สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว สวัสดีปีใหม่ครับปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ 今年もお世話になります。よろしくお願い致します。(^人^) อาทิตย์ที่แล้วผมเล่าว่าผมมักจะเขียนแนะนำเพลง, ภาพยนตร์, อนิเมชั่น หรือการ์ตูนมังงะต่างๆ อยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยแนะนำหนังสือเท่าไหร่นักๆ เพราะคิดว่าถ้าเราได้เจอและอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งและเกิดความประทับใจขึ้นมาเอง จะเป็นสิ่งที่น่าซาบซึ้งใจมากกว่า แต่ว่าอาทิตย์ที่แล้วได้เกริ่นไปหนึ่งเรื่องนะครับคือ The World's Most Dangerous Places หนังสือแปลของโรเบิร์ต ยัง เพลตันครับ
การเจอหนังสือดีๆ สักเล่มเปรียบเสมือนการได้เจอเพื่อนดีๆ อีกคน สำหรับ The World's Most Dangerous Places ผมคิดว่าคือคู่มือกลยุทธ์การเอาตัวรอดสำหรับภูมิภาคที่มีความเสี่ยงสูง ด้วยเรื่องราวของการเดินทางผจญภัยอันน่าทึ่งในแต่ละประเทศที่นักเขียนเลือกมา และยังให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการติดต่อองค์กรนอกภาครัฐและหน่วยกู้ภัย, กลุ่มสิ่งแวดล้อม, นักเคลื่อนไหวทางการเมือง โรงเรียนฝึกอบรมเพื่อเอาชีวิตรอดกลางแจ้ง เทคนิคคอมมานโด และคําแนะนําอื่นๆ ที่อาจช่วยชีวิตได้ หนังสือยังมีการนําเสนอข้อมูลล่าสุดแบบสั้นๆ ของแต่ละประเทศ ให้คําแนะนําเกี่ยวกับวิธีการเข้า ออก และความปลอดภัย และพูดถึงการค้นพบอันตรายของท้องถิ่น ตั้งแต่โรคภัยไข้เจ็บ ทุ่นระเบิด และการลักพาตัวไปจนถึงทหารรับจ้างและกองทหารรักษาการณ์ แต่สิ่งที่เขาบอกว่าน่ากลัวที่สุดกลับเป็นเรื่องอุบัติเหตุครับ
ถือเป็นหนังสือที่ดีอีกเรื่องสำหรับคนชอบเดินทางและเปิดมุมมอง มีบทที่พูดถึงอันตรายเมื่อคุณนั่งแท็กซี่ด้วย เป็นหนังสือที่ขายดีมาก นักเขียนทำงานอื่นเป็นอาชีพหลัก แต่มีความชอบเดินทางไปประเทศที่คนไม่ค่อยเดินทางไปเที่ยวกันนัก เช่น ประเทศที่อันตรายมีเหตุการณ์ไม่สงบ, มีการก่อกบฏหรืออยู่ในช่วงการปฏิวัติรัฐบาล, มีศึกสงครามหรือเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีคนนิยมไปเที่ยว พอเขาเอาต้นฉบับงานเขียนไปนำเสนอให้กับสำนักพิมพ์ก็ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนรับและให้เหตุผลว่าไม่น่าสนใจ บางสำนักพิมพ์บอกว่าใครจะอ่านหนังสือแบบนี้ ไม่มีคนอยากไปเที่ยวประเทศที่คนเขาไม่ไปเที่ยวกันหรอก!!
