xs
xsm
sm
md
lg

ระวังถูกหลอกนั่งรถลากญี่ปุ่น ต้องจ่ายเป็นหมื่นๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็ยังต้องเฝ้าระวังเรื่องการระบาดของโควิด-19 กันต่อไปนะครับ แต่หลายคนก็คงคิดถึงการเดินทางท่องเที่ยวกันแล้วใช่ไหมครับ ถ้าผมเดินทางออกจากประเทศไทยช่วงนี้คงต้องทำเอกสารมากเป็นพิเศษ ผมเคยคิดเรื่องความเป็นอยู่ของคนต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่นต่างถิ่นฐานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างแดน หรือคนต่างชาติที่อาศัยอยู่เมืองไทย ถ้าลองเทียบกันเรื่องความยากง่ายของการทำธุรกรรมติดต่อประสานงานเรื่องการทำเอกสารวีซ่าหรือการแสดงตนต่างๆ ผมคิดว่าชาวต่างชาติในประเทศไทยต้องดำเนินการเรื่องเอกสารยุ่งยากมากกว่าคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมากเลยครับ (พูดถึงกรณีอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย)


ผมเองไม่ได้เดินทางไปไหนมาหลายปีละครับ ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย สองปีที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้กลับญี่ปุ่นเลยครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พักและซ้อมดนตรีบ้าง ผมมีเครื่องดนตรีหลายชนิด มีซีตาร์ซึ่งเป็นเครื่องสายคล้ายพิณด้วย ซึ่งผมเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า กีตาร์อินเดียครับ ก่อนที่จะได้เครื่องดนตรีตัวนี้มาผมก็หาข้อมูลว่ามีขายที่ไหนในเมืองไทยบ้างไหมแต่ก็ไม่มีเลย จะสั่งซื้อผ่านอาจารย์อินเดียที่เป็นครูสอนก็พอได้แต่ราคาค่อนข้างแพงมาก จึงคิดว่าเครื่องดนตรีนี้มีขายแน่ๆ ที่ประเทศอินเดีย ตอนนั้นผมก็คิดจะไปเที่ยวและซื้อซีตาร์กลับมาด้วย ก็คิดว่าจะไปเมืองไหนที่ใกล้ที่สุดเดินทางสะดวกและปลอดภัย มองๆ โกลกาตา (กัลกัตตา) ไว้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเมืองที่เด่นเรื่องวัฒนธรรมและเครื่องดนตรีมิวสิกก็ว่าได้ แต่สุดท้ายทริปซื้อซีตาร์ที่อินเดียก็ล่มไปเพราะหาร้านขายซีตาร์ได้ใกล้กว่านั้นคือที่มาเลเซีย จึงไปซื้อที่มาเลเซียแทน


พูดถึงอินเดียและโกลกาตาแล้ว ผมก็นึกถึงรถลากเก่าแก่แบบที่ใช้คนลากจูง คำว่า รถลาก ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 人力車 (จินริกิฉะ) 人 แปลว่า คน , 力 แปลว่า แรงหรือพลัง, 車 แปลว่า ยานพาหนะหรือรถ เมื่อนำมารวมกัน 人力車 จึงแปลว่า ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยแรงคนนั่นเองครับเพื่อนๆ เคยนั่งรถลากไหมครับ ผมเคยไปอินเดียแต่ไม่ใช่เมืองโกลกาตา เคยเห็นรถแนวสามล้อรับส่งผู้โดยสาร และมักจะเรียกราคาสูงกว่าราคาคนท้องถิ่นเล็กน้อย แต่อย่างมากก็หลักสิบบาท บ้างก็พยายามพาวนเพื่อให้มิเตอร์ขึ้นมากกว่าเดิม ผมเคยเรียกรถตุ๊กๆ ไปส่งที่คริสตจักร แต่ก็โดนบอกราคาแพงกว่าคนท้องถิ่นเช่นกัน แต่ก็หลักสิบซึ่งก็พอรับได้ แต่ถ้าใครเจอราคารถลากที่ญี่ปุ่นจะต้องร้องแน่ๆ


ตามประวัติแล้ว รถลากเริ่มมีให้เห็นในญี่ปุ่นในปี 1868 และได้รับความนิยมในเวลาต่อมา เพราะสามารถสัญจรได้เร็วกว่าเกี้ยวแบบเดิม และสมัยก่อนนั้นการใช้แรงงานคนก็ราคาถูกกว่าใช้ม้ามาก ถ้าใครเคยไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ของญี่ปุ่นเช่น คามากุระ ย่านอาราชิยามะในเกียวโตหรือเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ย่านอาซาคุสะในโตเกียว คุระชิกิ มิยาจิม่า โอตารุ ยูฟูอินเป็นต้น ต้องเคยเห็นรถลากจอดให้บริการแน่ๆครับ ซึ่งรถลากญี่ปุ่นมีไว้บริการลูกค้าตามแหล่งท่องเที่ยว แต่ที่โกลกาตานั้นเป็นรถลากที่วิ่งรับส่งคนจริงๆ ตามถนนหนทางทั่วไป แต่ปัจจุบันอาจจหลงเหลืออยู่ไม่มาก เพราะเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา อาชีพรถลากเหมือนจะค่อยๆ หมดไป เพราะคนที่ทำอาชีพนี้อายุมากแล้วไม่มีกำลังวังชาเหมือนคนหนุ่มสาว และการสอบใบขับขี่ก็ยากขึ้น และดูเหมือนว่ารัฐบาลอินเดียไม่ต้องการออกใบอนุญาตให้ และอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสีเทา หมายถึงธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้รถลากค่อยๆ หมดยุคไป เปลี่ยนมาเป็นการใช้พาหนะอื่นๆ แทน เช่น รถสามล้อหรือที่เรียกกันว่าตุ๊กตุ๊ก และรถที่ใช้เครื่องยนต์แทนแรงคน


