจุบันออนเซ็นแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นของญี่ปุ่น (日本三御湯) ร่วมกับเบชโชออนเซ็น และโนซาวะออนเซ็นของจังหวัดนากาโนะ อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นขึ้นชื่อของโอชู (奥州三名湯) ที่ มัตสึโอะ บะโช กวีชื่อดังสมัยเอโดะใช้อาบน้ำระหว่างเดินทางท่องเที่ยวทั่วโอชูและโฮคุริคุ หรือก็คือบริเวณทางจูบุของญี่ปุ่นในปัจจุบันนั่นเอง

ความว้าวของอาคิอุออนเซ็นยังไม่หมดแค่นี้ เพราะที่นี่มีดีกรีเป็นหนึ่งในสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองด้วย ดังเช่นในงาน Science And Technology Ministers’ Meeting (G7仙台科学技術大臣会合) ซึ่งเป็นงานประชุมรวมผู้นำระดับนานาชาติที่จะจัดในช่วงวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2023 และที่นี่มีที่พักคุณภาพเยี่ยมมากมายรอต้อนรับทั้งชาวต่างชาติและคนญี่ปุ่นที่มาหาการพักผ่อนชั้นเยี่ยม


แต่ถ้าให้พูดถึงสุดยอดที่พักในบริเวณนี้ ก็ต้อง “Ryokusuitei” ที่พักดีกรีเรียวกังที่มีบริการชั้นเลิศที่ JTB บริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่ของญี่ปุ่นเลือกในปี 2018 และเป็นที่พักหนึ่งเดียวในเขตอาคิอุที่สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ พระพันปีหลวงมาเข้าพักในปี 1971 รวมถึงเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ พระพันปีหลวงเลือกมาฉลองวันเกิดครบรอบ 37 ปีนอกพระราชวัง ดีงามขนาดนี้มาพักไม่ผิดหวังแน่นอน








ตัวที่พักอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Sendai นั่งรถบัสเพียง 30 นาทีก็ถึง Ryokusuitei โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามทั้ง 4 ฤดู มีห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกพักมากมาย ที่ห้ามพลาดเลยก็คือออนเซ็นกลางแจ้งบรรยากาศดีที่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว

ห้องพักของ Ryokusuitei มีจุดเด่นคือหน้าต่างกระจกใสภายในห้องที่สามารถชมวิวในอาคิอุได้ นอกจากห้องพักแบบธรรมดาแล้วยังมีห้องพักพิเศษอีก 3 แบบ ได้แก่ “Tsuki-monogatari” เป็นห้องพักญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์นในคอนเซ็ปต์ Take Monogatari ตำนานคนตัดไม้ไผ่ หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในชื่อ นิทานเจ้าหญิงคางุยะ ตัวห้องพักใช้โทนสีแบบ Kasane-iro ซึ่งเป็นสีเสื้อผ้าหลายชั้นของชนชั้นสูงในสมัยเฮอัน อีกห้องหนึ่งคือ “Hana-monogatari” ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นสุดหรูหรา ปูด้วยเสื่อทาทามิ มีฉากกั้นญี่ปุ่น และมุมโทโคโนมะ (มุมยกพื้นไว้วางแจกันหรือภาพแขวน) รวมทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้ข้างหน้าต่างบานกว้างที่สามารถชมวิวสวยๆ ได้ทั้งวัน และ “Hoshi-monogatari” ห้องพักสไตล์โมเดิร์นที่มีระเบียงและบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งในตัว ตอนกลางคืนก็ออกไปนั่งแช่น้ำดูดาวได้สมชื่อห้องเลย




