สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่าเมืองไทยมีสำนวน ปลาหมอตายเพราะปาก ที่เปรียบเปรยถึงคนที่พูดพล่อย พูดไม่ระวังปากจนได้รับอันตรายหรือได้รับผลกระทบจากคำพูดของตนเอง ทำให้ผมนึกถึงข่าวกรรมการผู้จัดการของเครือข่ายร้านอาหารรายใหญ่แห่งหนึ่งที่ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งจนมีผลกระทบต่อบริษัทและตัวเขาเองก็ถูกตัดสินให้ออกจากงานทันที เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาในเวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ
ผมขอแทนกรรมการผู้จัดการคนนี้ว่านาย M นะครับ เขาได้รับเชิญเป็นวิทยากรในเวทีเสวนา
เกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดการของหลักสูตรการตลาดครบวงจรในยุคดิจิทัล วันนั้นเขาหัวเราะและกล่าวถึงนโยบายทางการตลาดของบริษัทที่จะมุ่งเป้าไปที่หญิงสาวแรกรุ่น (ซึ่งเขาใช้คำว่าสาวที่ยังบริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงเด็กสาวชนบทที่เพิ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อเข้ามาเรียนในเมืองหลวง) โดยใช้กลยุทธ์ "生娘シャブ漬け戦略kimusume shabu-zuke senryaku" คือทำให้พวกเธอเสพติดกิวด้ง ก่อนที่พวกเธอจะเจอผู้ชายมาเปย์อาหารราคาแพงและได้ลิ้มรสชาติอาหารราคาแพงที่เลิศรสนั้น !! โดยคำพูดที่ใช้แต่ละคำนั้นเรียกว่าน่าเกลียดและไม่สมควรอย่างยิ่ง
เมื่อคำพูดที่เกี่ยวกับผู้หญิงเป็นคำที่รุนแรงซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความตระหนักเรื่องการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง ตามหลักสิทธิมนุษยชน ประเด็นนี้ก็ถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ แล้วมันก็ลุกเป็นไฟขึ้นในทันที แม้ว่าต่อมาจะมีแถลงการณ์ขอโทษบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทก็ตาม นอกจากนี้มหาวิทยาลัยวาเซดะที่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้จัดงานดังกล่าวก็ออกแถลงการณ์ขออภัยนักศึกษาและทุกคนอย่างจริงใจและออกคำเตือนอย่างเข้มงวดไปยังอาจารย์ทุกคน งานนี้ทำให้นาย M ถูกตัดออกจากหลักสูตรการตลาดของมหาวิทยาลัยและถูกเลิกจ้างจากบริษัททันทีตั้งแต่วันที่เขาหลุดคำพูดนั้น
กล่าวกันว่าคำพูดเชิงดูถูกเหยียดหยามเพศหญิงในงานเสวนาในวันนั้นเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นที่ยอมรับในแง่สิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ สำหรับความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับประเด็นนี้พอจะสรุปได้สั้นๆ ดังนี้
● ผู้ที่เป็นพนักงานระดับสูงของบริษัท เช่นบริษัทที่มีเครือข่ายร้านอาหารที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ได้รับเงินค่าตอบแทนกรรมการจากบริษัท ควรคิดถึงภาพลักษณ์ของบริษัทก่อนที่จะนำเสนออะไรออกไป ที่จริงควรนำเสนอสิ่งที่ดีของบริษัท แต่คำพูดที่แสดงออกมาได้ดูถูกผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก คนฟังก็รู้สึกจิตตกครับ แม้แต่ผมเองก็ตกใจที่ได้ฟังแบบนี้
● คำพูดที่ไม่เหมาะสมและแสดงความดูหมิ่นเหยียดหยามเพศแบบนี้ยิ่งไม่ควรพูดโดยเฉพาะในสถานที่สาธารณะ มีบางคนบอกว่าถ้าอยากพูดก็ไปพูดกันเองในกลุ่มเพื่อนในวงเหล้าแต่ก็ระวังถูกแชร์ออกไปอีกสมัยนี้อะไรก็รวดเร็วเพราะส่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ สุดท้ายแล้วคำพูดที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทและทำร้ายตัวเองทันที
● ปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนในญี่ปุ่นค่อนข้างจะเข้มงวดมาก ที่จริงคำพูดเหยียดหยามแนวนี้มีเยอะและมีมานานแล้วแต่สมัยสิบกว่าปีก่อนยังไม่มีการแชร์ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์อย่างเช่นทุกวันนี้ คนที่พูดจาเหยียดหยามกันจึงไม่มีใครทำอะไรได้ ผมนึกถึงเรื่องคำพูดของผู้สัมภาษณ์งานของบางบริษัทที่ใช้กับผู้เข้าสัมภาษณ์ ตัวอย่างคำถามในการสัมภาษณ์ เช่น
* คุณมีแฟนหรือยัง?
* นี่ฉันดูอายุเท่าไหร่?
* หรือไล่ให้ออกไปจากห้องสัมภาษณ์!
เป็นต้น และได้ยินมาว่ามีหลายบริษัทที่ค่อนข้างจะไม่ให้เกียรติ บางคำพูดออกแนวเหยียดหยามและไม่มีมารยาทเลย แต่ตอนนั้นไม่มีสมาร์ทโฟนที่ใช้แชร์ข้อมูลกันอย่างทั่วถึงเหมือนตอนนี้เท่านั้นเอง
ซึ่งเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นสิทธิพื้นฐาน มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชน และไม่ควรให้บุคคลอื่นมาล่วงละเมิดได้ เหมือนข่าวดังกล่าวที่ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและไม่เป็นที่ยอมรับจากมุมมองสิทธิมนุษยชนและประเด็นทางเพศ ตอนนี้เราได้รับรู้ว่าคนญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องสิทธิมนุษยชนเพิ่มมากขึ้น (*´-`) .。o○และการกระทำใดๆ ก็ตามมันอาจจะถูกอัปโหลดไปยัง SNS ในทันทีและจะมีผลกระทบในโลกแห่งความจริงอีกด้วย เพราะแต่ละคนต่างก็มีอาวุธที่เรียกว่าสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ โปรดระมัดระวังครับ วันนี้เล่าสู่กันฟัง สวัสดีครับ