นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ไต้หวัน ย้อนมองชินโซ อาเบะ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่น ซึ่งริเริ่มความเคลื่อนไหวสำคัญหลายด้านของญี่ปุ่น โดยสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งคือการปรับความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวัน
เดวิด แซคส์ (David Sacks) นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน ประจำสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หน่วยงานด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เขียนบทความใน Council on Foreign Relations ว่า ชินโซ อาเบะ ได้วางรากฐานที่หนักแน่นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่น ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ในอินโดแปซิฟิก นำไปสู่รูปแบบที่กำหนดภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค สำหรับความสำเร็จทั้งหมดของเขา มรดกที่สำคัญที่สุดของอาเบะ คือ การปรับนโยบายของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งต่อไต้หวัน
ก่อนหน้าที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอาเบะ ในแวดวงเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่จะพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จีนจะใช้กำลังกับไต้หวัน นัยของการเคลื่อนไหวเพื่อความมั่นคงของญี่ปุ่น และวิธีที่ญี่ปุ่นควรตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร เมื่อตระหนักถึงท่าทีภัยคุกคามที่จีนมีแน่วแน่มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไต้หวัน ทั้งในแบบการทูต หรือกระทั่งการทหาร
เมื่ออาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงพยายามปรับทิศทางนโยบายของญี่ปุ่นที่มีต่อไต้หวัน เขาเริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงคุณค่าร่วมกันระหว่างญี่ปุ่นและไต้หวัน ในปี 2558 อาเบะเริ่มพูดถึงไต้หวันว่าเป็น "หุ้นส่วนที่สำคัญ" และ "เพื่อนผู้ล้ำค่า" ซึ่งเป็นสูตรที่รัฐบาลญี่ปุ่นนำมาใช้ในภายหลัง แม้ตอนนั้นจะเป็นก้าวเล็กๆ แต่ก็ช่วยปรับกรอบการสนทนาเกี่ยวกับญี่ปุ่น-ไต้หวันใหม่
ภายใต้การนำของอาเบะ ญี่ปุ่นและไต้หวันได้กล่าวถึงประเด็นที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในความสัมพันธ์ทวิภาคีของพวกเขา คือ สิทธิการประมง
หลังจากการเจรจามายาวนานถึง 17 ปี ในปี 2556 ญี่ปุ่นและไต้หวันได้บรรลุข้อตกลงครั้งสำคัญที่กล่าวถึงสิทธิการประมงในทะเลจีนตะวันออก (ไต้หวันก็อ้างสิทธิในทะเลจีนตะวันออก เช่นเดียวกันกับจีน ซึ่งรวมถึงหมู่เกาะเซนกากุ)
ข้อตกลงนี้ช่วยนำยุคใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ในปี 2562 ญี่ปุ่นได้เข้าเป็นผู้สนับสนุน Global Cooperation and Training Framework (GCTF) ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มที่ไต้หวันและสหรัฐอเมริกาจัดตั้งขึ้นในปี 2558 เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการที่เปิดโอกาสให้ไต้หวันแสดงความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น สาธารณสุข การบรรเทาภัยพิบัติ การส่งเสริมสิทธิสตรี และธรรมาภิบาล
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า หลังจากที่เขาก้าวลงจากตำแหน่ง อาเบะยังคงใช้อิทธิพลของเขาภายในพรรคเสรีประชาธิปไตยเพื่อขับเคลื่อนต่อเนื่องในนโยบายเกี่ยวกับไต้หวัน ในเดือนพฤศจิกายน 2565 เขาประกาศว่า “เหตุฉุกเฉินของไต้หวันเป็นเหตุฉุกเฉินของญี่ปุ่น ดังนั้น จึงเป็นเหตุฉุกเฉินสำหรับพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ผู้คนในปักกิ่ง โดยเฉพาะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่ควรลืมการตระหนักถึงสิ่งนี้”
อาเบะ เมื่อเข้าร่วมการเจรจาไตรภาคีกับฝ่ายนิติบัญญัติจากสหรัฐอเมริกาและไต้หวัน ได้กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงจะต้องไม่เกิดขึ้นในไต้หวัน” ในการเป็นปึกแผ่นกับไต้หวันนี้ อาเบะยังแสดงนัยหลังจากที่จีนสั่งห้ามนำเข้าสับปะรดไต้หวัน โดยอาเบะโพสต์ภาพเขาถือผลไม้ที่ถูกสั่งห้ามนั้น บนทวิตเตอร์ส่วนตัว
บทความชิ้นสุดท้ายที่เขาเขียนคือ op-ed ใน Los Angeles Times เขาแย้งนโยบายของสหรัฐฯ ที่ยังมีความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ต่อไต้หวัน ว่าคือ "การบ่มเพาะความไม่มั่นคงในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก" และเรียกร้องให้สหรัฐฯ "ชัดเจนว่าจะปกป้องไต้หวันจากการพยายามบุกรุกของจีน”