จุดเด่นของที่พัก Ryokusuitei ที่ต้องพูดถึงก็คือบ่อออนเซ็น ความพิเศษคือน้ำแร่ออนเซ็นของที่นี่ไม่ได้ใช้ร่วมกับที่พักอื่นเพราะมีบ่อต้นน้ำเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ คลายความเหนื่อยล้า และรักษาอาการต่างๆ มากกว่า 20 ชนิด สำหรับออนเซ็นในร่มจะมีพื้นที่กว้างโปร่งสบาย ทำให้แขกแช่น้ำร้อนออนเซ็นได้อย่างสบายใจไม่อึดอัด หรือหากอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศมากขึ้น เพียงลงบันไดมาก็จะพบกับ บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ที่ตกแต่งด้วยหินและน้ำตก โอบล้อมด้วยธรรมชาติงดงาม ตกเย็นทางที่พักจะจุดคบเพลิงช่วยสร้างบรรยากาศราวกับอยู่ในห้วงฝัน


สำหรับอาหาร ทางโรงแรมเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลเพื่อให้แขกเพลิดเพลินไปกับความอร่อยที่พิถีพิถันมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวัวเซนได หอยเป่าฮื้อจากชายฝั่งซันริคุ หน่อไม้ที่ปลูกบริเวณสวนของที่พัก แม้กระทั่งเครื่องปรุงก็คัดสรรมาเป็นอย่างดี อีกทั้งภายในที่พักยังมีเลาจน์สำหรับชมวิวสวนด้านนอก บาร์สำหรับแขกที่อยากดื่มแอลกอฮอล์ ร้านขายขนมและของฝากที่ระลึก หากโชคดีก็จะได้ฟังคอนเสิร์ตจากท่านประธานและโอคามิ (นายหญิงผู้ดูแลเรียวกัง) ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยด้านดนตรีทั้งคู่ ในบริเวณล็อบบี้ของที่พักอีกด้วย



Ryokusuitei (緑水亭)

ที่พักสุดหรูในเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามทั้ง 4 ฤดูกาล จุดเด่นคือบ่อออนเซ็นกลางแจ้งที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคต่างๆ กว่า 20 ชนิด

ที่อยู่: Uehara-27, Akiumachi Yumoto, Taihaku, Sendai, Miyagi
Tel: 022-397-3333(เวลา 9:00 – 19:00)
การเดินทาง: นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Sendai แล้วขึ้นรถบัส Akiu-Kawasaki Sendai Seibu Liner บริเวณ Sendai Station West Exit No. 63 นั่งรถประมาณ 30 นาทีไปลงป้าย Ryokusuitei Mae
Website (ภาษาไทย): ryokusuitei.co.jp



4. Winter Sakura Light-up (จ. อาโอโมริ)



หากพูดถึงสวนสาธารณะฮิโรซากิในจังหวัดอาโอโมริ หลายคนคงอยากมาเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวซากุระที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ด้วยความที่มีซากุระมากถึง 2,600 ต้นรวม 50 สายพันธุ์ แน่นอนว่าซากุระของที่นี่อลังไม่แพ้ใครเลย


แม้ว่าทัศนียภาพของสวนสาธารณะฮิโรซากิในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะสวยงามบาดใจ ทว่าในฤดูหนาวเองก็งดงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในอีเวนต์ Winter Sakura Light-up ซึ่งเป็นอีเวนต์เปิดไฟไลท์อัพใกล้กับคูน้ำปราสาทฮิโรซากิ จัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ยามเปิดไฟไลท์อัพสีชมพูสะท้อนกับหิมะสีขาวบริสุทธิ์จะเห็นเหมือนซากุระกำลังผลิบานในฤดูหนาว แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการเล่นมายากลที่ใช้แสงสีและหิมะที่ปลิวไปมาเท่านั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการรู้สึกเหมือนได้เห็นซากุระในฤดูกาลที่ต่างไปจากเดิมเป็นเสน่ห์ของอีเวนต์นี้ที่ทำให้ละสายตาไม่ได้เลย ถ้าไม่ติดว่าเป็นกลางคืนฤดูหนาวล่ะก็ คงได้นั่งดู Winter Sakura Light-up นี้เป็นชั่วโมงไม่ต่างกับการดูซากุระในฤดูใบไม้ผลิแน่นอน




