ภูมิภาคโทโฮคุ เป็นภูมิภาคที่อยู่กึ่งกลางระหว่างฮอกไกโดและภูมิภาคคันโต ประกอบไปด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอาโอโมริ อาคิตะ อิวาเตะ ยามากาตะ ฟุกุชิม่า และมิยางิ ซึ่งแต่ละจังหวัดต่างมีธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และถือเป็นหนึ่งที่ที่เราจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตลอดทั้ง 4 ฤดูของญี่ปุ่น แต่ถ้าเราเอ่ยถึงแค่นี้ หลายคนน่าจะยังนึกภาพไม่ออกว่าโทโฮคุในแต่ละฤดูนั้นสวยงามอย่างไรบ้าง
บทความนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ Collaboration กับคุณรุจ (ศุภรุจ เตชะตานนท์) หรือรุจ เดอะสตาร์ซึ่งปัจจุบันรับอีกบทบาทเป็นแอดมินสุดเฟรนด์ลี่ที่คอยแบ่งปันมุมสวยๆ ของญี่ปุ่นในเพจ Outside The Room โดยซีรี่ส์นี้เป็นซีรี่ส์ที่เราจะขอชวนทุกคนก้าว Outside The Room ของตัวเองและเข้ามาเที่ยว Inside โทโฮคุพร้อมข้อมูลแน่นปั้กและเรื่องเล่าแบบ Insight จากคุณรุจ และในตอนแรกนี้ เราขอเปิดประตูสู่โทโฮคุกันด้วยมุมสวยๆ ใน 4 ฤดูของโทโฮคุที่คุณรุจคัดมาแล้วว่าจะทำให้ทุกคนหลงรักภูมิภาคนี้ของญี่ปุ่นได้แน่นอน
ฤดูใบไม้ผลิและมุมซากุระสวยปังของโทโฮคุ
ทุกคนรู้ โลกรู้ ว่าถ้ามาญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนก็ต้องมาเพื่อเก็บภาพซากุระสีชมพูสวยงาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่ที่มีให้เห็นเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น และถ้าดูคลังภาพในเพจ Outside The Room ล่ะก็จะเห็นได้ว่าคุณรุจมีภาพซากุระสวยๆ ในโทโฮคุเยอะมากและแต่ละที่ต่างก็สวยน่าไปตามทั้งนั้น
แต่ที่คุณรุจเลือกมาแล้วว่าเป็น The Best นั้นได้แก่ปราสาทสึรุกะและต้นมิฮารุทาคิซากุระซึ่งล้วนอยู่ในจังหวัดฟุกุชิม่า เพราะอะไรนั้น มาดูกัน
1. ปราสาทสึรุกะ (จ.ฟุกุชิม่า)
ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城, Tsuruga Castle) เดิมชื่อว่า คุโรคาวะยากาตะ สร้างในปี 1384 หลังจากนั้นในปี 1593 ผู้บัญชาการทหารชื่อ กะโม อุจิซาโตะให้สร้างหอคอยปราสาทขึ้นแบบเต็มตัวแล้วให้ชื่อว่า ปราสาทสึรุกะ โดยได้รับการขนานนามว่าเป็นปราสาทที่แข็งแกร่งและถูกโจมตีได้ยาก เพราะในสงครามโบชินได้ต้านทานการรุกของกองทัพรัฐบาลใหม่ในสมัยนั้นได้เป็นระยะเวลาถึง 1 เดือน หลังจากนั้นได้ถูกทำลายลงทั้งหมด แต่หอคอยปราสาทได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1965 หลังจากนั้นอาคารอื่น ๆ ก็ถูกสร้างกลับคืนมา จนในปี 2011 ได้มีการปูกระเบื้องหลังคาแดงใหม่ให้เหมือนในยุคปลายเอโดะ ถือได้ว่าเป็นปราสาทหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีหลังคาแดงโดดเด่นเป็นสง่า ภายในตัวปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไอสึ อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังมีพื้นที่สวน เรือนน้ำชา ร้านอาหาร และจุดทำกิจกรรมงานคราฟท์ท้องถิ่น เช่น การระบายสีวัวนำโชคอาคาเบโกะ (あかべこ) ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครอายุเท่าไหร่ก็มาใช้เวลาสนุกไปกับที่แห่งนี้ได้ กล่าวได้ว่าปราสาทสึรุกะเป็นหัวใจของผู้คนในไอสึวากามัตสึก็ว่าได้
