xs
xsm
sm
md
lg

ถึงผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นสู่ชนบทญี่ปุ่น ... คู่มือการย้ายถิ่นที่ "ตรงเกินไป"?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ใครเคยมีความคิดอยากย้ายไปอยู่เมืองชนบทที่ญี่ปุ่นบ้างไหมครับ วันนี้จะมาเล่าคู่มือการย้ายถิ่นของเมืองอิเคดะ จังหวัดฟุกุอิที่ตงฉินมาก จนเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้ครับ ก่อนอื่นมาดูว่าเมืองอิเคดะอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง

เมืองอิเคดะ (池田町, Ikeda-chō) เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขาทุกด้าน ตั้งอยู่ในเขตอิมาดาเตะ ทางตอนกลางของจังหวัดฟุกุอิ ประเทศญี่ปุ่น มีพื้นที่ราว 194.65 ตารางกิโลเมตร ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีประชากรทั้งเมืองประมาณ 2,628 คน ( 943 ครัวเรือน) มีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 14 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา


ที่นี่มีภูเขาคันมูริ Mount Kanmuri ที่มีระดับความสูงสุดที่ 1,256 เมตร มีแม่น้ําอาสุวะไหลผ่านเมือง ผู้คนในเมืองอิเคดะส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในบริเวณที่ราบแคบๆ และมีหมู่บ้านเล็กๆ ระหว่างภูเขาสูงชันในเขตหุบเขาหลักเหนือ-ใต้และหุบเขาอื่นๆ อีกหลายแห่ง การเดินทางไปเมืองใกล้เคียงต้องข้ามทางที่ผ่านภูเขาสูง ถนนบนภูเขาที่ทอดยาวไปทางตะวันออกสู่โอโนะและทางใต้จากอิเคดะไปยังอิมาโจ เป็นต้น

เมืองนี้มีภูมิอากาศชื้น มีความโดดเด่นด้วยฤดูร้อนที่อบอุ่น สดชื่น เย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี คือ 13.0 °C อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดในเดือนสิงหาคม ที่ประมาณ 25.7 °C และต่ําสุดในเดือนมกราคม ปริมาณน้ําฝนทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2,362 มม. โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกที่สุด อย่างไรก็ตามเมืองนี้มีฤดูหนาวที่หนาวเย็นมาก มีหิมะตกหนัก บางส่วนของเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักมากๆ ของญี่ปุ่น


เมืองอิเคดะมีโรงเรียนประถมศึกษาที่ดําเนินการโดยรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองหนึ่งแห่งและเคยมีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นหนึ่งแห่ง เมืองนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างเมืองที่ใช้ประโยชน์จากป่าไม้ เพราะอยู่ในเขตที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ และส่งเสริมความร่วมมือของสมาชิกในการฟื้นฟูชุมชนอย่างแข็งขัน มุ่งเน้นไปที่การให้การสนับสนุนที่อยู่อาศัยและการจ้างงานในเมือง และมีผู้คนประมาณ 20 คน ที่อพยพย้ายถิ่นทั้งเข้าและออกจากเมืองในทุกๆ ปี


อย่างที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้การใช้ชีวิตช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ต่างคนต่างก็ต้องแยกตัว และสามารถทำงานทางไกลจากที่ใดก็ได้แค่มีระบบสื่อสารที่ใช้ร่วมกัน จึงมีคนที่อยู่ในเมืองหลวงและเมืองใหญ่หลายคนเริ่มคิดกลับมาใช้ชีวิตตามชนบทมากขึ้น และตอนนี้บางบริษัทก็ยังมีการทํางานทางไกลอยู่ จึงยังมีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กําลังคิดจะย้ายที่อยู่อาศัยไปยังพื้นที่ชนบทเพื่อค้นหาชีวิตที่ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ และรัฐบาลเองก็มีนโยบายให้การสนับสนุนการย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองชนบทด้วย 

เมืองอิเคดะจึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มักถูกถามถึง แหล่งข่าวกล่าวว่ามีผู้คนมาปรึกษาหารือการใช้ชีวิตในเมืองนี้ประมาณ 52,000 ครั้งโดยทําสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565


ประเด็นคือ มีการเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับข้อควรทราบในการอพยพย้ายถิ่นฐานสู่เมืองอิเคดะจากส่วนราชการองค์กรบริหารท้องถิ่นของเมือง ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารประชาสัมพันธ์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และยังประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของเมืองอีกด้วย 

ในสื่อสิ่งพิมพ์นั้นกล่าวว่า "ฉันจะบอกปัญหาของหมู่บ้านโดยไม่ปิดบังเพื่อที่คุณจะได้ไม่มาพูดทีหลังว่า 'ไม่เคยได้ยินมาก่อน' หรือ ‘ไม่เคยรู้เรื่องเลย' คุณควรรู้ตั้งแต่ก่อนที่จะย้ายมา” และสมาคมนายกเทศมนตรีก็มีการสรุปคู่มือการย้ายถิ่น 7 หัวข้อหลักตามแนวคิดที่ต้องการ เป็นเครื่องมือในการทําความเข้าใจหมู่บ้านอย่างถ่องแท้ และกล่าวว่าเมืองไม่มีเจตนาที่จะกําจัดผู้อพยพย้ายถิ่นเลย!