นักเขียนจึงนำไปตีพิมพ์ขายซะเองเลย สรุปว่าขายดีมากเป็นเทน้ำเทท่า ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลหลายภาษา ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะรวมข้อมูลของประเทศที่เขาอยากแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวที่เลือกมาประมาณ 25 ประเทศ ช่วงเขียนอารัมภบทเกริ่นแนะนำประเทศนั้นๆ ถือว่าเป็นงานเขียนที่ยอดเยี่ยมมากครับ ผมเองก็ชอบเดินทางท่องเที่ยวอยู่แล้ว ชอบบทที่เขาย้ำเตือนว่าเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือระวังอุบัติเหตุ! และความน่าเป็นห่วงของนักเดินทาง ให้ทายว่าคนที่น่าเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัยมากที่สุดคือใคร ระหว่างพวก Backpacker(แบ็คแพ็คเกอร์) หรือคนที่เดินทางท่องเที่ยวโดยซื้อแพ็คเกจทัวร์ หรือผู้ที่ไปประเทศนั้นๆ โดยธุระกิจของบริษัทหรือที่เรียกกันว่าบิสซิเนสทริป เขาบอกว่าคนที่น่าห่วงเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดคือคนที่เดินทางไปแบบบิสซิเนสทริปนั่นเอง
และแนะนำว่าคนในท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ จะมีปฏิกิริยากับนักท่องเที่ยวอย่างไร ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวคนนั้นปฏิบัติกับเขาอย่างไรทั้งภาษากายและภาษาพูด และอย่างน้อยควรพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สามารถสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้บ้าง อย่าไปดูถูกคนท้องถิ่นว่าพูดสื่อสารไม่รู้เรื่อง นักท่องเที่ยวที่มักแสดงถึงลักษณะนิสัยด้านมืดเช่น คนที่รู้สึกว่าตัวเองเด่นกว่าคนอื่น ขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่นหรือหลงตัวเอง อาจจะโดนกลั่นแกล้งหรือโดนขโมยของเอาง่ายๆ ก็ได้ และมีตอนที่เล่าเกี่ยวกับแท็กซี่ของแต่ละประเทศ เขาบอกเลยว่าการนั่งแท็กซี่ที่ประเทศนั้นๆ หมายถึงอันตรายทั้งร่างกายและกระเป๋าตังค์ของนักท่องเที่ยวเอง
แต่ถ้าพูดถึงแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ทุกคนคงนึกภาพแท็กซี่ที่สะอาดปลอดภัยให้บริการดีมีความสุภาพ พนักงานขับรถไม่เอาเปรียบลูกค้าและชำระค่าโดยสารตามมิเตอร์จริง แต่อาจมีหลุดคอนเซ็ปต์บ้างในบ้างครั้ง เดือนที่แล้วที่ผมไปเที่ยวจังหวัดฟุกุโอกะล่าสุดก็ใช้บริการรถแท็กซี่ครับ ถ้านั่งหลายคนก็ถือว่าคุ้มอยู่ครับและลุงคนขับแท็กซี่ก็จะช่วยแนะนำและเล่าเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งอาหาร ออนเซ็น ให้เราได้รับฟังไปด้วย ถือว่าได้ความรู้และคำแนะนำจากคนท้องถิ่นโดยตรง ทั้งทริปนี้ผมได้ใช้แท็กซี่ประมาณ 5 ครั้ง ก็หมายถึงเจอคนขับ 5 คน ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะสุภาพตามสไตล์ญี่ปุ่น แต่วันที่เดินทางจากจังหวัดซากะมาถึงสถานีรถไฟฮากะตะต้องเรียกแท็กซี่ไปส่งโรงแรมที่พัก เนื่องจากมีผู้สูงวัยและมีกระเป๋าเดินทางด้วย
มีรถแท็กซี่ที่จอดเรียงตามคิวที่หน้าสถานีรถไฟหลายคัน วันนั้นเราได้รถแท็กซี่ส่วนบุคคล ที่คนขับออกจะมีบุคลิกตื่นเต้นลนๆ ชอบกล ดูไม่นิ่งก็รู้สึกเอะใจนิดหน่อยแต่เข้ามานั่งในรถกันแล้ว ก็บอกจุดหมายปลายทางโดยที่ผมทั้งบอกสถานที่ที่จะไปและส่งแผนที่ที่ปรินท์มาให้ลุงคนขับ ลุงแท็กซี่ดูแล้วก็บอกให้ผมช่วยพิมพ์ข้อมูลลงไปในเนวิเกเตอร์ให้หน่อย ตอนนั้นผมก็ตกใจเพราะไม่ได้นั่งแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นมาพักใหญ่ๆ แล้ว ก็นึกว่าเดี๋ยวนี้ลูกค้าต้องเป็นคนพิมพ์เองหรือเปล่าเพราะว่าเวลาไปร้านสะดวกซื้อหรือว่าซื้อของส่วนใหญ่ลูกค้าต้องเป็นคนทำเรื่องจ่ายเงินเองกับตู้อัตโนมัติ แต่ก็คิดอยู่ว่าแล้วทำไมคนขับรถแท็กซี่ไม่พิมพ์เองหรอ ตอนนั้นรถคันที่จอดต่อจากลุงก็มีลูกค้าทยอยกันมา รถคันหลังจึงขอทางลุงยิ่งลนเข้าไปใหญ่เลย แกก็ขับหลีกทางมาหน่อยแล้วก็กดข้อมูลของแกไป ผมไม่น่าปล่อยแกทำเองเลย!!