อย่างที่พูดถึงเมื่อกี้ว่าหลังคาสีออกแดงของปราสาทสึรุกะเป็นสถาปัตยกรรมที่หาชมได้ยาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นขวัญใจคนอยากถ่ายรูปซากุระ เพราะความที่หลังคาเป็นสีแดงนี่เองที่ทำให้เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้ว ปราสาทจะดูสวยรับสีชมพูของซากุระได้อย่างลงตัวสุดๆ ชนิดที่จะมองจากมุมไหนของสวนก็ละสายตายากทั้งนั้น
ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城)
ปราสาทสีขาวหลังคาแดงอันเป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำเมืองไอสึวากามัตสึ จังหวัดฟุกุชิม่า อีกทั้งเป็นฉากหลังสำคัญของเหตุการณ์สำคัญในญี่ปุ่นที่คอประวัติศาสตร์ห้ามพลาด ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ผู้คนเข้ามาชมความงดงามและพักผ่อนหย่อนใจ
ที่ตั้ง: 1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima 965-0873, Japan
การเดินทาง: จากสถานี JR Aizu-Wakamatsu นั่ง Aizu Loop Bus ไปลงที่ป้าย Tsurugajo Kitaguchi แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
ค่าเข้า: 410 เยน (เฉพาะปราสาท)
เวลาทำการ: 8:30-17:00 (เข้าได้ถึง 16:30)
ช่วงชมซากุระ: ปลายเดือนเมษายน-ต้นเดือนพฤษภาคม
เว็บไซต์: aizukanko.com
แผนที่
2. มิฮารุทาคิซากุระ (จ.ฟุกุชิม่า)
มาต่อกันที่อีกจุดชมซากุระชื่อดังของจังหวัดฟุกุชิม่ากัน มิฮารุทาคิซากุระ (三春滝桜, Miharutaki Zakura) เป็นต้นซากุระพันธุ์เบนิชิดาเระเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปีที่ยืนต้นเดี่ยว นอกจากอายุแล้ว สิ่งที่ทำให้มิฮารุทาคิซากุระดูสวยงามแฝงมนต์ขลังก็คือความสูงกว่า 13 เมตรและกิ่งก้านเต็มไปด้วยดอกซากุระที่ห้อยระย้าเรี่ยพื้นลงมาราวกับน้ำตกดอกไม้สมชื่อ “ทาคิซากุระ” (ทาคิ 滝 -น้ำตก) ถ้าให้เปรียบล่ะก็ มิฮารุทาคิซากุระก็คงเหมือนสุภาพสตรีสูงศักดิ์ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังสวยสง่าสะกดสายตาทุกคนที่มองเห็นได้เสมอมา ความสวยงามเก่าแก่นี่เองที่ทำให้มิฮารุทาคิซากุระถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 ซากุระที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น (日本三巨大桜) ควบด้วยตำแหน่ง 1 ใน 5 ซากุระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น (日本五大桜) ถ้าอยากมาชมความงามของมิฮาคุทาคิซากุระล่ะก็ แนะนำให้มาในช่วงเดือนกลางถึงปลายเดือนเมษายนนะ
มิฮารุทาคิซากุระ (三春滝桜)
