คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ได้ทราบว่ามีหลายคนประทับใจพยาบาลจากเรื่องเล่าสัปดาห์ก่อน โดยไม่นึกว่าพยาบาลในอเมริกาจะใส่ใจคนไข้ขนาดนั้น และมีคนเสนอให้เขียนต่อ เพื่อนผู้อ่านจะได้เห็นความงดงามของนางฟ้าไนติงเกลและภาพบรรยากาศในวอร์ดผู้ป่วยแห่งหนึ่งในอเมริกา ถือว่าเล่าสู่กันฟังสบาย ๆ แล้วกันนะคะ
เท่าที่ฉันเคยไปโรงพยาบาลมาหลายแห่งในนิวยอร์ก สังเกตว่าพยาบาลมักจะแนะนำชื่อของตัวเองกับผู้ป่วย และหลายครั้งมีพยาบาลมากกว่า 1 คนที่แวะเวียนมาหาคนไข้เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น คนหนึ่งตรวจอุณหภูมิ ชีพจร และออกซิเจน และอีกคนสอบถามอาการเบื้องต้น ยาที่แพ้ และยาที่กินอยู่ เป็นต้น
ส่วนช่วงที่ฉันผ่าตัดน่าจะได้เจอพยาบาลทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 10 คน คนแรกพาฉันไปที่เตียงผู้ป่วยในพื้นที่รวมซึ่งกั้นเป็นคอก ๆ ไว้ด้วยผ้าม่าน แล้วตรวจอุณหภูมิ ชีพจร และออกซิเจน จากนั้นก็ให้เปลี่ยนเป็นชุดของโรงพยาบาล ฉันเผลอทำชุดหล่นพื้นในห้องน้ำ มองหาพยาบาลคนเมื่อกี้ไม่เจอ เลยถามพยาบาลที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าขอชุดใหม่ได้ไหม เธอใจดีมาก หาชุดใหม่มาให้แล้วยังช่วยฉันสวมด้วย เพราะเป็นชุดที่ต้องผูกเชือกข้างหลัง
ต่อมาก็มีพยาบาลอีกคนมาเจาะเข็ม IV (สำหรับให้น้ำเกลือและยาทางเส้นเลือด) เธอบอกว่าถ้าไม่อยากมองก็หันไปทางอื่นได้นะ ฉันทำตาม พอหันมาดูอีกทีก็เห็นแท่งพลาสติกใสวางอยู่บนตัก ฉันหยิบขึ้นมาสำรวจอย่างสนใจ ข้างในมีสปริงและเลือดติดอยู่นิดหน่อย ถามพยาบาลว่ามันคืออะไรหรือ เธอบอกว่า “เข็มที่เจาะไปเมื่อกี้ไง พอเจาะเสร็จเข็มมันจะเด้งกลับเข้าแท่ง เหลือไว้เฉพาะส่วนที่เป็นพลาสติกปลายแหลมคาอยู่ที่แขน เจ๋งใช่ม้า”
ก่อนเข้าห้องผ่าตัดหมอผ่าตัด ผู้ช่วยหมอ และหมอวางยาสลบทยอยเข้ามาคุยด้วย เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจเรื่องยาที่แพ้และตอบคำถามต่าง ๆ ที่ฉันสงสัย ระหว่างคุยรู้สึกว่าอยู่ดี ๆ ตัวอุ่นสบายขึ้นมา หันไปดูจึงรู้ว่าพยาบาลคนแรกเอาผ้าห่มร้อน ๆ มาคลุมไหล่ให้ คงกลัวว่าจะหนาวเพราะสวมชุดคนไข้ที่มีรอยแหวกกลางลำตัว ฉันขอบคุณเธอด้วยความซึ้งใจ
จากนั้นก็มีพยาบาลอีกคนมาเข็นเตียงฉันไปที่ห้องผ่าตัด พอไปถึงฉันก็ย้ายไปยังเตียงผ่าตัดซึ่งมีที่รองศีรษะทรงครึ่งวงกลมทำด้วยโลหะ มีคนบอกว่าฉันจะรู้สึกร้อนขึ้นมาวูบหนึ่งนะ แล้วก็ฉีดสารบางอย่างผ่านเข็ม IV ที่แขนส่งกลิ่นฉุน มีคนเอาฝาครอบที่ดูคล้ายพลาสติกอัดลมจนพองมาคลุมจมูกฉันไว้ บอกฉันว่านี่คือออกซิเจน ให้หายใจเข้าออกลึก ๆ สักพักฉันก็เริ่มคลื่นไส้จะอาเจียน หนังตาเริ่มตก เลยเดาว่าหมอคงกำลังฉีดยาสลบผ่านทางเข็ม IV อยู่ อยากประท้วงหมอว่าขออาเจียนก่อนได้ไหม แต่กลัวจะสลบไปตอนอาเจียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วจะยุ่งกันใหญ่ เลยอดทนไว้ แล้ววินาทีต่อมาความรู้สึกตัวก็ดับวูบลง
เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง และทีมผ่าตัดตรวจสอบอาการเบื้องต้นแล้ว พยาบาลห้องไอซียูแผนกประสาทวิทยาก็รับช่วงต่อในการติดตามดูแลอาการ พยาบาลหนึ่งคนจะทำหน้าที่หลักในการดูแลฉัน โดยจะคอยตรวจหาความผิดปกติทางระบบประสาทและเช็คแผลผ่าตัดแทบทุกชั่วโมง ส่วนพยาบาลคนอื่นก็เวียนกันเข้ามาวัดไข้หรือช่วยฉันในเรื่องอื่น ๆ เช่น หาแผ่นทำความอุ่นมารองใต้เอว เอาหมอนและเบาะมารองใต้เท้าเพราะฉันปวดเอวมาก
ในห้องนั้นมีคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งอยู่ใกล้ประตู มีอยู่ช่วงหนึ่งเห็นพยาบาล 2-3 คนยืนดูจออยู่ด้วยกัน คนหนึ่งอธิบายเคสของฉันให้คนอื่นฟังว่า “เคสคนไข้ซับซ้อน ต้องเจาะสายสวนเส้นเลือดจากขาหนีบสองข้าง” ฉันหูผึ่งอยากฟังต่อแต่เธอไม่ได้ขยายความ พอดีพยาบาลอีกคนเดินมาใกล้ ๆ ฉันเลยถามว่าเคสฉันซับซ้อนอย่างไรหรือ เธอว่า “ไม่ ๆ ไม่ซับซ้อนตรงไหนเลย!” พยาบาลที่เป็นคนพูดรีบเดินมาหา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ควรจะพูดแบบนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณกลัว ฉันรู้สึกผิดจัง” ฉันตกใจที่เห็นเธอทำหน้าวิตกกังวล อธิบายว่า “ไม่ได้กลัว แค่อยากรู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนก็เท่านั้นเอง อย่ารู้สึกผิดเลยนะ” ฉันยิ้มให้พลางบีบมือเธอเบา ๆ แล้วเธอก็ยิ้มสดใสตอบ
ยาสลบทำให้ฉันวิงเวียนคลื่นไส้อยู่นาน แม้พยาบาลจะขอให้หมอสั่งยาแก้คลื่นไส้เพื่อฉีดเข้าทางเข็ม IV แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผล ต่อมาฉันบอกจะอาเจียน พยาบาลได้ยินปุ๊บก็รีบคว้ากาละมังที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาจ่อทันที จากนั้นจึงเอากระดาษและผ้าเปียกมาเช็ดปากเช็ดคางให้ ก่อนจะไปเอากาละมังใหม่มาเปลี่ยน ซึ่งฉันขอให้วางไว้บนเตียง เผื่อฉุกเฉินฉันจะได้คว้าเองทัน
