สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ที่ญี่ปุ่นมีคำศัพท์ว่า チラシの裏 chirashi no ura หรือเขียนย่อว่า チラ裏 chira ura หมายถึงด้านหลังของใบปลิวครับ
คำว่า チラシ chirashi ในที่นี้หมายถึง แผ่นพับ,ใบปลิว, แผ่นโฆษณาสินค้าต่างๆ แต่เดิมนิยมพิมพ์แผ่นใบปลิวโฆษณาเพื่อแทรกมาในหนังสือพิมพ์ทั่วไป เพราะสมัยก่อนธุรกิจสิ่งพิมพ์เติบโตมาก คนญี่ปุ่นชอบอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ บางบ้านจะรับหนังสือพิมพ์เป็นประจำทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์ไปก็เก็บใบปลิวโฆษณาสินค้ามาอ่านด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโฆษณาสินค้าของร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านแว่นตา ร้านเสื้อผ้า เป็นต้น ลักษณะการพิมพ์ก็ง่ายๆ ประหยัดต้นทุน ใช้กระดาษสีบางๆ เช่น สีเหลือง สีชมพู แล้วพิมพ์ด้วยหมึกสีแดง สีฟ้า ให้เด่นสะดุดตา ไม่ต้องเน้น Artwork ที่สวยงามประณีตบรรจงอะไรมาก นอกจากใบปลิวที่แทรกมากับหนังสือพิมพ์แล้วยังรวมถึงใบปลิวโฆษณาที่มีคนยืนแจก และใบปลิวแผ่นพับที่อยู่ในตะกร้าทางเข้าของร้านค้าต่างๆ ด้วยครับ
ซึ่งใบปลิวโฆษณาที่แทรกมากับหนังสือพิมพ์นี้มักจะพิมพ์โฆษณาแค่ด้านเดียว ทำให้ด้านหลังของใบปลิวเป็นกระดาษว่างๆ เรียกว่า チラシの裏 chirashi no ura กลุ่มเป้าหมายเดิมของใบปลิวโฆษณานี้คือคนที่อายุ 70 ปีขึ้นไป หรือเรียกว่ากลุ่มคนที่เกิดในยุคโชวะ พวกคุณลุงคุณป้าเหล่านี้ก็ชอบจะเก็บสะสมใบปลิวไว้เยอะและใช้ด้านหลังของกระดาษใบปลิวทำเป็นกระดาษโน้ตไว้เขียนบันทึกข้อความต่างๆ มีบางคนเอามาทำเป็นกระดาษเขียนจดหมายส่งให้กันอีก ด้วย “チラシの裏 chirashi no ura” จึงกลายเป็นคำเปรียบเปรยว่า การใช้ด้านหลังของกระดาษใบปลิวเพื่อเขียนบันทึกข้อความ ( แนวลุงๆ ป้าๆ สมัยก่อน) นั่นเอง
หลังจากที่โลกเรามีการพัฒนาวิวัฒนาการต่างๆ ทั้งดิจิทัลเทคโนโลยี จนถึงยุคแห่งการเชื่อมต่อถึงกันอย่างไร้พรมแดน มีโลก Social Media ต่างๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตคนเรามากขึ้น คนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากจะเขียนข้อความในกระดาษโน้ตหรือด้านหลังของใบปลิวเพื่อสื่อสารกันอีกต่อไป ต่างก็เปลี่ยนไปใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ บางคนก็โพสต์หรืออัพเดทเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่มีความจำเป็นต้องนำมาบ่นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นสาธารณะ เพราะเรื่องที่เขียนแชร์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นการนำเสนอในวงกว้าง น่าจะเป็นแนวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นข้อมูลที่ให้ประโยชน์กับทุกคนบ้างไม่มากก็น้อย วันก่อนผมอ่านกระทู้หนึ่งที่คนญี่ปุ่นคนหนึ่งโพสต์ว่า เบื่อจริงๆ เป็นสิวที่แก้มก้น! และก็ขึ้นอยู่แต่ก้นด้านซ้าย ด้านขวาไม่เห็นเป็น!? จึงมีคนมาตอบกลับไปว่า ถ้าจะพูดเรื่องประมาณนี้ให้ไปเขียนที่ด้านหลังของใบปลิวแทนจะดีกว่านะ! นี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นคิดสำหรับนิยามคำว่า チラシの裏 chirashi no ura ครับ
ที่จริงแล้วผมอยากจะพูดเรื่องอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว แต่มันจะเป็นเรื่องที่เอาไว้เขียนที่ด้านหลังของใบปลิวไปหรือเปล่า!! แต่หลังจากที่ผมคุยกับเพื่อนๆ ที่ญี่ปุ่น และอ่านกระทู้หลายกระทู้ที่คนญี่ปุ่นคุยกัน ก็พบว่าคนญี่ปุ่นที่อยู่ญี่ปุ่นแทบจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มที่สามกันเลย ซึ่งตอนนี้ทางญี่ปุ่นให้เหตุผลว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่สามควรเว้นระยะห่างจากเข็มที่สองอย่างน้อยหกเดือนซึ่งถ้าถามว่าเป็นเหตุผลทางการแพทย์หรือเปล่าก็คงจะไม่น่าใช่แต่อาจเป็นเพราะวัคซีนไม่เพียงพอก็เป็นได้ เมื่อผมบอกเพื่อนว่าผมฉีดวัคซีนเข็มที่สามไปแล้วเรียบร้อย เพื่อนผมก็ตกใจกันใหญ่ทำให้ผมเป็นคนแรกๆ ในกลุ่มเพื่อนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วสามเข็ม ผมจึงคิดว่าน่าจะเล่าอาการจากประสบการณ์ตรงนี้บอกเพื่อนๆ สักหน่อย
