คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ฉันมาเยี่ยมครอบครัวสามีในญี่ปุ่นหลังห่างหายไปหลายปีเพราะการระบาดของโรคโควิด-19 เลยรู้สึกได้ถึงความต่างของโรงแรมญี่ปุ่นและอเมริกา รวมทั้งได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของโรงแรมญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนด้วย เลยเก็บมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
โรงแรมที่ญี่ปุ่นต่อให้เป็นโรงแรมแบบธุรกิจที่เน้นลูกค้าซึ่งมาทำงานนอกสถานที่ และห้องมักจะเล็กจิ๋ว แต่ก็สะดวกสบายมาก เพราะมักมีของที่จำเป็นครบครัน นอกจากจะมีผ้าเช็ดตัว แชมพู สบู่ ไดร์เป่าผมเหมือนกับโรงแรมทั่วไปในอีกหลายประเทศแล้ว ยังมีชุดนอน แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หวี ถ้วยสำหรับแปรงฟัน ที่โกนหนวด กาน้ำร้อนแบบเสียบปลั๊ก รองเท้าแตะเดินในห้อง ไม้ดันส้นเท้าเวลาสวมรองเท้าหุ้มส้น สเปรย์ดับกลิ่นในห้อง รวมทั้งมีกระดาษโน้ตและปากกาไว้ด้วยเสมอ บางแห่งยังมีกล่องเล็ก ๆ ไว้สำหรับให้ใส่ของจิปาถะส่วนตัวของลูกค้า จะได้ไม่หล่นหาย
ฉันเคยเจอพนักงานบางคนน่ารักมาก ตอนพนักงานเข้ามาทำความสะอาดห้องพักช่วงที่ฉันไม่อยู่ เขาก็จัดพวกแก้วน้ำอะไรเอาไว้ให้เป็นที่เป็นทางเหมือนเดิม และอุตส่าห์เอาของใช้ส่วนตัวของฉันที่ชิ้นเล็กและอาจหล่นง่ายมาวางบนผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ให้อีกทีหนึ่ง ฉันประทับใจมากเลยเขียนโน้ตขอบคุณและวางขนมเอาไว้ให้เขาห่อหนึ่ง พอกลับมาที่ห้องก็เห็นกระดาษโน้ตตอบจากพนักงาน เลยประทับใจอีกหนและรู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนน่ารักมากแน่ ๆ แม้จะไม่ได้เห็นหน้าค่าตาแต่ก็รู้สึกดี ๆ เดาว่าวันนั้นเราสองคนคงต่างมีรอยยิ้มกันทั้งคู่แน่เลย
เดี๋ยวนี้มีหลายโรงแรมมากขึ้นที่ไม่ได้เตรียมของไว้ให้ในห้องแบบครบครันเหมือนเมื่อก่อน แต่จะจัดมุมหนึ่งไว้ใกล้ฟร้อนท์ ให้ลูกค้าหยิบเอาเฉพาะสิ่งที่ต้องการใช้เอาเอง ที่ฉันรู้สึกแปลกอย่างหนึ่งคือหลายโรงแรมไม่ได้วางหมวกคลุมผมอาบน้ำไว้ให้หยิบเองและไม่มีให้ในห้องพักด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นไม่ค่อยใช้กันแล้วหรืออย่างไร ฉันเลยไปถามหาจากพนักงานว่ามีไหม แล้วเขาก็หามาให้
บางโรงแรมมีตัวอย่างครีมทาผิวหรือแป้งแต่งหน้ากล่องเล็ก ๆ ไว้ให้ลูกค้าผู้หญิงด้วย แต่จะจำกัดว่าให้ได้ไม่เกินคนละชิ้น คงเป็นระบบซื่อสัตย์ต่อตนเอง เขาเลยวางไว้ให้ไปหยิบเอาเองอีกเช่นกัน และถ้าเป็นโรงแรมซึ่งมีห้องอาบน้ำรวมและบ่อน้ำร้อน ในห้องแต่งตัวของผู้หญิงก็มักมีโลชันทาหน้าและครีมทาหน้าไว้ให้ใช้ร่วมกัน บางทีก็มีครีมทาเท้าด้วย
โรงแรมที่มีห้องอาบน้ำรวมมักจะให้เอาผ้าเช็ดตัวไปเองจากห้อง และหากใช้เสร็จแล้วจะเอาใส่ถังที่เขาเตรียมไว้ให้ก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็เอากลับไปที่ห้องพักเผื่อจะใช้ต่อในวันรุ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งมีฝรั่งมาใช้ห้องอาบน้ำรวม พอเธออาบน้ำเสร็จก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมเอาผ้าเช็ดตัวมา ทั้งที่ตัวเปียกมะล่อกขนาดนั้นเธอยังบอกว่าเดี๋ยวเอาทิชชูแถวนั้นเช็ดเอาก็แล้วกัน ฉันบอกว่าอย่าเลย พอดีเห็นข้างนอกเขามีวางผ้าอะไรไม่รู้ไว้เป็นทบ ๆ เดี๋ยวไปหยิบมาให้