พยาบาลเอาของว่างมาให้ตอนฉันหิวกลางดึก มีแอปเปิลซอสที่ฉันไม่เคยกินด้วย สักครู่ใหญ่เธอกลับเข้ามาในห้อง ถามยิ้ม ๆ ว่าแอปเปิลซอสเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบว่าอร่อยดี ฉันชอบ เธออุทานว่าจริงหรือ งั้นเปิดฝาอีกกระปุกเลยดีไหม หรือจะรอก่อนดี ฉันบอกเปิดเลย ๆ จากนั้นก็เอาช้อนตักแอปเปิลซอสเข้าปาก ที่จริงแอปเปิลซอสมันก็คือแอปเปิลบดละเอียด ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ แต่ตอนไม่สบาย แอปเปิลบดเย็น ๆ หวานธรรมชาติแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดี พยาบาลให้น้ำแอปเปิลมาด้วย ถามว่าฉันชอบน้ำส้มมากกว่าหรือเปล่า จะได้ไปเอามาให้ ฉันบอกไม่เป็นไร แต่ก็รู้สึกดี ๆ ที่เธอใส่ใจและขวนขวายขนาดนี้
คราวหนึ่งเธอเห็นฉันนอนเท้าชิดปลายเตียงแล้ว เลยถามว่าอยากให้ดึงตัวขึ้นไปที่หัวเตียงไหม ฉันบอกว่าเอาสิ เธอเลยไปเรียกเพื่อนมาช่วยอีกคน แล้วถามฉันขำ ๆ ว่าทำอย่างไรถึงได้ไหลลงมาไกลขนาดนี้ ฉันยิ้มตอบว่าฉันขยับตัวไม่หยุดน่ะ พยาบาลอีกคนยิ้มใจดีบอกว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก คนไข้ชอบไหลลงมาอยู่ปลายเตียงกันทั้งนั้น แล้วพวกเธอก็ให้ฉันเอาสองแขนกอดตัวเองไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะจับปลายแผ่นที่รองใต้ตัวฉัน แล้วนับจังหวะดึงแผ่นนี้ขึ้นไปที่หัวเตียงพร้อมกัน จำได้ว่าฉันโดนดึงขึ้นหัวเตียงแบบนี้ทั้งหมดสามรอบ
หลังข้าวเช้า พยาบาลพยุงฉันให้ลุกขึ้นนั่ง บอกว่าอย่ารีบร้อน ให้ขยับช้า ๆ ทีละนิด ค่อยเป็นค่อยไป พอฉันอยู่ในท่านั่งห้อยขาที่เตียง พยาบาลก็ถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ฉันบอกวิงเวียนสุด ๆ พยาบาลบอกว่าเป็นเพราะนอนแน่นิ่งมาหลายชั่วโมงบวกกับฤทธิ์ยาสลบ สักพักพอรู้สึกดีขึ้น พยาบาลจึงค่อย ๆ พยุงมานั่งที่เก้าอี้ ปรับที่รองเท้าให้ฉันนั่งสบาย ๆ รับแดดยามเช้าจากข้างหน้าต่างกว้าง แล้วไปยกเหยือกน้ำผสมน้ำแข็งกับแก้วน้ำมาวางให้ พร้อมกับเปิดดนตรีแจ๊สสบาย ๆ ให้ฟังอีกเช่นเคย
พยาบาลคนหนึ่งบอกว่าสั่งยาที่ฉันกินประจำให้จากห้องยาแล้ว ฉันบอกว่ามีเอาติดตัวมาด้วย เธอบอกว่าเวลาอยู่โรงพยาบาลจะไม่ให้คนไข้กินยาที่เอามาเอง ซึ่งฉันคิดว่ามันสมเหตุสมผลมาก เพราะหากกินเองแล้วเกิดส่งผลอะไรต่อร่างกายระหว่างการรักษาคงยุ่ง พยาบาลยื่นถ้วยกระดาษเล็ก ๆ มียาสองเม็ด ฉันถามว่าเม็ดที่สองนี่คืออะไร เธอว่ายาระบาย แล้วยื่นแก้วน้ำชงผงกากใยส่งให้ เธอบอกว่ามันจะช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น
เกณฑ์ส่วนหนึ่งสำหรับวัดว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลหรือเปล่า ก็คือสามารถนั่ง ยืน เดินได้โดยไม่มีปัญหา ระบบประสาททุกส่วนต้องปกติ (ซึ่งฉันโดนเช็คไป 10 กว่ารอบ) และสุดท้ายที่่สำคัญคือต้องถ่ายเบาเองได้ (ตอนผ่าตัดจะใส่สายสวนปัสสาวะไว้ พยาบาลมาถอดออกให้ก่อนรุ่งเช้า)