ความพยายามของอาเบะ ประสบความสำเร็จอย่างมากและผู้สืบทอดของเขายังคงดำเนินต่อไปในจุดที่เขาทำค้างไว้ แถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยนายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา และประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อเดือนเมษายน 2564 รวมประโยคเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ทศวรรษที่ทั้งสองประเทศกล่าวถึงไต้หวันในแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ
ฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้สืบทอดตำแหน่งของซูงะ ก็ว่า “แนวหน้าของการปะทะกันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยคือเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไต้หวัน” ประธานาธิบดีไบเดน และนายกรัฐมนตรีคิชิดะ กล่าวในแถลงการณ์ร่วมของผู้นำร่วมเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า “ย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันในฐานะองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในประชาคมระหว่างประเทศ” คิชิดะ ยังเตือนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "ยูเครนวันนี้อาจเป็นเอเชียตะวันออกในวันพรุ่งนี้" (หมายถึงไต้หวัน)
สัญญาณการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏชัดอีกในเดือนมิถุนายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โนบุโอะ คิชิ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (และน้องชายแท้ๆ ของชินโซ อาเบะ ที่ถูกครอบครัวอื่นรับไปเลี้ยงตั้งแต่เด็ก) กล่าวว่า “สันติภาพและเสถียรภาพของไต้หวันเชื่อมโยงโดยตรงกับญี่ปุ่น” สมุดปกขาวด้านกลาโหมประจำปีล่าสุดของประเทศญี่ปุ่นกล่าวถึงไต้หวันในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเน้นว่า “การทำให้สถานการณ์รอบๆ ไต้หวันมีเสถียรภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงของญี่ปุ่นและความมั่นคงของประชาคมระหว่างประเทศ ดังนั้นเราจึงต้องใส่ใจกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วยความรู้สึกถึงวิกฤตมากกว่าที่เคยเป็นมา”
นอกเหนือจากแถลงการณ์สนับสนุนไต้หวันในผู้สืบทอดของ อาเบะ ญี่ปุ่นยังได้บริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวนหลายล้านโดสให้ไต้หวัน และสนับสนุนการเสนอตัวเพื่อเข้าร่วมข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)
เหล่านี้ยังสะท้อนกับหมู่ประชาชนชาวญี่ปุ่น ผลสำรวจเมื่อไม่นานนี้พบว่าเกือบสามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจ สนับสนุนให้รัฐบาลญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน
ความรักใคร่ในหมู่ชาวไต้หวันที่มีต่อญี่ปุ่นก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน 60 เปอร์เซ็นต์ของชาวไต้หวันมองว่า ญี่ปุ่นเป็นคนต่างประเทศที่พวกเขาชื่นชอบ จากการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 52 เปอร์เซ็นต์ในปี 2553 ในหลายๆ ด้าน ความชื่นชอบญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนชาวไต้หวันสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอาเบะในการขยายความสัมพันธ์ทวิภาคีญี่ปุ่น-ไต้หวัน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากมีข่าวว่าอาเบะถูกยิง ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน เรียกเขาว่า “มิตรรักที่จริงใจที่สุดของไต้หวัน” หลังจากอาเบะเสียชีวิต ไช่กล่าวว่าไต้หวัน "สูญเสียเพื่อนสนิทและคนสำคัญ" และสั่งให้ลดธงครึ่งเสา รองประธานาธิบดี ไล ชิง-เท ของไต้หวันเข้าร่วมพิธีศพส่วนตัวของอาเบะในโตเกียว โดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไต้หวันที่เยือนญี่ปุ่น นับตั้งแต่ญี่ปุ่นตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันในปี พ.ศ.2515
อย่างไรก็ตาม งานที่อาเบะเริ่มดำเนินการนั้นยังไม่ลุล่วง สหรัฐฯ และญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มการประสานงานและการเตรียมพร้อมสำหรับความขัดแย้งในไต้หวันอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นความสำคัญสูงสุดสำหรับพันธมิตรสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ในการจัดลำดับความสำคัญของการปรึกษาหารือที่มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการจากญี่ปุ่นเพื่อเอาชนะการรุกรานของจีน และวิธีที่สามารถจัดการกับข้อกังวลของญี่ปุ่นได้
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นควรสำรวจกรอบการทำงานทางเศรษฐกิจกับไต้หวันด้วย ซึ่งจะช่วยให้ไต้หวันไม่ตกสภาพชายขอบทางเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก รวมทั้งแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์
สำหรับกิจการระหว่างประเทศนั้น ชินโซ อาเบะ ได้ฝากมรดกหลายสิ่ง ซึ่งรวมถึงความพยายามครั้งสำคัญที่เขาทำเพื่อปรับนโยบายของญี่ปุ่นให้เข้ากับไต้หวัน และตอนนี้ก็คงขึ้นอยู่กับผู้สืบทอดของเขาที่จะสานต่อมรดกของเขา