ซากุระพันปีและเป็น 1 ใน 3 ต้นซากุระที่ใหญ่ที่สุดด้วยความสูงกว่า 13 เมตร เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกซากุระสีชมพูระเรื่อจะย้อยลงมาราวกับน้ำตกบุปผาสวยงามตระการตา
ที่ตั้ง: Sakurakubo-115 Taki, Miharu, Tamura District, Fukushima 963-7714 Japan
การเดินทาง: ลงจากสถานี JR Miharu แล้วนั่งรถต่ออีก 20 นาที ช่วงที่ซากุระบานสามารถนั่งรถบัสสายพิเศษไปได้
ค่าเข้า: 300 เยน (เด็กมัธยมต้นลงไปเข้าฟรี)
เวลาทำการ: 6:00-18:00 (ช่วงเปิดไฟไลท์อัพเข้าได้ถึง 20:30)
ช่วงชมซากุระ: ประมาณเดือนเมษายน
เว็บไซต์: miharukoma.com
แผนที่
ฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยศิลปะและสีสันแห่งเทศกาลของโทโฮคุ
ฤดูร้อนฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่มีทางสมบูรณ์แบบถ้าขาดสีสันแห่งเทศกาลและงานศิลป์ไป และรู้หรือไม่? ว่าโทโฮคุเป็นที่ที่เพื่อนๆ จะได้มาสัมผัสหนึ่งในเทศกาลฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น และอีเว้นท์ต่างๆ ที่มาเที่ยวกี่ครั้งก็สนุกไม่มีเบื่อ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับไฮไลท์ฤดูร้อน คุณรุจก็คัดเลือกงานที่ถือเป็นที่สุดของสีสันฤดูร้อนแห่งโทโฮคุมาให้เราแล้ว ได้แก่เทศกาลอาโอโมริเนบูตะและศิลปะนาข้าวซึ่งทั้งสองนั้นต่างอยู่ในจังหวัดอาโอโมริ จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของภูมิภาคโทโฮคุนั่นเอง
1. เทศกาลอาโอโมริเนบูตะ (จ.อาโอโมริ)
เทศกาลอาโอโมริเนบูตะ (青森ねぶた祭り, Aomori Nebuta Festival) เป็น 1 ใน 3 เทศกาลฤดูร้อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุซึ่งถูกจัดขึ้นกว่า 40 งานทั่วจังหวัดอาโอโมริ โ งานเทศกาลอาโอโมริเนบูตะจะจัดขึ้นที่จังหวัดอาโอโมริในช่วงวันที่ 2-7 สิงหาคมของทุกปี และมีไฮไลท์คือขบวนพาเหรดโคมไฟเนบูตะขนาดยักษ์ที่ถูกทำขึ้นเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น ซามูไร ภูตผี ปีศาจ ฯลฯ ซึ่งโคมไฟจะถูกแห่ไปพร้อมขบวนนักดนตรีและนักเต้นรำที่ร้องตะโกนว่า “รัสเซรา รัสเซรา รัสเสะ รัสเสะ รัสเซรา” ดังก้องทั่วบริเวณ ในตอนกลางคืนโคมไฟจะส่องสว่างหลากสีตัดกับท้องฟ้ามืดสีดำทำให้ดูน่าเกรงขามและอลังการสมกับที่เป็นหนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภูมิภาค ถ้ามีโอกาสมาโทโฮคุในช่วงเดือนสิงหาคมล่ะก็ ลองเช่าชุดพื้นบ้านมาใส่และร่วมวงเต้นกันให้ได้นะ
เทศกาลอาโอโมริเนบูตะ (青森ねぶた祭り)
เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ผู้คนทั่วไปก็สามารถร่วมเดินขบวนพร้อมชมความยิ่งใหญ่ของโคมยักษ์ที่ใช้เวลาทำร่วมปีและดอกไม้ไฟในวันสุดท้ายของเทศกาลได้
การเดินทาง: ลงจากสถานี JR Aomori แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
เวลาเริ่มเทศกาล: ต่างกันไปตามแต่ละวัน สามารถเช็กที่เว็บไซต์ทางการได้ในลิงก์ (ภาษาอังกฤษ)
ช่วงเทศกาล: 2-7 สิงหาคม
