สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ถ้าพูดถึงปีปฏิทินทางการของญี่ปุ่น ตอนนี้ญี่ปุ่นอยู่ในยุครัชศกเรวะ 令和 โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 นับจากวันที่สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิครับ จากวันนั้นถึงวันนี้เพิ่งผ่านมายังไม่ถึงสามปีแต่คนญี่ปุ่นพูดกันว่า เป็นการเริ่มต้นยุคสมัยที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เกิดความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนหน้ายุคเมจิประเทศญี่ปุ่นไม่ได้นับยุคสมัยหนึ่งๆ ต่อองค์จักรพรรดิหนึ่งพระองค์ ถ้ามีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติต่างๆ หรือเกิดความรุนแรง หรือเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนจนทำให้รู้สึกว่ามีความผิดปกติ เช่น เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากๆ หรือสงคราม หรือโรคระบาดร้ายแรง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนรัชศกใหม่ แต่ตั้งแต่ยุคเมจิเป็นต้นมาจะนับหนึ่งยุครัชศกต่อองค์จักรพรรดิหนึ่งพระองค์ที่เกิดจากการผลัดแผ่นดินเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งสมัยเทมเปียว เคยเกิดภัยธรรมชาติและโรคระบาดร้ายแรงขึ้น ในปี ค.ศ. 745 สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิโชมุได้ทรงดำริว่าควรจะร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขึ้น และแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 752 เพื่อช่วยปกป้องภัยพิบัติ ทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ นั่นคือวัดโทไดจิ (東大寺 Todaiji) หรือที่เราเรียกกันว่าวัดหลวงพ่อโต จังหวัดนารานั่นเอง ซึ่งคิดว่าเพื่อนๆ หลายคนก็คงรู้จักและคงเคยไปเที่ยวกันมาบ้างแล้ว นับว่าเป็นกุศโลบายที่จะสร้างวัดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและช่วยปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บ แต่นอกจากนี้อีกหนึ่งกุศโลบายก็คือสมัยก่อนมีคนตกงานเยอะ คนไร้บ้านก็มากมายการสร้างวัดหรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อช่วยให้พวกเขามีงานทำซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ปัจจุบันแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ของคนทั่วไป ส่งผลให้เกิดความเครียดและกดดันต่างๆ มากขึ้น และยังเกิดคดีแปลกๆ ขึ้นบ่อยครั้งอย่างที่ผมเคยเขียนเล่าไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น จึงมีคนพูดเปรียบเทียบว่าถ้าเป็นสมัยก่อน เจอเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นสองสามปีที่ผ่านมานี้ ที่มีผลกับผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจปากท้องและจิตใจของคนญี่ปุ่นอย่างมากแบบช่วงนี้ คงจะมีการเปลี่ยนรัชศกกันไปแล้ว นอกจากนั้นคนญี่ปุ่นก็แชร์กันถึงเรื่องราวดีๆ ความทรงจำสีจางๆ ของสมัยก่อนว่าเป็นยุคที่ดี ที่ถึงแม้จะไม่ค่อยสะดวกสบายอะไรเลย เพื่อนๆ มีความทรงจำในวัยเด็กไหมครับ วันนี้เรามาหวนดูความทรงจำยุค 80s กันสักหน่อยครับ ว่าเป็นยุคที่มีความทรงจำดีๆ จริงหรือ ทำไมสมัยก่อนจึงมีความทรงจำที่หอมหวานกว่านี้ คิดว่าเพื่อนๆ คนไทยที่เกิดและโตในยุคเดียวกันนี้ก็คงเข้าใจบรรยากาศช่วงนั้นเช่นเดียวกันครับ
