สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว เพื่อนๆ ชอบเล่นกีฬาหรือดูกีฬาไหมครับ ผมอ่านบทความจากคอลัมน์หนึ่งมีบทสัมภาษณ์นักฟุตบอลคนหนึ่งที่กำลังฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อการแข่งขันในเจลีก (J-League) ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเจลีกของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 3 ดิวิชั่น คือ เจลีกดิวิชั่น 1 เป็นลีกระดับสูงสุดของฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศ, เจลีกดิวิชั่น 2 และ เจลีกดิวิชั่น 3 ปกติกีฬาฟุตบอลหรือเบสบอลที่ญี่ปุ่นจะเน้นฝึกซ้อมโดยใช้เวลาไม่นานต่อวัน อาจจะวันละ 1-2 ชั่วโมงแต่ต้องต่อเนื่องทุกวัน เพื่อปรับสมดุลร่างกาย ไม่หักโหมร่างกายจนเกินไปและไม่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บหนักจากการฝึกซ้อม ในบทสัมภาษณ์บอกว่านักฟุตบอลคนที่สัมภาษณ์นั้นเกิดในเดือนมีนาคมที่ถือว่าเป็นเด็กน้อยที่เกิดเดือนสุดท้ายของเพื่อนในรุ่นที่เรียนระดับเดียวกัน
ซึ่งระบบการศึกษาพื้นฐานของโรงเรียนรัฐบาล ของประเทศญี่ปุ่น จะเปิดเรียนเทอมแรกวันที่ 1 เมษายน นักเรียนที่จะเข้าเรียนในปีการศึกษาของชั้นปีนั้นๆ จะเริ่มต้นนับตั้งแต่คนที่เกิดวันที่ 2 เมษายน ไปจนถึงคนที่เกิดวันที่ 1 เมษายนของปีถัดไป ( เช่น 2 เมษายน พ.ศ. 2564 - 1 เมษายน พ. ศ. 2565 ) คนที่อยู่ในรอบเดียวกันนี้จะได้เรียนระดับชั้นเดียวกัน นั่นหมายถึงคนที่เกิดหัวปีของระบบการศึกษามีช่วงอายุต่างจากคนที่เกิดท้ายปีของระบบการศึกษาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี เด็กที่เกิดช่วงต้นปี หรือราวๆ เดือนเมษายน พฤษภาคม ค่อนข้างจะมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและสมองที่เจริญกว่าน้องเล็กท้ายปี อาจจะไม่มากแต่ก็มีความแตกต่าง และเมื่ออายุ 9 ขวบ 10 ขวบ เด็กๆ จะเริ่มเข้าฝึกกิจกรรมและเข้าทีมกีฬาต่างๆ ของโรงเรียน แน่นอนว่าอาจารย์หรือรุ่นพี่ก็ต้องเล็งเด็กๆ ที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน มีพัฒนาการเด่นกว่าเพื่อนและเริ่มให้การฝึกฝนเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อไป เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเด็กๆ ที่เกิดต้นปีของระบบการศึกษาจึงได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวจริงในการแข่งกีฬาต่างๆ จำนวนมากกว่าเด็กๆ ที่เกิดท้ายปีการศึกษาที่ตัวเล็กกว่า มีพัฒนาการน้อยกว่า หรือช้ากว่าเด็กต้นปี
มาดูกันว่าผู้เล่นฟุตบอลมืออาชีพในเจลีก ตั้งแต่ J1 -J3 ไม่รวมนักฟุตบอลต่างชาติ เกิดเดือนอะไรจำนวนมากและน้อยที่สุด ตามการจัดอันดับในคอลัมน์สัมภาษณ์ได้ผลออกมาดังนี้ครับ
■การจัดอันดับเดือนเกิด (ปัจจุบันเป็นของผู้เล่น J1 ถึง J3) ยกเว้นผู้เล่นต่างชาติ)
อันดับ 1 เดือนพฤษภาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 178 คน
อันดับ 2 เดือนกรกฏาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 178 คน
อันดับ 3 เดือนเมษายน มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 176 คน
อันดับ 4 เดือนกันยายน มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 154 คน
อันดับ 5 เดือนมิถุนายน มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 152 คน
อันดับ 6 เดือนสิงหาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 148 คน
อันดับ 7 เดือนตุลาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 117 คน
อันดับ 8 เดือนพฤศจิกายน มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 107 คน
อันดับ 9 เดือนธันวาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 105 คน
อันดับ 10 เดือนกุมภาพันธ์ มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 78 คน
อันดับ 11 เดือนมกราคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 77 คน
อันดับ 12 เดือนมีนาคม มีคนเกิดเดือนนี้จำนวน 71 คน