เว็บไซต์: nebuta.jp
2. ศิลปะนาข้าว (จ.อาโอโมริ)
ศิลปะนาข้าวในจังหวัดอาโอโมริ เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และฝีมือชาวบ้านหมู่บ้าน Inakadate ที่อยากเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับชาวนาในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังซบเซา และเพื่อเป็นการโฆษณาพันธุ์ข้าวสึการุโอโตเมะ (つがるおとめ) ของหมู่บ้านอินากะดาเตะไปในตัว แต่เดิมศิลปะนาข้าวนี้จะเป็นเพียงการสร้างตัวอักษรจากข้าว 3 สี ได้แก่ ม่วง เหลือง และเขียวเท่านั้น ต่อมามีพันธุ์ข้าวเพิ่มมากขึ้นถึง 13 ชนิดและมีมากถึง 7 สี ทำให้ชาวบ้านสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะนาข้าวได้หลากหลายและสร้างสรรค์มากขึ้น
เมื่อถึงช่วงที่ข้าวออกรวงเต็มที่ในช่วงประมาณกลางเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม ถ้าเราขึ้นไปอยู่บนที่สูงแล้วมองลงมา เราจะเห็นต้นข้าวที่ประกอบขึ้นรูปภาพต่างๆ ซึ่งจะเปลี่ยนไปในแต่ละปี เช่น ในปี 2016 ที่ภาพยนตร์ Godzilla กำลังบูม ศิลปะนาข้าวของที่นี่ก็ทำเป็นรูปก๊อตซิลลา ถือเป็นศิลปะที่มีให้เห็นเฉพาะในฤดูร้อนและชวนให้ลุ้นว่าปีนี้เราจะได้เห็นภาพไหนถูกวาด (ปลูก) อยู่บนท้องนากัน
ศิลปะนาข้าว (田んぼアート)
งานศิลปะพิเศษเฉพาะฤดูร้อนที่สร้างสรรค์จากต้นข้าวหลากชนิดหลากสี ภาพงานศิลปะจะเปลี่ยนไปในทุกๆ ปีไม่ซ้ำกัน มีให้ชม 2 ที่ใกล้ๆ กัน
ช่วงชมศิลปะนาข้าวที่ดีที่สุด: ราวกลางเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม
เว็บไซต์: inakadate-tanboart.net
จุดชมศิลปะนาข้าวจุดที่ 1
ที่ตั้ง: Nakatsuji, Inakadate, Minamitsugaru District, Aomori
การเดินทาง: ลงจากสถานี Tanbo-art แล้วนั่งเดินต่ออีก 30 นาที ช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมที่สามารถดูศิลปะนาข้าวได้จะมีรถบัสให้ใช้บริการฟรี
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 300 เยน, นักเรียนมัธยมต้น 100 เยน, เด็กเล็กฟรี แต่หากขึ้นไปชั้นสูงๆ อีกจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ผู้ใหญ่ 200 เยน และ เด็กมัธยมต้น 100 เยน
เวลาทำการ: 9.00 – 17.00 น. (เข้าได้ถึง 16.00 น.) แต่จะขยายเวลาในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคมเป็น 8.30 น. – 18.00 น. (เข้าได้ถึง 17.30 น.)
แผนที่
จุดชมศิลปะนาข้าวจุดที่ 2
ที่ตั้ง: Izumi Takahi, Inakadate, Minamitsugaru District, Aomori 038-1111 Japan
การเดินทาง: ห่างจากสถานที่ดูศิลปะนาข้าวที่ 1 เพียงเดินไป 5 นาที
ค่าเข้า: ใหญ่ 300 เยน, เด็กมัธยมต้น 100 เยน, เด็กเล็กฟรี
เวลาทำการ: 9.00 น. – 17.00 น. (เข้าได้ถึง 16.00 น.) แต่จะขยายเวลาในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคมเป็น 8.30 น. – 18.00 น. (เข้าได้ถึง 17.30 น.)