ทิวทัศน์ที่เห็นจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศและหิมะในแต่ละวัน หากเป็นยามค่ำคืนที่หิมะปกคลุมหนาแน่นทั่วกิ่งซากุระ พอสะท้อนกับไฟไลท์อัพก็จะเห็นภาพราวกับซากุระกำลังบานสะพรั่ง หากเป็นคืนที่หิมะตกก็จะเห็นภาพราวกับซากุระกำลังปลิดปลิว และหากเป็นวันที่อากาศหนาวจัดจนคูน้ำรอบปราสาทเป็นน้ำแข็งจะก็ปรากฏแพบุปผาน้ำแข็งอันงดงาม

อีเวนต์นี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวจนจัดขึ้นเป็นปีที่ 5 แล้ว สำหรับในปีนี้จะจัดตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2022 – 28 กุมภาพันธ์ 2023 เวลา 16.30 – 22.00 น. แนะนำให้มาวันที่หิมะตกปกคลุมหนาแน่นจะได้เห็นวิวซากุระไลท์อัพสวยๆ สมใจ








แต่หากใครมาในวันที่หิมะปกคลุมไม่เยอะก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะบริเวณรอบๆ สวนสาธารณะก็มีการเปิดไฟประดับตกแต่งสวยงามน่าเดินชม หรือหากใครมาเที่ยวตอนกลางวันก็สามารถเข้าไปชม ปราสาทฮิโรซากิ อีกหนึ่งปราสาทสำคัญทางของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ภายในสวนสาธารณะฮิโรซากิได้

ปราสาทฮิโรซากิ นับว่าเป็นป้อมปราสาทที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในสมบัติชาติด้านวัฒนธรรมของประเทศ ป้อมปราสาท ประตูภายในสวน สะพาน หรือคูเมืองก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ คอประวัติศาสตร์ห้ามพลาดเลย



Winter Sakura Light-up (冬に咲くさくらライトアップ)

อีเวนต์เปิดไฟไลท์อัพสีชมพูที่จัดขึ้นในฤดูหนาว งดงามถึงขนาดได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวซากุระยามค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น จัดใกล้กับบริเวณสวนสาธารณะฮิโรซากิ

ที่อยู่: 1 Shimoshiroganechō, Hirosaki, Aomori
ค่าเข้าสวนสาธารณะ: ผู้ใหญ่ 310 เยน เด็ก 100 เยน
เวลาทำการ: ทุกวัน เวลา 9.00-17.00 น. *ช่วงเทศกาลซากุระเปิด 7.00-21.00 น.
การเดินทาง: เดินจากสถานี JR Hirosaki แล้วนั่งรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาที
Website สำหรับสวนสาธารณะฮิโรซากิ (ภาษาอังกฤษ): hirosakipark.jp
Website สำหรับอีเวนต์ Winter Sakura Light-up: peraichi.com



5. คฤหาสน์ซามูไรคาวาราดะ ในย่านคาคุโนะดาเตะ (จ.อาคิตะ)







คาคุโนะดาเตะเป็นย่านคฤหาสน์ซามูไรในเมืองเซ็มโบคุ จังหวัดอาคิตะ ที่ยังคงรักษาบรรยากาศแบบญี่ปุ่นเก่าแก่ไว้ได้ เพียงก้าวเข้าไปในย่านคาคุโนะดาเตะก็ให้ความรู้สึกราวกับย้อนไปในสมัยเอโดะ นอกจากนี้ ด้วยความที่คาคุโนะดาเตะมีต้นชิดาเระซากุระซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองเกียวโต ทำให้คาคุโนะดาเตะมีฉายาว่า “เกียวโตน้อยแห่งโทโฮคุ” ในฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนจะพากันมาชมความงามของชิดาเระซากุระที่มีกิ่งโน้มลงมาราวกับน้ำตก จะเดินชมชิวๆ ก็ได้ หรือนั่งรถลากก็ได้บรรยากาศไม่เลวเลย ถ้าอยากจะให้เข้ากับบรรยากาศมากขึ้นก็เช่าชุดกิโมโนมาใส่ได้ด้วยนะ