พอลุงออกรถ พวกเราก็ได้แต่นั่งมองข้างทางไป ผมบอกลุงไปว่าผมคิดว่าที่พักผมอยู่ใกล้ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง (ผมบอกชื่อศาลเจ้า) ถ้าลุงไม่รู้ทางให้ไปทางศาลเจ้านั้นก็ได้ แต่ลุงบอกว่าไม่เห็นว่าอยู่ใกล้ศาลเจ้าอะไร ตอนนั้นผมก็ตามใจแท็กซี่นะเพราะว่าจริงๆ อย่างที่เรารู้กันว่าแท็กซี่ญี่ปุ่นค่อนข้างไว้ใจได้ สักพักหนึ่งลุงก็จอดข้างสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้วชี้บอกว่า ที่พักผมน่าจะอยู่ด้านหลังตึกข้างหน้านี้! พวกเราลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง ตัวผมออกไปเดินหาที่พักรอบๆ แถวนั้นก็ไม่เจอ คิดว่าโดนลุงแท็กซี่เทกลางทางเข้าแล้ว!! เมื่อคิดว่าผิดตำแหน่งแน่ๆ ก็ผิดหวังนิดหน่อยเพราะทุกคนเหนื่อยมาก นั่งรอกันอยู่ข้างถนนแต่พอดีมีแท็กซี่อีกคันผ่านมา เราก็รีบเรียกแท็กซี่อีกคันหนึ่งให้ไปส่งสถานที่ที่เราต้องการไป
ผมถามแท็กซี่คันที่สองว่าตอนนี้ลูกค้าต้องเป็นคนใส่ข้อมูลในนาวิเกเตอร์เองหรือเปล่าครับ ต้องเป็นระบบบริการตนเองหรือไม่? ลุงแท็กซี่คนที่สองบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยอย่างนี้ คนขับต้องรู้ทางและใส่ข้อมูลเอง อ้าวถ้างั้นแสดงว่าแท็กซี่คันแรกทิ้งผมนี่เค้าเป็นฝ่ายผิดใช่ไหมครับเนี่ย แท็กซี่คันที่สองบอกว่าเป็นแท็กซี่ที่แย่มาก แล้วก็ทำผิดพลาดอย่างมากที่สุด จริงๆ แล้ว ถ้าเพื่อนๆ บังเอิญเจอเหตุการณ์อย่างที่ผมเล่า เราเป็นลูกค้าสามารถโทรศัพท์ไปเคลมได้นะครับ ตอนที่เราจ่ายเงินจะมีใบเสร็จรับเงินออกมา ซึ่งในนั้นจะมีข้อมูลคนขับแท็กซี่และเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทหรือถ้าเป็นกรณีรถแท็กซี่ส่วนบุคคลก็มีโทรศัพท์ติดต่อเหมือนกันครับ ตอนแรกผมก็คิดจะโทรศัพท์ไปเคลมเหมือนกัน แต่มาคิดดูแล้ว ลุงคนขับแท็กซี่คนแรกเขาน่าจะมีปัญหาบุคลิกภาพบางอย่างที่ไม่เหมาะกับการทำงานบริษัทหรืองานบริการนัก มีงานทำได้ในปัจจุบันก็ถือว่าเก่งแล้ว แต่เมื่อกลับมานึกถึงอีกทีก็เป็นอีกประสบการณ์ที่สนุกดีครับ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า วันนี้สวัสดีครับ