ฤดูใบไม้ร่วงและสีสันใบไม้เปลี่ยนสีร้อนแรงแห่งโทโฮคุ
สำหรับคนที่อยากเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีแบบสวยอลัง โลเคชั่นในอุดมคติก็ต้องเป็นตามป่าและแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และโทโฮคุมีโลเคชั่นแบบนี้เพียบ! ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เรียกนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และเช่นเดียวกันกับซากุระ คุณรุจเองก็ไปเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีในโทโฮคุมาแล้วหลายที่เช่นกัน แต่ในบรรดาจุดล่าใบไม้เปลี่ยนสีทั้งหมดที่ไปมา คุณรุจกระซิบมาว่าสถานที่ในดวงใจเลยคือแถวๆ จังหวัดอาคิตะ จังหวัดอิวาเตะ และจังหวัดมิยางิ
1. ถนน Hachimantai Aspite Line (จ.อาคิตะ-จ.อิวาเตะ)
ถนน Hachimantai Aspite Line (八幡平アスピーテライン) เป็นเส้นทาง Driveway ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดอาคิตะและจังหวัดอิวาเตะ หลายคนอาจจะรู้จักถนนเส้นนี้จากภาพกำแพงหิมะที่ทับถมสูงในฤดูหนาว แต่รู้ไหม? ว่าที่นี่เองก็สวยเด็ดในฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน เพราะระหว่างขับรถไปเราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแบบจุใจตลอดทั้งสองข้างทางเป็นระยะทาง 27 กิโลเมตร ซึ่งบอกเลยว่าสวยมากชนิดที่เพื่อนๆ อาจจะอยากขับรถไปเรื่อยๆ เลยก็เป็นได้
นอกจากใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ระหว่างทางเราจะได้เห็นภูเขาอิวาเตะที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดอิวาเตะได้อย่างเต็มตาอีกด้วย คนรักการขับรถเที่ยวห้ามพลาดเลย อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องการถ่ายรูปนะ เพราะระหว่างทางจะมีจุดจอดรถให้นักท่องเที่ยวแวะลงไปถ่ายรูปได้ด้วย เพราะงั้นเตรียมเมมกล้องว่างๆ ไว้ได้เลย
Hachimantai Aspite Line (八幡平アスピーテライン)
ถนนที่เชื่อมระหว่างจังหวัดอาคิตะและจังหวัดอิวาเตะ มีความยาว 27 กิโลเมตร ช่วงฤดูใบไม้ร่วงสามารถชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีได้ตลอดเส้นทาง อีกไฮไลท์คือกำแพงหิมะสูงที่จะนั่งรถชมได้ในช่วงเดือนเมษายน
การเดินทาง: รถเช่าส่วนตัว หรือ นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Morioka แล้วนั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Hachimantai-chojo
ช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุด: ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม
แผนที่
2. หุบเขาเกบิเค (จ.อิวาเตะ)
หุบเขาเกบิเค (猊鼻渓, Geibikei Gorge) เป็นหุบเขาในจังหวัดอิวาเตะที่มีผาหินสูงกว่า 100 เมตรทอดยาว 2 กิโลเมตรและมีแม่น้ำซาเท็ตสึ (砂鉄川, Satetsu River) แทรกตัวอยู่กลางผาหินทั้งสองข้าง ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือการนั่งเรือลงไปตามแม่น้ำซาเท็ตสึเพื่อชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแห่งหุบเขาเกบิเค และเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในทุกฤดู แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยต้องยกให้ฤดูใบไม้ร่วงที่เราจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีแทรกแซมไปตามผาหิน และฤดูหนาวที่เราจะได้นั่งผิงเตาอุ่นๆ พลางชมบรรยากาศเยือกเย็นสงบ