ในบรรดาคฤหาสน์ซามูไรที่มีให้ชมกันตลอดสองข้างทาง คฤหาสน์บางแห่งก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปชมบรรยากาศความเป็นอยู่และข้าวของของซามูไรที่เคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์อีกด้วย ปัจจุบันมีบ้านซามูไรเพียง 6 หลังเท่านั้นที่เปิดให้เข้าชม และ 1 ในนั้นคือ คฤหาสน์ซามูไรตระกูลคาวาราดะ ซามูไรตระกูลนี้เคยรับใช้ตระกูลอชินะซึ่งเป็นฟุดะอิไดเมียว (譜代大名, ไดเมียวที่สนับสนุนโทคุกาว่า อิเอยาสุ) มาตั้งแต่สมัยเอโดะ หลังจากนั้นก็ได้มาทำงานให้กับตระกูลซาตาเกะที่เข้ามาดูแลย่านคาคุโนะดาเตะแทนตระกูลอชินะที่ตายไป








คฤหาสน์แห่งนี้ยังคงรูปแบบคฤหาสน์ซามูไรสมัยเอโดะ ห้องเสื่อญี่ปุ่นสำหรับรับรองแขกก็เป็นแบบ Shoin-zukuri (書院造り) ซึ่งเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมสมัยมุโรมาจิที่มีอิทธิพลต่อเหล่าซามูไร และพบเห็นได้ทั่วไปในคฤหาสน์ของซามูไร ห้องจะเป็นลักษณะเหมือนห้องรับแขกรวมกับห้องอ่านหนังสือ ปูด้วยเสื่อทาทามิ

ภายในสวนของคฤหาสน์ปลูกต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ เช่น ชิดาเระซากุระ ต้นสนโมมิ ต้นแปะก๊วย ฯลฯ อีกทั้งยังมีมอสปกคลุมไปทั่วทำให้มองแล้วเพลินตาเพลินใจอย่างยิ่ง



คฤหาสน์ซามูไรตระกูลคาวาราดะ ในคาคุโนะดาเตะ (角館 河原田家)

ที่อยู่: Kakunodatemachi, Semboku, Akita 014-0331
เวลาทำการ: 9.00 – 17.00 (เข้าได้ถึง 16.30)
วันหยุด: 28 ธันวาคม – 4 มกราคม
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป) 300 เยน, เด็ก (นักเรียนมัธยมต้นหรือเด็กประถม) 150 เยน
มาเป็นกลุ่ม 20 คนขึ้นไป:ผู้ใหญ่ 200 เยน, เด็ก 100 เยน
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
Website: tazawako-kakunodate



คุ้มสุดๆ กับตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku Area)



ถ้าเพื่อนๆ อยากไปเที่ยวเก็บเสน่ห์ของโทโฮคุได้แบบคุณรุจแต่กลัวกระเป๋าตังค์ฉีก เราขอแนะนำตัวช่วยนั่นคือ JR EAST PASS (Tohoku Area) ตั๋ว Pass สุดคุ้มที่ขอแค่ถือพาสปอร์ตอื่นๆ ที่ไม่ใช่พาสปอร์ตญี่ปุ่นก็ซื้อได้ แน่นอนว่าคนไทยเราผ่านเงื่อนไขฉลุยแน่นอน โดยเราสามารถใช้ตั๋วนี้นั่งรถไฟ รถไฟชินกันเซ็น และรถบัสในเครือ JR East ได้แบบไม่อั้นทั่วโทโฮคุในราคา 20,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 10,000 เยน ตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ซึ่งลำพังราคาปกติของตั๋วรถไฟชินกันเซ็น (กรณีโดยสารรถไฟ Hayabusa โดยซื้อตั๋ว Reserved Seat ทั่วไปในซีซั่นปกติ) จากสถานี JR Tokyo ไป JR Sendai แบบไป-กลับก็ราคา 22,820 เยนแล้ว นับว่าเป็นราคาที่คุ้มมากๆ แถมผู้ซื้อตั๋วยังสามารถจองที่นั่งบนรถไฟชินกันเซ็นล่วงหน้าถึง 1 เดือนได้ฟรี และใช้ขึ้นรถไฟธีมพิเศษ​ Joyful Train เพื่อเพิ่มสีสันให้กับการเดินทางได้อีกด้วย จ่ายทีเดียวจบแถมนั่งคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!