พอไปหยิบมาก็พบว่ามันเป็นปลอกหมอน แต่เธอก็รับไปเช็ดตัว ตอนนั้นฉันก็งงว่าทำไมโรงแรมเอาปลอกหมอนมาวางอยู่แถวห้องอาบน้ำรวม ต่อมาสังเกตว่าข้าง ๆ เป็นตู้แช่ มีป้ายเขียนว่าเป็นหมอนแช่เย็น ไม่ได้เป็นหมอนที่แช่จนเย็นนะคะ แต่มันเป็นซองพลาสติกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ข้างในบรรจุเจลเก็บความเย็นแบบไม่แข็งตัวไว้ เวลาใช้ก็เอาใส่ปลอกหมอนแล้วหนุนแทนหมอนไปเลย ถ้าใครขี้ร้อนหรือเป็นไข้ หมอนแบบนี้ช่วยให้นอนสบายขึ้นเยอะ ราคาไม่กี่ร้อยเยน
คืนถัดมาฉันกลับมาที่โรงแรมหลังออกไปเจอเพื่อนฝูง พออาบน้ำเสร็จก็เอาเสื้อผ้าใส่เครื่องซัก ระหว่างรอก็นั่งแช่เท้าในน้ำร้อนที่ชานนอกอาคารของโรงแรม เนื่องจากไม่มีคนอื่น ๆ อยู่ในบริเวณ เลยเปิดเพลงจากละครเกาหลีเรื่องโปรดฟังชิลล์ ๆ มองดูวิวริมแม่น้ำข้างนอกท่ามกลางสายลมกลางคืนแสนสบายของปลายฤดูร้อน พร้อมไอติมแท่งหยิบฟรีในมือ เป็นช่วงเวลาสบายอารมณ์ที่ฉันชอบที่สุดในการเดินทางครั้งนี้
สิ่งใหม่ที่ฉันสังเกตพบเกี่ยวกับโรงแรมญี่ปุ่นก็คือ เมื่อก่อนเขามักจะวางยูคาตะที่รีดจนเรียบแปล้ไว้ในห้อง เพื่อให้ใช้เป็นชุดนอนหรือใส่เดินไปมาในโรงแรม แต่บางแห่งก็ให้เป็นเสื้อกางเกงแบบชุดนอนทั่วไป ซึ่งจะใส่สบายกว่า และไม่ค่อยหลุดรุ่ยเละเทะยามนอนแบบยูคาตะ แต่เดี๋ยวนี้หลายโรงแรมที่ฉันไปพักจะให้ชุดนอนแบบใหม่ที่เรียกว่า “ซามุเอะ” หรือ “ซามุ่ย” (作務衣) ซึ่งแต่เดิมเป็นชุดที่ช่างฝีมือของญี่ปุ่นสวม เป็นชุดสองท่อน ท่อนบนต้องเอาผ้ามาทบกันแล้วผูกเชือก ท่อนล่างเป็นกางเกง แม้จะสวมใส่แล้วเดินเหินคล่องตัวกว่ายูคาตะ แต่ผ้าออกจะหนาและอาจไม่เหมาะกับคนขี้ร้อนสักเท่าไหร่
ได้ยินว่าที่โรงแรมพากันหันมาใช้ซามุเอะแทนยูคาตะ อาจเป็นเพราะคนรุ่นใหม่รู้สึกว่ายูคาตะใส่แล้วชอบหลุดรุ่ย บางคนก็ไม่ยอมใส่เลย แต่ใส่กางเกงวอร์มหรือชุดนอนที่ตัวเองเอามาเดินไปเดินมาอยู่ในโรงแรม ทางโรงแรมโดยเฉพาะโรงแรมแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “เรียวกัง” (旅館) เห็นอย่างนั้น ก็เลยหันมาใช้ซามุเอะแทน เพราะมีความเป็นญี่ปุ่นเหมาะกับเรียวกัง และไม่หลุดรุ่ยง่ายเหมือนยูคาตะ ทางโรงแรมแบบธุรกิจคงเห็นดีงามก็เลยหันมาใช้ซามุเอะแทนยูคาตะกันมากขึ้นตาม
เดี๋ยวนี้อาหารเช้าแบบญี่ปุ่นเขายังมีเตรียมข้าวต้มขาวไว้ให้ด้วย ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าเมื่อก่อนไม่เคยเจอแบบนี้ เหตุผลอย่างหนึ่งคือเพราะคนญี่ปุ่นจะกินข้าวต้มเฉพาะตอนป่วยเท่านั้น เลยรู้สึกแปลกใจที่เดี๋ยวนี้มีข้าวต้มให้ด้วย โรงแรมบางแห่งอาจจะเขียนไว้ว่าถ้าต้องการข้าวต้มโปรดแจ้งพนักงาน พอฉันบอกเขา เขาก็ว่ารอสัก 10 นาทีแล้วเดี๋ยวจะยกมาให้ ฉันบอกรอได้ค่ะ รบกวนด้วย วันนั้นเลยได้กินข้าวต้มขาวหอมกรุ่นและข้นได้ที่ ก็รู้สึกมีความสุข