เพราะผมคุยกับเพื่อนคนไทยก็ได้ความรู้สึกคล้ายๆ กันเลย เพื่อนคนไทยผมบอกว่าช่วงเวลาที่เขาเป็นเด็กนั้นจะมีทีวีเหมือนกล่องไม้เครื่องใหญ่ที่คนจะมารุมดูกันอย่างตื่นเต้น มีของเล่นมอมแมม และมีของรักของโปรดที่รักมาก เป็นความทรงจำที่ดีมาก เป็นช่วงที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน จะมีแต่ของเล่น เครื่องเกมพกพา เลิกเรียนมาก็จะวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านรอบบริเวณบ้าน บางทีก็มีเพื่อนมาเล่นที่บ้านบ้าง กระโดดน้ำคลอง ไล่จับแมลง วันเสาร์อาทิตย์จะต้องดูการ์ตูนดังมากของยุค เช่น ดราก้อนบอล เซนต์เซย่า สแลมดังก์ โดราเอมอน ฯลฯ หรือพวกหนังที่มีการแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ต่างๆ ยิ่งดูยิ่งสนุก แม้ไม่มีตัวเลือกเยอะแต่ก็ผูกพันธ์กับสิ่งนั้นๆ มากอย่างยาวนาน ถึงจะเป็นยุคที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีเสน่ห์ชวนให้คะนึงหาหลายอย่าง ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งความสุขมากๆ อีกช่วงหนึ่ง
ความรู้สึกไม่แตกต่างกันเลยครับ ที่ญี่ปุ่นช่วงที่ผมยังเด็ก ก็คิดถึงช่วงเวลาดังกล่าวเหมือนกัน คนญี่ปุ่นหลายๆ คนบอกว่าคิดถึงยุคโชวะ 昭和 Showa ตอนปลายๆ คือประมาณยุค 80s ต่อกับ 90s นี่แหละครับ เมื่อนึกถึงคนญี่ปุ่นยุคนั้นจะมีลักษณะอย่างหนึ่งคือ คนญี่ปุ่นเป็นคนที่ขยันมากและดูมีพลังความสุขมาก ตอนเด็กๆ ผมมักจะไปเล่นที่ร้านขายเหล้าของคุณยายทุกวัน ผมเห็นจากคุณยายผมแล้วผมทึ่งมาก ตอนนั้นท่านก็มีอายุ 70-80 ปีแล้ว แต่ทำงานหนัก งานเยอะ ยุ่งทั้งวัน ยายทำอะไรบ้าง คร่าวๆ คือ
☆ยายตื่นตีสี่เกือบทุกวัน ตื่นมาดูข่าว แล้วขี่จักรยานไปสวนเล็กๆ ที่ยายปลูกผักไว้สารพัด ไปถอนหญ้าบ้าง รดน้ำต้นไม้ หรือเก็บผักตามแต่ยายจะหาทำ
☆ ประมาณ 07:00 น. กลับมาบ้าน เตรียมของเปิดร้าน ทำกับข้าว ต้มซุปเต้าเจี้ยว Miso Soup หม้อใหญ่เอาไว้ขายและบริการลูกค้าเมื่อเปิดร้าน
☆ เปิดร้าน ประมาณ 09:00-20:00 น. ร้านก็อยู่ในบ้านคุณยายนั่นเอง ห้องที่ขายเหล้าสาเก และห้องที่ผมมักจะไปนั่งเล่นเกมก็ติดกันแค่เลื่อนประตูเลื่อนก็ทะลุถึงกันแล้ว ร้านของยายมีขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร ขายเหล้า ขายเกลือขายน้ำตาล ขายซุป มีอาหารด้วย อาหารขึ้นชื่อของนักดื่มเหล้าแถวนั้นคือ ไข่ดาวครับ นอกจากนั้นยังขายไอศครีมโดยยายใช้วิธีเดินไปซื้อจากร้านสะดวกซื้อข้างบ้านเมื่อมีลูกค้าสั่ง ยายผมเป็นยอดนักขายจริงๆ ร้านแกก็บริหารจัดการคนเดียว โต๊ะสำหรับแขกในร้านจะมีโต๊ะใหญ่รวมกลางร้าน แล้วมีฟูกให้นั่งหลายที่นั่ง หรือใครสะดวกจะนั่งบาร์ก็ตามใจ
☆นอกจากนั้นข้างๆ บาร์เหล้าของยายยังมีร้านรับซักรีดและรับส่งไปรษณีย์ของยายเอง !!!(`・ω・´) ผมจำระบบการทำงานของร้านยายไม่ได้เท่าไหร่แต่จำได้แน่ๆ คือคุณยายบริหารจัดการเองคนเดียว!!
