ญี่ปุ่นกำลังศึกษาการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิดเข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน รวมทั้งความเป็นไปได้ในการใช้วัคซีนที่ต่างชนิดกัน
หลายประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว หลังมีผลการศึกษาพบว่าระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลงหลังได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มราว 6 เดือน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ระดับภูมิคุ้มกันอาจลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสของญี่ปุ่นให้ความเห็นว่า วัคซีนที่ใช้ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะมีประสิทธิผลลดลงตามระยะเวลา เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็มีประสิทธิผลจะลดลงเช่นกันทำให้ต้องฉีดวัคซีนกันทุกปี ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในช่วงเวลาราว 6 เดือนหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2
บรรดาผู้ผลิตวัคซีนได้ทดลองเพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 บริษัทไฟเซอร์ได้เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกของตนเมื่อ 28 กรกฎาคม โดยระบุว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ทำให้ระดับสารภูมิต้านทานไวรัสสายพันธุ์เดลตาเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากระดับที่ได้หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มคนอายุระหว่าง 18 ถึง 55 ปี ส่วนกลุ่มคนอายุระหว่าง 65 ถึง 85 ปี ระดับของสารภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น 11 เท่า
ส่วนโมเดอร์นาได้เผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีน และการพัฒนาวัคซีนใหม่สำหรับไวรัสชนิดกลายพันธุ์เมื่อ
5 สิงหาคม ระะบุว่า อาจจำเป็นต้องให้วัคซีนเข็มที่ 3เพราะไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ ติดต่อกันได้ง่ายมาก
โมเดอร์นาระบุว่า วัคซีนของตนมีประสิทธิผลคงอยู่ยาวนานร้อยละ 93 ในช่วง 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มที่ 2 แต่คาดว่าประสิทธิผลลดลงตามระยะเวลา การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอาจจำเป็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากบริษัทผลิตวัคซีนเพียงฝ่ายเดียว จำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลนี้อย่างรอบคอบว่าต้องให้วัคซีนเข็มกระตุ้นกับประชาชนกลุ่มใดบ้าง และต้องให้เมื่อไหร่
ขณะนี้ประชาชนในได้รับวัคซีนโควิดให้ครบ 2 เข็มแล้ว 52.1% ส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปได้รับงวัคซีนครบโดสแล้วถึง 88.2% รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือให้ประชาชนทุกคนที่ต้องการได้รับวัคซีนครบถ้วนภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและเด็กที่ขณะนี้มีสัดส่วนการติดเชื้อสูงมาก และคาดว่ากลุ่มผู้สูงอายุและบุคลากรทางการแพทย์ในญี่ปุ่นจะได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ในราวต้นปีหน้า
ไขว้วัคซีน เตรียมรับ “โนวาแวกซ์”
ญี่ปุ่นยังกำลังศึกษาการฉีดวัคซีนต่างชนิดกันทั้งเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 นายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องวัคซีนระบุว่า มีความเป็นได้ที่ผู้ที่ได้รับวัคซีน “แอสตราเซเนกา” เข็มแรกจะฉีดวัคซีน “ไฟเซอร์” หรือ “โมเดอร์นา” เป็นเข็มที่ 2 เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และเร่งการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินในนำวัคซีน “แอสตราเซเนกา” ออกมาใช้กับประชาชนในเดือนสิงหาคม แต่ใช้ในกลุ่มที่จำกัด คือ อายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่แพ้วัคซีน mRNA
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้วัคซีนเข็มที่ 3 ที่ต่างชนิดกัน ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นระบุว่า ไม่มีกฎตายตัวว่าวัคซีนเข็มที่ 3 ควรเป็นวัคซีนชนิดเดียวกันกับเข็มแรกและเข็มที่ 2 โดยการฉีดวัคซีนไขว้ระหว่างไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากเป็นวัคซีน mRNA ทั้งคู่ แต่การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ต่างออกไปจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การไขว้ชนิดวัคซีนควรพิจารณาทั้งวัคซีนที่มีอยู่ และวัคซีนใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา
รัฐบาลญี่ปุ่นได้สั่งจองวัคซีนโมเดอนาเพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดส และวัคซีนโนวาแวกซ์ 150 ล้านโดส โดยจะส่งมอบในต้นปีหน้า
โนวาแวกซ์ เป็นวัคซีนที่ผลิตจากการตัดต่อโปรตีน (recombinant protein vaccine) ซึ่งในญี่ปุ่นยังไม่มีการใช้วัคซีนประเภทนี้ แต่มีผลการศึกษาชี้ว่าวัคซีนประเภทนี้มีผลข้างเคียงน้อย มีความปลอดภัยมาก เหมาะกับการใช้ในเด็กและผู้สูงอายุ.