รถลากญี่ปุ่นโดยเฉพาะตามย่านแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนเป็นของคู่กันและทำให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นดูน่าดึงดูดและมีมนต์ขลังมากขึ้น และคนลากรถทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีเพื่อให้รู้กฎปฎิบัติเวลานำรถลากไปวิ่งบนท้องถนนที่จะมีรถยนต์วิ่งอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารนั่นเอง

โดยปกติแล้วรถลากที่ญี่ปุ่นจะมีการกำหนดราคาค่าโดยสารที่ชัดเจน แต่เชื่อไหมว่ายังมีปัญหาโกงเงินนักท่องเที่ยวอยู่ โดยแม้ว่าจะตกลงราคากันไปแล้วตั้งแต่ต้นแต่ระหว่างเดินทางคนลากรถก็จะยื่นข้อเสนอว่าไปจุดนั้นอีกไหมน่าสนใจมาก โน้มน้าวใจลูกค้าต่างๆ นานา คนที่นั่งรถก็คิดว่าถ้าไปอีกนิดอาจจะจ่ายเงินเพิ่มไม่มากนัก แต่ที่ไหนได้ตอนจ่ายเงินกลับโดนฟันราคาสูงมาก มีเรื่องของการฉ้อโกงและหลอกลวงกันหลายวิธี เพราะบางคนไม่รู้ว่าค่าใช้บริการรถลากตามสถานที่ท่องเที่ยวนั้นค่อนข้างแพงมากและอาจจะโดนหลอกได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้ข้อมูลและตกลงกันให้ดีก่อน มีข่าวสาวญี่ปุ่นที่เคยไปเที่ยวที่เกียวโตและอยากนั่งรถลากโดยขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้นคนลากรถก็ชักชวนให้แวะไปเที่ยวเส้นทางอื่นๆ เพิ่มเติมเธอก็คิดว่าคนลากรถใจดีพอจบระยะของการเดินทางกลายเป็นว่าต้องจ่ายเงินจำนวนเยอะมากกว่าเดิมรวมแล้วหมื่นกว่าบาท ซึ่งคนลากรถก็จะอ้างว่าเป็นเรทราคาปกติ แล้วก็แจ้งความเอาผิดไม่ได้ด้วย กรณีเช่นนี้ต้องระวังตัวไว้ด้วยครับ


ถ้าท่านใดอยากลองนั่งรถลากที่ญี่ปุ่น ต้องลองดูตามแนวทางนี้ครับ

1. ต้องตกลงกับคนลากรถก่อนว่าจะนั่งกี่คน ไปตามเส้นทางของครอสไหน เช่น เส้นทาง A หรือ B หรือ C ซึ่งเวลาที่ใช้ในการเดินทางและราคาก็จะแตกต่างไป
2. ขึ้นรถ มีผ้าคลุมให้ด้วย และเริ่มออกเดินทาง คนลากรถจะชวนลูกค้าคุยตลอดทาง หรือแนะนำและอธิบายสถานที่ให้ตลอดตามข้างทางที่ผ่านทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเอง แต่ถ้าเขาแนะนำให้ไปเที่ยวนอกเส้นทางที่ตกลงกันไว้ตอนแรก ต้องยืนยันให้แน่ใจว่าต้องจ่ายเงินเพิ่มไหม ราคาเท่าไหร่
3. เมื่อสิ้นสุดการเดินทาง จะชำระเงินเมื่อคนขับพามาจุดสถานีจอดรถ ณ จุดสิ้นสุดตามที่ตกลงกันไว้ตอนแรก โดยมีการปริ้นท์ใบเสร็จให้ลูกค้าด้วย รถลากบางร้านจะมีของที่ระลึกให้ลูกค้าด้วย เช่น สติกเกอร์หรือโปสการ์ด เป็นต้น


หากลองคิดดูแล้ว สามารถพูดได้ว่ารถลากเป็นรถที่ใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากนะครับ รถลากที่ญี่ปุ่นยังให้บริการเป็นแบบนำเที่ยวพาชมสถานที่สำคัญตามแหล่งท่องเที่ยว อยู่นะครับ ลองสัมผัสประสบการณ์พิเศษได้ในเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ครับ แต่ระวังถูกจูงใจให้เสียเงินเพิ่มโดยไม่ทันระวังนะครับ วันนี้สวัสดีครับ 〜(´∀`;)


กำลังโหลดความคิดเห็น