ไม่นานมานี้ระหว่างอยู่อเมริกา ฉันกับสามีต้องไปพักโรงแรมหนึ่งคืนเพราะแอร์บ้านใหม่เสีย ก็เตรียมของใช้กัน สามีบอกว่าเราไม่ต้องเอาชุดนอนกับแปรงสีฟันและยาสีฟันไปเพราะที่โรงแรมมีให้ ฉันบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่ได้มีทุกสิ่งพร้อมสรรพขนาดนั้นหรอก ขนาดหมวกคลุมผมอาบน้ำยังไม่มีเลย สามีทำหน้าสับสนอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกได้ว่าอเมริกาไม่เหมือนญี่ปุ่น แล้วก็เตรียมของใช้ส่วนตัวไปให้ครบ
ถ้าเป็นโรงแรมถูก ๆ แบบสองดาวที่เคยไปพัก จะไม่มีแม้กระทั่งแชมพูและสบู่ เลยต้องระเห็จออกไปหาซื้อ และบางโรงแรมที่เรียกตัวเองว่าเป็น “bed & breakfast” ในต่างจังหวัดก็ไม่ได้มีอาหารเช้าให้อย่างที่คิด พอถามพนักงานเขาก็บอกว่าในครัวมีคุ้กกี้ในขวดโหลกับกาแฟที่กินได้ ฉันกับสามีก็แอบเซ็ง เลยต้องออกไปหาร้านขายอาหารเช้าเอาข้างนอก ก็ดีไปอย่างตรงที่ได้เปิดหูเปิดตาดูว่าข้างนอกมีอะไรน่าสนใจบ้าง
โดยส่วนตัวแล้วที่เซ็งเป็นพิเศษเกี่ยวกับโรงแรมที่อเมริกาคือประตูห้องมักไม่มีที่กันกระแทก ต่อให้เป็นโรงแรมห้าดาวก็เช่นกัน และคนที่มาพักก็ชอบปล่อยประตูให้ปิดเองโครมคราม หรือไม่ก็ชอบคุยกันเสียงดังตามทางเดิน ถ้าเป็นเวลากลางคืนหรือเช้าตรู่จะเป็นอะไรที่รบกวนมาก อยู่ญี่ปุ่นไม่เคยได้ยินใครปิดประตูเสียงดังอย่างนั้นหรือคุยกันรบกวนคนอื่น เว้นแต่จะเจอช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาพักก็จะได้เจอความไม่สงบแบบนี้บ้าง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าความละเอียดอ่อนของคนญี่ปุ่นและการมี mindset ว่าต้องไม่รบกวนคนอื่นเป็นอะไรที่ไม่ใช่ว่าคนทุกชาติมี และมันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและน่าขอบคุณเพียงใด
ด้วยความที่คนอเมริกันมักใส่รองเท้าเดินเข้าห้อง พื้นห้องของหลายโรงแรมจึงดูสกปรก ฉันมักไม่เดินเท้าเปล่าในโรงแรมที่อเมริกา แต่จะเอารองเท้าแตะคีบไปใส่เดินในห้อง สบายใจกว่า
ในขณะเดียวกันฉันก็ชอบห้องกว้าง ๆ อยู่สบายของโรงแรมแบบอเมริกา แต่บางแห่งก็กว้างเกินแบบเปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุ จนทำให้นึกถึงนักยิมนาสติกลีลาที่เต้นและกระโดดจากอีกฟากไปอีกฟากขึ้นมาเฉย ๆ ที่ชอบอีกอย่างคือหลายแห่งมักมีเครื่องทำกาแฟไว้ให้ รวมทั้งมีไมโครเวฟไว้ให้ในห้อง บางทีมีวางป๊อบคอร์นไว้ให้ใส่ในไมโครเวฟด้วย โทรทัศน์มักจอใหญ่มโหฬาร เห็นทีไรก็นึกถึงคนอเมริกันที่เคยหาว่าจอโทรทัศน์ที่ฉันเอามาจากญี่ปุ่นหายไปไหนครึ่งหนึ่ง
อาหารเช้าตามโรงแรมของอเมริกามักเป็นอาหารเช้าแบบฝรั่ง เน้นพวกเบเกอรี่และเนื้อแปรรูป อย่างดีก็อาจจะมีผลไม้สดอย่างกล้วยหรือแอปเปิลเป็นลูกให้หยิบเอง รู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจแต่แอบแพง ฉันเลยไม่ค่อยจองห้องแบบที่มีอาหารเช้าให้ แต่จะไปหาร้านข้างนอกเอา ถูกกว่าและเลือกแบบที่ชอบได้
วันนี้ขอลาเพียงเท่านี้ค่ะ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าไปสองสัปดาห์ มิกิจังจะมาเล่าเรื่องต่าง ๆ แทนฉันเป็นการชั่วคราว ขอฝากเธอไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.