และผมก็คิดว่าอาจจะยังมีเพื่อนๆ บางคนที่ยังลังเลใจว่าจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่สามดีหรือเปล่า วันนี้ผมจะเล่าอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนที่เกิดกับผมเพื่อเป็นอีกแหล่งข้อมูลอ้างอิงครับ สำหรับการตัดสินใจต้องแล้วแต่ผู้ที่จะฉีด สิ่งที่ผมจะเล่าเป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นกับผม และไม่ได้ชี้นำว่าควรจะฉีดหรือไม่ฉีดครับ ขอให้พิจารณาด้วยวิจารณญาณของท่านตนเอง
◇เข็มที่หนึ่ง: ผมฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ( AstraZeneca ) หลังฉีดมีอาการแค่รู้สึกเจ็บแขนบริเวณจุดที่ฉีด เจ็บแบบยกแขนไม่ขึ้น ไม่สามารถนอนตะแคงด้านที่ฉีดได้ หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 20 วัน อยู่ดีๆ ผมก็มีอาการตัวร้อน มีไข้ขึ้นประมาณ 38 องศาเซลเซียสโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ผมก็อยู่ที่ห้องเฉยๆ ไม่ได้ออกไปตะเวนเที่ยว หรือโดนฝน หรือกินอาหารแปลกใดๆ แปลกที่อยู่ๆ ก็มีไข้ขึ้นมา แต่เมื่อนอนพักหนึ่งคืนไข้ก็หายไปเอง ส่วนเรื่องแขนเจ็บก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับครับ
◇เข็มที่สอง: ผมฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ( AstraZeneca ) เช่นกัน คราวนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย และเหมือนจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นนิดหน่อย ก็แปลกดี เพราะได้ยินจากเพื่อนบางคนบอกรู้สึกเหมือนจิตใจห่อเหี่ยวเฉาแปลกๆ
◇เข็มที่สาม: ผมฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ (Pfizer) ที่เป็นวัคซีนชนิดสารพันธุกรรมหรือ mRNA ตามที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้คือทีแรกผมว่าจะไม่ฉีดเข็มที่สาม แต่ด้วยเหตุบังเอิญจึงต้องฉีดเข็มที่สามไปแบบไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน ที่จริงที่ญี่ปุ่นมีคนที่ยังไม่อยากฉีดวัคซีนกันเยอะมากจนรัฐบาลออกมาประกาศว่า “ถ้าคนญี่ปุ่นฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วมีอาการข้างเคียงรุนแรงจนส่งผลแก่ชีวิต และสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเสียชีวิตจากการแพ้วัคซีนจะได้เงินช่วยเหลือจากทางสวัสดิการประกันสุขภาพของรัฐบาลประมาณคนละ 10 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ไม่รวมคนญี่ปุ่นที่อยู่ต่างประเทศให้เป็นกลุ่มนอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายนี้” !! ดังนั้นเวลาที่คนญี่ปุ่นที่อยู่ต่างประเทศเซ็นชื่อยินยอมฉีดวัคซีนนั่นหมายถึงว่าคุณรับผิดชอบตัวเอง ดังนั้นครั้งนี้ผมฉีดเข็มที่สามของไฟเซอร์ ผมจึงรู้สึกกังวลนิดหน่อยว่าผมจะมีอาการแพ้อะไรที่รุนแรงหรือเปล่า
หลังฉีดเข็มที่สามและนั่งพักประมาณ 30 นาทีก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร ตอนที่ฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองผมเตรียมตัวและเตรียมใจไว้ก่อนแล้วผมก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่การฉีดเข็มที่สามเป็นการฉีดหลังจากที่ผมไปตรวจสุขภาพประจำปีและผมไม่ได้กินข้าวกินน้ำมาตั้งแต่คืนก่อน เมื่อตรวจตรวจสุขภาพเสร็จก็ไปฉีดวัคซีนต่อเลยและรอเวลาอีก ทำให้ผมรู้สึกหิวมากๆ และระหว่างที่เดินทางไปหาอะไรรับประทานก็รู้สึกว่ามีอารมณ์สุนทรีย์เหมือนคนได้ดื่มเหล้าเข้าไปเลยเชียว ไม่รู้ผลจากวัคซีนหรือเปล่า วันนั้นหิวมากและกินอาหารญี่ปุ่นกินอาหารทุกอย่างที่ขวางหน้า กินเข้าไปเยอะมากก็ยังรู้สึกปกติดี แต่วันรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละ ทั้งเจ็บแขนทั้งเหมือนมีความหดหู่ใจ รู้สึกแย่ขึ้นมาเอง และมีไข้เล็กน้อยประมาณ 37.5 องศาเซลเซียส แต่วันต่อๆ ไปก็หายไปเองและเป็นปกติในที่สุดครับ ค่อยโล่งใจไปเปราะหนึ่งแต่ก็ไม่รู้ว่าระยะยาวจะยังโอเคหรือไม่นะครับ
เพื่อนๆ ฉีดวัคซีนแล้วหรือยังไม่อยากฉีด และมีอาการข้างเคียงอะไรบ้างเล่าสู่กันฟังได้นะครับ เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงให้เพื่อนๆ ที่กำลังลังเลใจว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดดีให้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เราสามารถที่จะเลือกได้เองครับ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ขอให้ทุกท่านปลอดภัย รักษาสุขภาพนะครับ วันนี้สวัสดีครับ