ซื้อตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ได้ที่: JR EAST Official Website

Special Thanks


คุณรุจ (ศุภรุจ เตชะตานนท์) หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ รุจ เดอะสตาร์ เป็นศิลปินผู้มีผลงานอัลบั้มและเพลงมากมาย นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว คุณรุจยังถ่ายทอดความหลงใหลในประเทศญี่ปุ่นผ่านผลงานภาพถ่ายที่มีสไตล์เฉพาะตัวพร้อมข้อมูลละเอียดชนิดที่อ่านแล้วไปตามได้เลยใน เพจ Outside The Room ด้วยประสบการณ์เดินทางถ่ายภาพในญี่ปุ่นร่วม 7 ปี คุณรุจปล่อยผลงานพ็อกเก็ตบุ๊คและหนังสือรวมภาพหลายเล่ม เช่น JAPAN BEST DESTINATIONS สุดยอดจุดหมายที่คนรักญี่ปุ่นต้องไป, ไม่มีการเดินทางครั้งใดที่สูญเปล่า ฯลฯ

ติดตามคุณรุจได้ทาง

Facebook : Outside The Room
Instagram : @suparuj

ขอบคุณ ZIPAIR ผู้สนับสนุนการเดินทางจากประเทศไทยสู่กรุงโตเกียว


ZIPAIR เป็นสายการบินราคาประหยัด (LCC-Low Cost Carrier) ระดับพรีเมียมในเครือ Japan Airlines (JAL) ที่เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณกลางปี 2020 แม้เป็นสายการบินแบบ LCC แต่คุณภาพบริการและความสะดวกสบายของ ZIPAIR ที่ทัดเทียมกับ JAL ทำให้ ZIPAIR เป็นทางเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับใครที่กำลังมองหาการเดินทางไปญี่ปุ่นในราคาประหยัด

จุดเด่นหลักๆ ของสายการบิน ZIPAIR ที่ทำให้แตกต่างจากสายการบิน LCC ทั่วไป
1.มี Internet Wi-fi ให้ใช้ตลอดการบิน
2.ที่นั่ง standard กว้างนั่งสบาย มีฟังก์ชั่นหลากหลาย
3.ชำระเงินระบบ Cashless
4.Full-Flat Seat ที่ปรับนอนได้ แถมเป็นส่วนตัวสุดๆ
5.อาหารบนเครื่องมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติอร่อย

ตารางบินเส้นทาง กรุงเทพฯ – นาริตะ
ขาไป: กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – โตเกียว (นาริตะ) 23:10-7:25(+1)
ขากลับ: โตเกียว (นาริตะ) – กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 17:00-21:45
*มีเที่ยวบินทุกวัน

จองตั๋ว ZIPAIR: ZIPAIR Flight booking
อ่านรีวิวเพิ่มเติม: รีวิว ZIPAIR สายการบิน LCC ใหม่โดยเจแปนมาเสะ

ยังมีเรื่องราวสนุก ๆ และน่าสนใจเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอีกมากมาย ติดตามได้ที่ ANNGLE 
กำลังโหลดความคิดเห็น