ข้อเสนอหลักๆ ของเมืองอาทิเช่น "ต้องการต้อนรับผู้คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในสภาพอากาศตามธรรมชาติของเมืองและอยากให้ผู้คนมีความรู้สึกดีๆ อย่างไรก็ตามเมืองมีความจำเป็นต้องป้องกันปัญหาจากความเสียใจและความเข้าใจผิด ดังกล่าวคู่มือนี้มีเนื้อหาที่ส่งเสริมการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เช่น ต้องมีการเข้าร่วมกิจกรรมระดับภูมิภาค เช่น การตัดหญ้า การตักหิมะ และเทศกาลต่างๆ เป็นต้น”

นอกจากนี้ยังกล่าวว่า “เมืองยังมีทิวทัศน์และประเพณีที่สวยงาม ที่ยังคงดําเนินต่อไปเพราะพวกเราได้ทํางานอย่างหนักเพื่อปกป้องชุมชนท้องถิ่นที่เข้มแข็งแบบเก่า สําหรับผู้ที่คิดทบทวนการย้ายถิ่นฐานมาสู่เมืองอิเดคะ กรุณาอ่านหนังสือคู่มือเล่มเล็กที่สรุปขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของแต่ละหมู่บ้านด้วย”


จึงเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์บทความนี้มากมาย เช่น "นับว่าเป็นความพิเศษที่สุดโต่ง" หรือ "สารจากเบื้องบน" หรือ "ไม่ใช่การเผยแพร่ที่ดีนัก" เป็นต้น แต่ประธานคณะกรรมการกล่าวเกี่ยวกับคู่มือข้อเสนอของเมืองอิเคดะว่า "อาจจะมีการแสดงออกที่ไม่ดีนักแต่ไม่ใช่เนื้อหาแปลกๆ มีการเผยแพร่ข้อมูลของเมืองอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงการให้ข้อมูลด้านลบ เพื่อให้ผู้ย้ายถิ่นสามารถเข้าใจทิศทางการย้ายถิ่นที่เหมาะสม" 

ยิ่งไปกว่านั้น ได้อธิบายทัศนคติของการย้ายถิ่นว่า "การโยกย้ายอาจล้มเหลวถ้าคิดเพียงแค่โหยหาบางสิ่ง แต่สิ่งสําคัญคือต้องจําลองและปรึกษาข้อมูลที่แท้จริงล่วงหน้าซ้ําแล้วซ้ําเล่าว่าสามารถยอมรับสภาพอากาศและขนบธรรมเนียมในท้องถิ่นและพยายามทำให้กลมกลืนกับตัวเองได้หรือไม่ 

ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้เลือกสถานที่ที่จะย้ายที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อความเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตใหม่และรู้จักความไม่สะดวกในภูมิภาคที่เวลาเดินเนิ่นช้าเช่นที่นี่" ซึ่งบางครั้งเทศบาลทุกเมืองในประเทศ ก็เศร้าใจจากปัญหาการลดลงของจํานวนประชากร และต้องการให้คนหนุ่มสาวจากที่อื่นย้ายเข้ามาอยู่อาศัยมากๆ แต่ก็ไม่สามารถพูดเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง!


ตามปกติแล้วเมืองตามชนบทที่มีประชากรน้อย มักจะประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองกันเยอะๆ แต่ว่าเพจหลักของเมืองนี้ออกมาประชาสัมพันธ์เองเลยว่า อย่าใช้ลักษณะนิสัยของคนเมืองเข้ามาอยู่ที่นี่ และต้องมีการเข้าร่วมกิจกรรมระดับภูมิภาค เช่น การช่วยกันตัดหญ้า ช่วยกันตักเก็บกวาดหิมะ และร่วมเทศกาลต่างๆ จึงทำให้เกิดการวิจารณ์กันสนั่นดังกล่าวไป 

แต่ในความคิดของผม ผมเองก็โตมาในเมืองชนบทเล็กๆ มีประชากรน้อยและหนาวเย็นมาก ในฤดูหนาวมีหิมะตกท่วมหลังคา และตามถนนหนทางท่วมสูงเป็นเมตรๆ ต้องช่วยกันตักออก ผมจึงรู้สึกว่าการที่เขากล้าพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเพราะมีความซื่อสัตย์ และบอกกล่าวในสิ่งที่เป็นความจริง เพราะปกติแล้วเวลาคนเราจะพูดอะไรก็มักให้ข้อมูลในแง่มุมดีงามของตน และพูดแต่สิ่งที่ดีๆ เช่น เป็นเมืองที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์สวยงาม มีผู้คนใจดีอะไรก็ว่าไป แต่ถ้ามีคนย้ายมาอยู่แล้วมาเจอความจริงก็อาจจะไม่พอใจและรับสภาพไม่ได้ก็ได้ และการที่เมืองรู้จักตัวเองดีแล้วพูดออกมาแบบนี้ถือว่ามีความสมาร์ทมากทีเดียว อยากไปอยู่ไหมครับ

วันนี้เล่าสู่กันฟัง พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น