นอกจากนี้ คนคัดท้ายเรือจะเป็นผู้บรรยายแนะนำหุบเขาเกบิเคและร้องเพลงพื้นบ้านคลอก้องไปตามผาหุบเขาให้ฟังกันอีกด้วย และที่เพื่อนๆ สายมูน่าจะชอบกันก็คือที่นี่จะมีกิจกรรมโยนหินอธิษฐานเสี่ยงทายกันด้วยนะ
หุบเขาเกบิเค (猊鼻渓)
หุบเขาสูงในจังหวัดอิวาเตะที่มีแม่น้ำไหลผ่าน นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมความงดงามของธรรมชาติได้ ซึ่งกิจกรรมนั่งเรือจะใช้เวลา 90 นาที
การเดินทาง: ลงจากสถานี JR Geibikei ของทางรถไฟสาย JR Ofunato แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
ค่าโดยสารเรือ: ผู้ใหญ่ 1,800 เยน เด็กมัธยมต้นลงไป 900 เยน เด็กเล็ก 200 เยน
ช่วงเวลา: แล้วแต่วัน แต่จะอยู่ที่ประมาณ 8.30 – 15.00 สามารถตรวจสอบรอบเวลาได้ที่เว็บไซต์
เว็บไซต์: geibikei.co.jp
แผนที่
3. หุบเขานารุโกะ (จ.มิยางิ)
ถ้าหุบเขาเกบิเคยังไม่พอล่ะก็ มาเก็บภาพภูเขาและใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อที่หุบเขานารุโกะ (鳴子峡, Naruko Gorge) กันได้เลย หุบเขาลึกกว่า 100 เมตรในจังหวัดมิยางินี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สวยงามตามฉบับภูมิภาคโทโฮคุ และแน่นอนว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามซึ่งจะพีคสุดในช่วงกลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน
หากมองจากจุดชมวิวที่ Narukokyo Resthouse เราจะเห็นสะพานโอฟุคาซาวะ (大深沢橋, Ofukazawa Bridge) สวยเด่นท่ามกลางหุบเขาสีเหลืองส้มแดงสุดร้อนแรง ถ้ามีเวลาขอให้อดทนรอนิดนึงเพื่อถ่ายช็อตที่รถไฟกำลังวิ่งลอดอุโมงค์ให้ได้นะ เพราะช็อตนี้เป็นช็อตที่องค์ประกอบสวยจนช่างภาพและนักท่องเที่ยวต่างก็อยากเก็บภาพกลับบ้านให้ได้สักรูปกัน และถ้าการชมวิวจากข้างบนยังไม่จุใจล่ะก็ ที่นี่จะมีทางเดินชมธรรมชาติให้เราลงไปที่ก้นหุบเขาเพื่อชมความยิ่งใหญ่ของหุบเขานารุโกะได้ โดยเส้นทางยาว 2.2 กิโลเมตรนี้จะไปบรรจบที่ Narukokyo Resthouse นอกจากนี้ ถ้าเพื่อนๆ อยากเก็บงานคราฟท์ประจำจังหวัดกลับบ้านเป็นที่ระลึกล่ะก็ บริเวณนี้จะมีพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเคชิ (こけし, Kokeshi Doll) ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อประจำจังหวัดมิยางิอีกด้วย
หุบเขานารุโกะ (鳴子峡)
หุบเขาชื่อดังในจังหวัดมิยางิ โอบล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์เหมาะกับคนรักธรรมชาติ มีจุดท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น เส้นทางชมธรรมชาติ จุดชมวิวรถไฟ ออนเซ็น พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเคชิ จุดพักทานอาหารและร้านของฝากที่ Naruko Rest House
ที่ตั้ง: Furutomae Narukoonsen, Ōsaki, Miyagi 989-6826 Japan
การเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงสถานี JR Naruko Onsen แล้วเดินต่ออีกประมาณ 4 กิโลเมตรหรือนั่งรถต่ออีกประมาณ 10 นาที