ตอนฉันบอกพยาบาลว่าจะเข้าห้องน้ำ เธอก็พาฉันค่อย ๆ เดินไป และช่วยจับชุดไว้ให้ตอนลงนั่ง พร้อมกับเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือให้ไหลทิ้งไว้ก่อนออกไปรอข้างนอก เธอบอกฉันว่าเสร็จแล้วอย่าลุกขึ้นมาเอง ให้เรียกเธอเข้ามาอยู่ข้าง ๆ ด้วย คงกลัวว่าเดี๋ยวลุกผิดท่าหรือล้มอะไรไปจะเรื่องใหญ่
ฉันบอกขอบคุณเธอที่ช่วย รวมทั้งเรื่องเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ให้ด้วย เธอหันขวับมายิ้ม ทำตาโตราวกับแปลกใจว่าทำไมถึงรู้ คงเป็นเพราะห้องน้ำสาธารณะที่ญี่ปุ่นมีปุ่มให้กดเปิดเสียงกลบซาวด์เอ็กเฟ็กต์ระหว่างทำธุระ ฉันก็เลยพอเดาออก แต่ก็ประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้รู้ว่ามีคนอเมริกันที่ละเอียดอ่อนเรื่องนี้ด้วย เธอบอกว่าคนไข้บางคนเองก็บอกเหมือนกันว่าไม่ต้องก็ได้
หลังเช็คความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ผู้ช่วยหมอก็ถามว่าฉันโอเคไหมที่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ และเสริมว่าไม่ได้ไล่นะ แต่เห็นว่าสภาพร่างกายไม่มีปัญหาใด ๆ ไม่มีความจำเป็นต้องค้างโรงพยาบาลต่อ ในความรู้สึกแล้วฉันยังอยากอยู่ต่ออีกสักวัน เพราะเป็นครั้งแรกที่อยู่โรงพยาบาลแล้วมีความสุข แต่ก็รู้ว่าคงสร้างภาระให้พยาบาลโดยไม่จำเป็น
สิ่งที่ฉันประทับใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับทีมพยาบาลที่ดูแลฉันในครั้งนี้คือ หลังจากที่ให้ความช่วยเหลือแต่ละอย่างแล้ว มีหลายคนทีเดียวที่ถามต่อว่า “มีอะไรอื่นอีกไหมที่ฉันทำได้ เผื่อคุณจะสบายกว่านี้?” หรือพอฉันกล่าวขอบคุณ บางคนจะบอกว่า “ไม่เป็นไรเลยค่ะ พวกเรามีไว้เพื่อคนไข้อยู่แล้ว” บางคนก็เสริมว่า “มีอะไรกดปุ่มเรียกได้ตลอดเวลานะ”
ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ดีในการทำงาน ว่าไม่ได้ทำสักแต่ว่าทำไปตามหน้าที่ แต่ตั้งใจจะแบ่งเบาความทุกข์ของคนไข้เต็มที่ พยาบาลงานเยอะอยู่แล้ว แถมบางทีก็คงเจอคนไข้เอาแต่ใจ ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจล้นปรี่ ทำให้ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทำงานด้วยหัวใจและด้วยความรักคนอื่นอย่างแท้จริง เสมือนนางฟ้าบนดินโดยแท้
หวังว่าเพื่อนผู้อ่านจะอบอุ่นไปใจกับเรื่องราวของพยาบาลเหมือนที่ฉันรู้สึกนะคะ และขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ทั้งยังใจดีเขียนคอมเมนท์ไว้ให้ แลกเปลี่ยนความรู้ และให้กำลังใจกันเสมอ ๆ ขอให้ทุกท่านได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนด้วยเช่นกันค่ะ.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.