☆พอร้านปิด ก็เก็บของปิดร้านแล้วยายก็ทำธุระส่วนตัว ทำบัญชีบ้างตามประสา กินข้าว อาบน้ำ ดูข่าว แล้วเข้านอนวันรุ่งขึ้นก็ทำแบบเดิม ไม่มีวันหยุดนอกจากเทศกาลสำคัญๆ คุณยายยุ่งทุกวันแต่ดูมีความสุขในทุกวัน
ส่วนลูกค้าในร้านของคุณยายนั้น ก็เป็นความทรงจำของผมเช่นกันครับ (*´-`).。o○
แน่นอนว่าทุกวันที่ผมนั่งเล่นเกมกับลูกพี่ลูกน้องของผมข้างๆ ร้านของยาย ผมก็จะได้ยินผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงเหล้ารอบตัวผมก็ส่งเสียงหัวเราะและดูจะแซวกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผมเห็นทุกวัน ข้างๆ ประตูเลื่อนของห้องเสื่อทาทามิและห้องที่ลูกค้านั่งกินเหล้ากันก็จะมีหมากรุกญี่ปุ่นอยู่ซึ่งคุณลุงนักดื่มทั้งหลาย มักจะชวนผมไปเล่นด้วยและสอนผม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้วเค้าก็สอนหลายๆ อย่าง คือในมุมมองที่ผมเป็นเด็กผมก็เห็นแล้วรู้สึกว่าแต่ละคนนี่ช่างมีความสนุกสนานกันจัง ส่วนใหญ่ก็ลุงนักดื่มลูกค้าร้านคุณยายผมก็จะเป็นพวกช่าง พวกทำงานแรงงานต่างๆ นะครับก็จะเป็นคนที่เรียนจบประถมบ้าง มัธยมบ้าง ทำงานตามโรงงานหรืองานก่อสร้างในเมืองแล้วก็เลิกงานกัน 4- 5 โมงเย็นก็มานั่งดื่มกันต่อดูแล้วมีความสุขกันมาก
มีลุงคนหนึ่ง ซึ่งผมและน้องสาวผมจะตั้งชื่อเล่นให้แกว่า ลุงกบเพราะว่าหน้าเหมือนกบมาก เป็นคนตัวเล็กๆ แต่จะเป็นคนหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา ลุงกบไม่มีมือขวาก็เลยพยายามซ่อนไว้แล้วก็ทำงานโดยมีมือมือเดียว คือถ้าดูจากช่วงอายุของลุงกบแล้วถ้าแก่กว่านี้อีกซัก 20 ปีอาจจะคิดได้ว่าเกิดจากสงครามหรือเปล่าที่ทำให้แขนเหลือข้างเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามแก แต่จากอายุแกแล้วไม่น่าจะอยู่ในช่วงสงครามก็อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เกิดจากเครื่องจักรหรืออะไรหรือเปล่าแต่ก็ไม่มีใครพูดประเด็นนี้ ลุงแกก็เต็มที่กับชีวิต
ด้วยความที่แกพิการแต่แกต้องทำงานด้วย ก็อาจได้หมวดงานที่ไม่หนักอะไรมาก ทำให้แกชิลและมีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ แกทำงานเสร็จก็มาร้านคุณยายผม มันเป็นภาพที่เป็นความทรงจำที่สนุกสนานอย่างหนึ่งของคนสมัยยุคโชวะตอนปลายอย่างผม ถ้าถามว่าคนสมัยนั้นเฮฮากันอย่างไร ก็คงคล้ายๆ ฉากในหนังเรื่อง Always กระมัง
