xs
xsm
sm
md
lg

"สัมผัสทางกาย" สำคัญไฉน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก AFP
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติมองว่า คนญี่ปุ่นนั้นมีการสัมผัสตัวกันน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ กระทั่งในเอเชียด้วยกันเอง ทั้งที่จริงแล้วมีการศึกษาพบว่าสัมผัสทางกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกอดนั้น มีส่วนทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีกับคนทุกวัยเลยทีเดียว

คนญี่ปุ่นไม่นิยมสัมผัสตัวกัน

แม้คนญี่ปุ่นจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดากับการแช่น้ำร้อนร่วมกับผู้อื่น หรือเบียดเสียดแออัดกันเป็นปลากระป๋องบนรถไฟตอนเช้าร่วมกับคนแปลกหน้า แต่ในยามปกติแล้วคนญี่ปุ่นจะไม่นิยมแตะต้องตัวกันเท่าไหร่นัก ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายแล้วอาจยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษหากจะไปโดนตัวผู้หญิง เพราะยุคนี้อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการคุกคามทางเพศได้ง่าย ๆ

ถ้าจะมีใครจูงมือให้เห็นก็มักเป็นคู่รักกัน หรือไม่ก็พ่อแม่กับลูกเล็ก ๆ ส่วนการกอดนั้นแทบไม่เคยเห็นเลย ถึงจะมีก็มักเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมต่างชาติที่กอดทักทายเพื่อนต่างชาติ แต่ระหว่างคนญี่ปุ่นกันเองโดยทั่วไปจะไม่ค่อยทำ พ่อหรือแม่กับลูกเล็ก ๆ หรือแฟนหรือสามีภรรยาอาจมีกอดกันบ้าง แต่ก็มักไม่ใช่ในที่สาธารณะอยู่ดี

สาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเล่าว่าเพื่อนชาวต่างชาติตกใจมากเมื่อทราบว่า ตอนเธอจากครอบครัวมาเรียนต่อที่อเมริกานั้น ไม่ได้กอดกับครอบครัวซึ่งมาส่งที่สนามบิน เพื่อนบอกว่า “ต้องจากครอบครัวไปนาน ๆ แบบนี้ทำไมไม่กอดกันล่ะ? เหงาออก!” ในขณะเดียวกันสาวญี่ปุ่นคนนี้ก็ช็อคพอดู เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมโรงเรียนที่อเมริกากอดกันวันละหลายหน หรือเพื่อนหญิงชายก็กอดกันได้ด้วย


ในขณะเดียวกันเกาหลีใต้ซึ่งอยู่ใกล้ญี่ปุ่นดูเหมือนจะสัมผัสทางกายมากกว่า และแสดงออกแม้ในที่สาธารณะด้วย ทั้งการแสดงความรักระหว่างคู่รัก การจูงมือกันในหมู่เพื่อนผู้หญิง เพื่อนชายโอบไหล่กัน พ่อแม่ลูกจูงมือกัน คนจีนหรือไต้หวันหลายคนที่ฉันรู้จักก็มักทักทายด้วยการกอด คนไทยที่กอดกันหรือสาว ๆ จูงมือกันก็มีให้เห็น ฉันกับน้องก็จูงมือพ่อแม่เวลาเดินข้างนอกด้วยกัน

คนรู้จักฉันเคยเปรยว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยกอดลูก ทำให้ฉันนึกไปถึงซีรี่ยส์ Queer Eye: We’re in Japan! ซึ่งมีหนุ่มฝรั่งห้าคนเป็นผู้ดำเนินรายการ พวกเขาช่วยเสริมความมั่นใจในตัวเองให้แก่ผู้เข้าร่วมรายการในแต่ละตอน โดยมีการแปลงโฉมผู้เข้าร่วมรายการและที่อยู่อาศัย รวมทั้งพูดคุยเปิดอกผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจตัวเอง เห็นสิ่งดีที่ตัวเองมี

มีอยู่ตอนหนึ่งผู้เข้าร่วมรายการเป็นสาววัยยี่สิบเศษซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับแม่และน้อง ผู้ดำเนินรายการสังเกตว่าแม่เธอเข้มงวดและไม่พอใจลูกสาวคนนี้ในหลาย ๆ เรื่อง ส่วนลูกก็ขาดความมั่นใจในตัวเองและเก็บความเหงาไว้ในใจมากมาย วันหนึ่งถามคุณแม่ว่าบอกรักลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เธอก็บอกว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นไม่บอกรัก กอด หรือจูบลูกหรอก แม้ว่าเธออยากจะทำ ก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ ฝ่ายลูกสาวทำหน้าไม่เชื่อ แต่ทั้งคู่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะแสดงภาษากายแบบนั้นโดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่สาธารณะ

จริงอยู่ที่ญี่ปุ่นไม่ได้มีวัฒนธรรมบอกรักหรือกอดกันบ่อย ๆ เหมือนคนตะวันตก อีกทั้งคนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาและไม่พูดอะไรตรง ๆ จึงอาจไม่แปลกที่คนญี่ปุ่นเลยพลอยไม่แสดงความรักให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือภาษากายก็ตาม การที่แม่ลูกคู่นี้ดูห่างเหินและลูกดูขาดความอบอุ่น ส่วนหนึ่งก็คงมาจากขาดการสื่อสารที่ดีในครอบครัวนี่เอง


สัมผัสทางกายดีอย่างไร?