ช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุด: เดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน
แผนที่
ฤดูหนาวสวยมัดใจสไตล์โทโฮคุ
สำหรับคนเมืองร้อนอย่างคนไทย เหตุผลหนึ่งที่เรามาเที่ยวญี่ปุ่นก็คงไม่พ้นการเอาตัวเองไปเจอกับอากาศหนาวๆ และหิมะให้ลืมความร้อนของบ้านเกิดกัน ในขณะที่หลายคนมุ่งหน้าสู่ฮอกไกโดกัน เราขอพาเพื่อนๆ มาแวะโลเคชั่นเที่ยวในฤดูหนาวของโทโฮคุที่สวยมีเสน่ห์ในแบบที่หาที่อื่นไม่ได้กัน โดยที่คุณรุจคัดมาให้เราก็คือกินซังออนเซ็นและภูเขาซาโอในจังหวัดยามากาตะ
1. กินซังออนเซ็น (จ.ยามากาตะ)
กินซังออนเซ็น (銀山温泉, Ginzan Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นเล็กๆ กลางหุบเขาในจังหวัดยามากาตะ และพอเห็นภาพถ่ายฝีมือคุณรุจข้างบนแล้วหลายคนอาจจะอ๋อทันทีว่าทำไมหลายคนถึงหลงเสน่ห์ที่นี่กัน เพราะกินซังออนเซ็นโดยเฉพาะในฤดูหนาวแบบนี้ให้บรรยากาศสวยงามอบอุ่นแต่ลึกลับนิดๆ เหมือนโรงอาบน้ำของแม่มดยูบาบะใน Spirited Away ของ Studio Ghibli และถ้าเพื่อนๆ เกิดทันละครญี่ปุ่นสงครามชีวิตโอชินที่เคยฉายในไทยล่ะก็จะต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะที่นี่คือสถานที่ถ่ายทำละครดังกล่าวนี้เอง
ด้วยบรรยากาศที่มีเรียวกังเก่าแก่เรียงรายทั้งสองข้างทางโดยมีลำธารไหลผ่านตรงกลางพร้อมสะพานสีแดงสะดุดตาและมีภูเขาเป็นฉากหลัง แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากลองมาเที่ยวหรือถ้าเป็นไปได้ก็ค้างคืนที่นี่สักครั้ง และใช่ คิวจองเรียวกังที่นี่แน่นเอี๊ยดจนต้องรอกันเป็นเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าเพื่อนๆ อยากมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับล่ะก็ สามารถแวะพักจุ่มเท้าที่ออนเซ็นเท้าได้ ซึ่งสามารถนั่งแช่ไปพลางซึบซับบรรยากาศของกินซังออนเซ็นกันเพลินๆ ได้ (ฟรีด้วยนา) และถ้าจะให้ฟินไปอีกล่ะก็ ขอแนะนำให้มาช่วงฤดูหนาวซึ่งจะมีหิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วบริเวณ และถ้าอยู่จนถึงช่วงมืดค่ำล่ะก็ กินซังออนเซ็นจะจุดโคมไฟสีเหลืองนวลในตอนกลางคืนที่ช่วยเสริมให้บรรยากาศโรแมนติกยิ่งขึ้นไปอีก ใครชอบหมู่บ้านญี่ปุ่นสไตล์ย้อนยุคและความเงียบสงบควรมาเยือนให้ได้สักครั้ง
กินซังออนเซ็น (銀山温泉)
หมู่บ้านออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณท่ามกลางธรรมชาติในจังหวัดยามากาตะ มีชื่อเสียงโด่งดังจากวิวหิมะในฤดูหนาวที่ทับถมกันเป็นสีขาวโพลนตัดกับอาคารเรียวกังสีเข้มใต้แสงไฟสีนวลยามค่ำคืน
ที่ตั้ง: 429 Ginzanshinhata, Obanazawa, Yamagata 999-4333, Japan
การเดินทาง: จากสถานี JR Oishida นั่งรถบัสอีก 40 นาที (กินซังออนเซ็นจะอยู่ที่ป้ายสุดสาย)
เว็บไซต์: www.ginzanonsen.jp
แผนที่
2. ภูเขาซาโอ (จ.ยามากาตะ)