ลุงคนต่อไปผมเรียกว่าลุงม้า คือถ้าจะถามว่าใครมาบ่อยที่สุดก็คงเป็นลุงม้านี่แหละครับ เป็นลูกค้าประจำของร้านคุณยายเลย ลุงม้าแกมาแทบทุกวัน แล้วลุงม้าก็เอ็นดูผมมาก มาทีไรก็รูปหัวผมเป็นลูกหมา แล้วก็แปลกมาก ผมก็มักบังเอิญเจอกับคุณลุงม้าตามที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่ในร้านยายอยู่บ่อยๆ อย่างตอนที่ผมและเพื่อนๆ ไปเดินเล่นตามภูเขากันแล้วรู้สึกเหนื่อย อยากจะหาที่พักและอยากโบกรถกลับบ้าน อยู่ดีๆ ก็มีรถของคุณลุงม้าขับมาทางนั้น ก็รับผมกลับไปส่งบ้าน หรือตอนที่ผมกำลังไปเดินเล่นตามริมแม่น้ำก็ดันไปเจอลุงมาม้านั่งตกปลาอยู่ แกก็ชวนผมไปตกปลาด้วยและสอนหลายอย่าง และบรรดาลุงๆ คอเหล้าทั้งหลายนี่แหละที่สอนผมหลายๆ อย่าง สอนเล่นหมากรุกญี่ปุ่น โดยเฉพาะลุงม้าแกเซี่ยนตัวจริง เก่งมากๆ ผมไม่เคยชนะแกได้เลย ไว้จะมาเล่าเรื่องลุงม้ากับหมากรุกญี่ปุ่น หรือ โชงิ (将棋shōgi) ในโอกาสต่อไปครับ
บ้านผมอยู่ในเมืองชนบทของญี่ปุ่น รอบๆ บ้านจะเต็มไปด้วยทุ่งนา ป่าไม้ และภูเขา บ้านแต่ละหลังค่อนข้างตั้งอยู่ห่างกัน อาจจะเดินทางไปมาหาสู่กันโดยรถจักรยานบ้าง หรือถ้าไกลหน่อยก็ใช้รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ยังไม่เพียบพร้อมมาก แต่ก็แปลกที่อยู่กันได้อย่างสุขใจและปลอดภัย แม้แต่ชาวบ้านในชุมชนหรือลูกค้าที่ร้านของคุณยายเองที่ส่วนใหญ่เป็นช่างและทำงานประเภทใช้แรงงาน แต่พวกเขาก็อยู่รอดกันได้อย่างเบิกบาน แม้แต่ลุงช่างทาสีที่ดูเหมือนฐานะยากจนแต่แกก็มากินเหล้าที่ร้านยายบ่อยๆ มาสังสรรค์และพูดคุยกับลูกค้าคนอื่นๆ จนเหมือนเป็นเพื่อนที่ต้องเจอกันทุกวัน แกก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ในบรรดาลุงๆ ลูกค้าร้านเหล้าของคุณยายทั้งหลายที่ผมรู้จักทุกคนดูสนุกสนานและเต็มที่กับชีวิตมาก โดยเฉพาะลุงม้า ที่ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่เก่งมาก ฉลาดและมีความยอดเยี่ยมในตัวเอง แล้วลองมองดูสมัยนี้ที่มีความศิวิไลซ์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพียบพร้อมไปหมด มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่เข้าถึงและครอบคลุม มีการเดินทางที่ง่ายและสะดวกสบาย แต่สังคมมักบ่นว่ามีความเคร่งเครียด มีคดีแปลกๆ ที่ไม่น่าเกิดขึ้นมากมาย อยากรู้ว่าจริงๆ สมัยก่อนคนมีความสุขมากกว่านี้ใช่ไหม วันนี้เล่าสู่กันฟังครับ สวัสดีครับ