มีการศึกษามากมายที่พบว่าสัมผัสทางกายส่งผลดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ว่ากันว่าแม้เพียงการจับมือทักทายก็กระตุ้นสมองให้เกิดความประทับใจในด้านดี เพิ่มความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ความผูกพัน และความสนใจกันและกันได้แล้ว นอกจากนี้การสัมผัสกายยังมีผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย เช่น ลดความรุนแรง สร้างความไว้ใจ กระตุ้นความสามัคคี ลดอาการเจ็บป่วย เพิ่มภูมิต้านทาน พัฒนาการเรียนรู้ เป็นต้น คนที่นิยมการกอดยังมีโอกาสเป็นหวัดน้อยกว่า หรือเป็นแล้วหายเร็วกว่า และยังรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าด้วย

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า การสัมผัสกายกระตุ้นการสร้าง ฮอร์โมนออกซิโทซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความรัก กระทั่งในวงการแพทย์ก็ยังเล็งเห็นคุณค่าของการสัมผัสผู้ป่วย เพราะมีส่วนช่วยลดความเจ็บปวดและสร้างความอุ่นใจแก่ผู้ป่วยได้

คงจะจริงดังว่า ฉันเคยไปเยี่ยมพี่คนหนึ่งที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอดูอิดโรยและผอมลงมาก ฉันอยากส่งความรู้สึกดี ๆ ให้เธอแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยขอจับมือ จากนั้นพอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเธอยิ้มให้อย่างสว่างสดใสเบิกบาน ความซีดเซียวที่เห็นตอนแรกหายไปครู่ใหญ่ทีเดียว น้องคนหนึ่งที่เป็นพยาบาลก็เคยเล่าให้ฟังเช่นกันว่าเธอมักจะจับมือคนไข้เพื่อให้กำลังใจ ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่เสมอ


เด็กฉลาดและสุขภาพดีเพราะกอดบ่อย

ที่ญี่ปุ่นมีการสำรวจกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียว (มหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุดในญี่ปุ่น) เกือบสองร้อยคนเกี่ยวกับชีวิตวัยประถม พบว่าร้อยละ 90 ของคนกลุ่มนี้มีพ่อแม่ที่รับฟังเขา ซึ่งอาจารย์ด้านการแพทย์คนหนึ่งอธิบายว่ามันสื่อให้เห็นถึงการสื่อสารที่ดีในครอบครัว ส่งผลให้ครอบครัวมีความอบอุ่น และเด็กก็มีสุขภาพจิตดี อยู่บ้านก็มีความสุข มีสมาธิในการเรียน และสนใจใฝ่หาความรู้ด้วยตัวเอง

อาจารย์ท่านนี้จึงแนะนำให้พ่อแม่กอดลูกมาก ๆ โดยเฉพาะลูกที่ยังไม่เข้าวัยประถม เพราะมันเป็นการแสดงออกถึงความรักและส่งเสริมให้เกิดการสื่อสารที่ดี การกอดลูกไม่ได้ทำให้ลูกเอาแต่ใจอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นการทำให้ลูกได้รับความรักเป็นพลัง ทำให้สุขภาพจิตเขามั่นคง และเป็นไปได้มากที่จะทำให้เด็กสมาธิดีขึ้นและมีความใฝ่รู้มากขึ้น อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของเด็กฉลาด

อาจารย์ด้านสมองอีกท่านก็กล่าวเช่นเดียวกันว่า เด็กที่ถูกกอดบ่อยจะเติบโตมาฉลาดกว่า มีความนับถือตัวเองสูงกว่า และแข็งแรงกว่า การกอดจึงส่งเสริมการพัฒนาทั้งสมองและจิตใจของเด็ก ไม่เพียงเท่านั้น การกอดยังกระตุ้นฮอร์โมนออกซิโทซินให้เกิดขึ้นทั้งฝ่ายคนกอดและฝ่ายที่ถูกกอด ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสุข ลดความกังวลและความเครียด ทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง อีกทั้งยังเสริมภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้ติดโรคได้ยากขึ้น และช่วยให้นอนหลับดีด้วย