ภูเขาซาโอ (蔵王山, Mount Zao) เป็นหนึ่งในทำเลเล่นสกียอดนิยมในโทโฮคุ แต่นอกจากสกีแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องปรากฎการณ์ธรรมชาติที่หาชมได้ยาก นั่นคือ Snow Monster (樹氷, Juhyou) ซึ่งจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อปัจจัยด้านอุณหภูมิ ลม เกล็ดหิมะ และอื่นๆ ลงตัวเท่านั้น จึงจะเกิดปรากฏการณ์หิมะปกคลุมต้นสนมิดจนดูเหมือนปีศาจหิมะที่ยืนเฝ้ามองผู้ผ่านไปมาอย่างเงียบงัน
เราสามารถชม Snow Monster ได้จากบนกระเช้า หรือถ้ามีเวลาและสู้ความหนาวได้ ก็ขอแนะนำให้อยู่ชมการเปิดไฟประดับที่ช่วยให้ Snow Monster ดูลึกลับน่าเกรงขามไปอีกแบบ
ภูเขาซาโอ (蔵王)
ภูขาที่อยู่ระหว่างจังหวัดยามากาตะและจังหวัดมิยางิ มีชื่อเสียงเรื่อง Snow Monster ที่หาชมได้ยาก อีกทั้งเป็นแหล่งเล่นสกีและมีกระเช้าให้ขึ้นไปชมวิวกันได้ จากบนภูเขาซาโอ เราจะเห็นวิวภูเขาไฟโอคามะที่มีชื่อเสียงได้ด้วย
ที่ตั้ง: Zao Onsen, Yamagata-shi, Yamagata
การเดินทาง: จากสถานี JR Yamagata นั่งรถบัสอีกประมาณ 45 นาทีมาลงที่ป้าย Zao Onsen แล้วนั่งกระเช้า Zao Ropeway ขึ้นไป
เว็บไซต์ Ropeway : zaoropeway.co.jp
แผนที่
คุ้มสุดๆ กับตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku Area)
ถ้าเพื่อนๆ อยากไปเที่ยวเก็บเสน่ห์ของโทโฮคุได้แบบคุณรุจแต่กลัวกระเป๋าตังค์ฉีก เราขอแนะนำตัวช่วยนั่นคือ JR EAST PASS (Tohoku Area) ตั๋ว Pass สุดคุ้มที่ขอแค่ถือพาสปอร์ตอื่นๆ ที่ไม่ใช่พาสปอร์ตญี่ปุ่นก็ซื้อได้ แน่นอนว่าคนไทยเราผ่านเงื่อนไขฉลุยแน่นอน โดยเราสามารถใช้ตั๋วนี้นั่งรถไฟ รถไฟชินกันเซ็น และรถบัสในเครือ JR East ได้แบบไม่อั้นทั่วโทโฮคุในราคา 20,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 10,000 เยน ตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ซึ่งลำพังราคาปกติของตั๋วรถไฟชินกันเซ็น (กรณีโดยสารรถไฟ Hayabusa โดยซื้อตั๋ว Reserved Seat ทั่วไปในซีซั่นปกติ) จากสถานี JR Tokyo ไป JR Sendai แบบไป-กลับก็ราคา 22,820 เยนแล้ว นับว่าเป็นราคาที่คุ้มมากๆ แถมผู้ซื้อตั๋วยังสามารถจองที่นั่งบนรถไฟชินกันเซ็นล่วงหน้าได้ฟรี และใช้ขึ้นรถไฟธีมพิเศษ Joyful Train เพื่อเพิ่มสีสันให้กับการเดินทางได้อีกด้วย จ่ายทีเดียวจบแถมนั่งคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
ซื้อตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ได้ที่: JR EAST Official Website
Special Thanks
คุณรุจ (ศุภรุจ เตชะตานนท์) หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ รุจ เดอะสตาร์ เป็นศิลปินผู้มีผลงานอัลบั้มและเพลงมากมาย นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว คุณรุจยังถ่ายทอดความหลงใหลในประเทศญี่ปุ่นผ่านผลงานภาพถ่ายที่มีสไตล์เฉพาะตัวพร้อมข้อมูลละเอียดชนิดที่อ่านแล้วไปตามได้เลยในเพจ Outside The Room ด้วยประสบการณ์เดินทางถ่ายภาพในญี่ปุ่นร่วม 7 ปี คุณรุจปล่อยผลงานพ็อกเก็ตบุ๊คและหนังสือรวมภาพหลายเล่ม เช่น JAPAN BEST DESTINATIONS สุดยอดจุดหมายที่คนรักญี่ปุ่นต้องไป, ไม่มีการเดินทางครั้งใดที่สูญเปล่า ฯลฯ
ติดตามคุณรุจได้ทาง
Facebook : Outside The Room
Instagram : @suparuj
ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ติดตามได้ที่ ANNGLE