กลุ่มสื่อญี่ปุ่นรายงาน (14 มิ.ย.) เจ้าแห่งอาชญากรรมถูกเขย่าโดยยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม ด้วยกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชบัญญัติการป้องกันพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายของสมาชิกแก๊งอาชญากร” หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พ.ร.บ.ปราบปรามยากูซ่า" มาตั้งแต่ปี 2011 ถึงแม้จะกำจัดกลุ่มอิทธิพลมืดเหล่านี้ไม่หมดโดยสิ้นเชิง แต่ก็สร้างความลำบากให้แก๊งและสมาชิกต่างๆ ได้มากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะยากูซ่ารุ่นเก๋าๆ โดยเฉพาะเรื่องโทรศัพท์มือถือ
แม้ว่าจะมีอำนาจในโลกมืด แต่เมื่อพูดถึงสมาร์ทโฟน ดูเหมือนว่ากลุ่มยากูซาระดับสูงจำนวนมากไม่สามารถอัปเกรดจากโทรศัพท์ฝาพับรุ่นเก่าที่เรียกว่า “garakei” หรือ “ฟีเจอร์โฟน” ในญี่ปุ่นได้ ขณะที่บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ Au, SoftBank และ DoCoMo ก็พร้อมที่จะยุติบริการ 3G ในอนาคต
เหตุผลก็คือยากูซ่ารุ่นเก่าต้องทนใช้มือถือระบบ 3G มาตลอด ด้วยไม่สามารถเซ็นสัญญาอัปเกรดเพื่อรองรับเครือข่ายสูงกว่านั้นได้ตั้งแต่มาตั้งแต่ปี 2554
นั่นคือตอนที่รัฐบาลผ่าน "กฎหมายองค์กรอาชญากรรม" (Boryokudan Haijo Jorei) ทั่วประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเอกชนทำธุรกิจกับสมาชิกของยากูซ่า ตั้งแต่นั้นมา สัญญาของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกำหนดให้ผู้ลงนามต้องระบุชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดร่วมกับลูกค้าของผู้ให้บริการ
▼ ตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ นั้นหาซื้อมือสองได้ง่ายพอสมควร แต่ซิมการ์ดนี่แหละตัวปัญหา
อาจดูแปลกที่คนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ยอมโกหกฉ้อฉลในสัญญา พวกเขามีเหตุผลที่ดีที่จะไม่ทำ โดยเฉพาะสมาชิกระดับสูงอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่เพิ่มขึ้นโดยตำรวจที่กำลังมองหาข้ออ้างในการจับกุมพวกเขา และด้วยกรณีฉ้อโกงสัญญาที่ฉ้อฉล เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบธุรกิจของพวกเขาได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น วิธีแก้ปัญหาอื่นคือให้คนอื่นทำสัญญา แต่นั่นก็ถือเป็นการฉ้อโกงและนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกัน
ในปี 2017 คุนิโอะ อิโนอุเอะ หัวหน้าแก๊งโกเบ ยามากูจิ-กุมิ ถูกจับในข้อหาฉ้อโกง เมื่อเขาและผู้สมรู้ร่วมคิด ได้สมคบกันเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ค่าเครื่องก็ไม่ได้มากนัก แต่กลายเป็นช่องทางให้ตำรวจท้องถิ่นค้นหาสำนักงานใหญ่ของกลุ่มและสอบสวนสมาชิกคนอื่นๆ
ในปี 2020 ตำรวจฮอกไกโดได้จับกุมสมาชิกยากูซ่าวัย 46 ปี ในข้อหาฉ้อโกง เพราะเขาเซ็นสัญญามือถือในปี 2018 ซึ่งมีประโยคที่เขาประกาศว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แต่เหตุการณ์ที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อสมาชิกคนหนึ่งถูกจับในข้อหาเซ็นสัญญาที่คล้ายกันเพื่อรับงานพาร์ตไทม์ที่ไปรษณีย์
▼นี่พิสูจน์ว่า ปากกา (การลงนามในสัญญา) นั้นมีอำนาจมากกว่าดาบ (อาวุธของยากูซ่า)
ด้วยเหตุนี้ สมาชิกยากูซ่าจึงปลอดภัยกว่าในการทำสัญญาที่พวกเขาลงนามก่อนปี 2011 และจะดำเนินการตามสัญญาดังกล่าวให้นานที่สุด ไม่ลงนามสัญญาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณจึงไม่ค่อยเห็นสมาชิกยากูซ่าที่อาวุโสที่มีสมาร์ทโฟน นอกจากพวกมือใหม่ที่เพิ่งทำสัญญามือถือเมื่อเร็วๆ นี้ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยังคงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว พวกยากูซ่ารุ่นใหม่ก็คงจะประสบปัญหาเดียวกันในไม่ช้าเช่นกัน ในทางกลับกัน กลุ่มยากูซ่าได้แสดงให้เห็นถึงความมีเล่ห์ไหวพริบของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าในการเอาตัวรอดจากเงื้อมมือกฎหมาย