กอดกันเป็นสุข

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนฝรั่งนิยม “free hug” (กอดฟรี) กัน คือใครอยากอาสาก็จะถือหรือแขวนป้ายเขียนว่า “free hug” แล้วไปยืนอยู่ในที่สาธารณะเพื่อให้คนแปลกหน้าเดินเข้ามารับกอดของพวกเขา เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อสร้างความรู้สึกดีให้คนอื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทน


ตอนฉันอยู่ญี่ปุ่น ครั้งหนึ่งระหว่างทางกลับบ้านเจอคนฝรั่งแขวนป้าย “free hug” ที่ว่านี้อยู่ในสวนสาธารณะ ช่วงนั้นฉันมีเรื่องทุกข์ใจอยู่พอดี ก็เลยเดินอ้าแขนเข้าไปหา แม้จะเป็นคนแปลกหน้าแต่อ้อมกอดของเขาอ่อนโยนจนฉันน้ำตาคลอ ฉันขอบคุณเขาและบอกเขาว่ามันมีความหมายสำหรับฉันมาก วันนั้นเลยพกความอบอุ่นใจกลับบ้านเพราะน้ำใจของเขาแท้ ๆ เลย

โดยส่วนตัวแล้วครอบครัวฉันที่เมืองไทย และเพื่อนคนไทยหลายคนก็นิยมการกอดเช่นกัน ฉันว่ามันสร้างความรู้สึกดี ๆ และความรู้สึกอบอุ่นใจให้กันดีนะคะ ยิ่งฉันได้กลับไทยปีละแค่ครั้งสองครั้ง การกอดเลยยิ่งมีความหมายเป็นพิเศษ หรือบางทีเจอเพื่อนต่างชาติที่ไม่ได้เจอกันหลายปีนี่จะดีใจจนวิ่งตัวปลิวเข้าไปกอดแน่นทีเดียว

ฉันเชื่อว่านอกจากมนุษย์แล้ว สัตว์บางชนิดหรือบางตัวก็ชอบสัมผัสทางกายด้วยเช่นกัน อย่างสุนัขหรือแมวที่ฉันเลี้ยงไว้จะดีใจมากเวลาถูกลูบศีรษะหรือถูกอุ้ม ยิ่งแมวนี่คือเดินมาเรียกให้อุ้มเลยค่ะ ถ้าไม่อุ้มเธอก็จะนั่งรอและร้องเมี้ยว ๆ เป็นระยะจนกว่าจะได้รับความสนใจ ถ้าอุ้มและกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเธอสักพัก เธอก็จะส่งเสียงในลำคออย่างมีความสุข พอปล่อยตัว เธอก็จะไปนอนเลียขนอย่างสบายอกสบายใจ

ภาพจาก https://www.npr.org
ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงแต่สัตว์ป่าก็เช่นกัน หลายปีก่อนมีข่าวสิงโตตัวหนึ่งในศูนย์พิทักษ์สัตว์ ที่พอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมาเรียกที่ลูกกรง สิงโตก็ยกสองขาหน้าขึ้นและคว้าตัวเธอมากอดแน่นอย่างรักใคร่ คือก่อนหน้านี้เธอเจอสิงโตดังกล่าวซึ่งถูกทารุณกรรมและผ่ายผอมเพราะขาดสารอาหาร จากการถูกนำไปใช้แสดงในคณะละครเร่ เธอเลยช่วยไว้และเลี้ยงดูอยู่หลายปี เธอบอกว่าแม้จะเป็นสิงโตแต่ก็มีความเป็นมนุษย์ และการกอดของสิงโตตัวนี้ก็เป็นความจริงใจที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับมาเลยทีเดียว

สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเชื่อว่าสัตว์เองก็เข้าใจและรับรู้ความหมายผ่านการสัมผัสกาย รวมทั้งต้องการความรักแบบเดียวกับที่มนุษย์ต้องการ และเนื่องจากมนุษย์และสัตว์คุยกันคนละภาษา สัมผัสทางกายจึงอาจจะเป็นหนึ่งในการสื่อสารที่ดีที่สุดระหว่างกันก็ได้


โดยสรุปแล้วสัมผัสทางกายเป็นเรื่องสำคัญและทรงพลังกว่าที่คิดมากเลยนะคะ เพื่อนฉันคนหนึ่งขอกอดลูกทุกวันเพื่อเติมพลัง และส่งกอดมาให้ฉันผ่านมือถือด้วย เธอบอกว่าช่วงนี้เครียดกันไปหมดเลยพยายามให้กำลังใจกันไว้ ฉันก็เลยคิดว่าหากคนไหนไม่ได้ติดปัญหาเรื่องโควิด การกอดคนใกล้ตัวหรืออย่างน้อยจับมือให้กำลังใจกัน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เติมพลังใจให้กันได้ไม่น้อยเลย (แล้วอย่าลืมล้างมือถูสบู่ด้วยนะคะ)

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"  เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Onlineทุกวันอาทิตย์. 


กำลังโหลดความคิดเห็น