สามารถกล่าวได้ว่ามีจํานวนผู้เล่นที่เกิดระหว่างเดือนมกราคมและมีนาคมน้อยที่สุด ในทางตรงกันข้ามผู้เล่นส่วนใหญ่เกิดพฤษภาคมและกรกฎาคม จากบทสัมภาษณ์ข้างต้นที่ผู้เขียนจำได้ว่านักบอลท่านนั้นเกิดเดือนมีนาคม ซึ่งถือว่าเป็นน้องเล็กตัวจิ๋วในรุ่นแต่ทำไมสามารถฝ่าฝันอุปสรรคขึ้นมาได้ จากสมัยที่เป็นเด็กเล็กเขามีความยากลำบากเพราะขนาดตัวเล็กมีความแตกต่างจากเพื่อนที่เกิดต้นปี นักฟุตบอลเผยว่า "เป็นความจริงว่าผมเกิดในเดือนมีนาคม ตัวเล็กกว่าเพื่อนแต่ผมแข็งแกร่งขึ้นจากความทุกข์ และความกดดันต่างๆ ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่ใหญ่กว่า” เขากล่าว และจะเห็นว่ายังมีผู้เล่นอีกหลายคน เช่น Kazuyoshi Miura คาซึโยชิ มิอุระ เป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ เขาเป็นกองหน้าระดับตำนานของ โยโกฮาม่า เอฟซี ปัจจุบันเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ J-League ยังเล่นใน J1 แม้จะมีอายุ 54 ปีแล้วก็ตาม แถมมีสถิติการยิงประตูที่โดดเด่นอีกด้วย หรือคนอื่นๆ ที่เกิดในเดือนมกราคมและมีนาคม แต่เป็นตัวเด่นในแนวหน้า จากบทสัมภาษณ์จึงเห็นได้ว่าผู้เล่นที่เกิดท้ายปีของรุ่นการศึกษาก็อาจมีแรงจูงใจมากขึ้นจากอุปสรรคและความทุกข์ยากต่างๆ ด้วยความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่สร้างขึ้นมาช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้ในที่สุด
พูดถึงเรื่องการศึกษาแล้วขอเล่าต่อเรื่องระบบการศึกษาอีกหน่อยครับ เมื่อผ่านชั้นประถมศึกษามาแล้ว เด็กๆ จะเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ทุกคนยังเรียนพื้นฐานเดียวกัน เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนจะต้องเลือกแผนการเรียนว่าจะเรียนสายวิทยาศาสตร์ หรือสายศิลปศาสตร์ โดยสายวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กๆ ที่สนใจเรียนต่อทางแพทย์ศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ส่วนศิลปศาสตร์สำหรับเด็กๆ ที่สนใจเรียนต่อด้านนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ และอื่นๆ ตามปกติแล้วสายวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างเรียนหนักกว่าสายศิลปศาตร์ เพราะนอกจากวิชาพื้นฐานแล้วต้องเน้นหนักไปทางด้านวิชาคณิตศาสตร์ที่เข้มข้น และวิทยาศาสต์ที่รวมวิชาฟิสิกส์เคมี ที่มีเนื้อหารายละเอียดเนื้อหาลึกกว่าตอนมัธยมศึกษาตอนต้น ส่วนสายศิลป์ก็ไม่ต้องเรียน วิชาฟิสิกส์ เคมี และมีให้เลือกเรียนชีววิทยาและไม่เรียน แต่จะเป็นประเด็นขึ้นมาตรงที่คนที่เลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์บางคนไม่ได้มีการเรียนวิชาชีวะวิทยา แต่ว่าในการเรียนแพทย์ในระดับมหาวิทยาลัยมีวิชาเรียนชีวะวิทยาซึ่งระบบการศึกษาของญี่ปุ่นนี้ก็แปลกๆ อยู่เหมือนกันนะครับ
ช่วงนี้ยังคงเป็นช่วงที่แต่ละประเทศยังใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นักศึกษาที่เรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัยปี 1 และปี 2 ค่อนข้างน่าสงสารมาก ปกติช่วงมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 นี่เรียกได้ว่าเป็นช่วงหาแฟนเลยครับ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยนี่แหละคือช่วงเวลาทองที่จะมองหาแฟนและคนที่เหมาะสม ถ้าไม่รีบหาแฟนในช่วงนี้ก็หายากแล้ว ยิ่งตอนทำงานยิ่งเป็นไปได้ยาก แม้ว่าสาวๆ บางคนเลือกเรียนทางศิลปศาตร์ เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็เรียนทางศิลปกรรม วรรณคดี บางคณะแทบไม่มีชายหนุ่มแต่ก็จะหาเวลาเข้าชมรมและทำกิจกรรมต่างๆ นักศึกษาช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละถือว่าเป็นช่วงที่กำลังเนื้อหอม เป็นช่วงชีวิตที่สำคัญอีกช่วงหนึ่ง แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้กลายเป็นว่านักศึกษาต้องเรียนด้วยระบบออนไลน์ ออกไปพบปะกันไม่ได้ ก็เลยเป็นชีวิตที่น่าสงสาร ลองดูความคิดเห็นของเด็กนักศึกษาว่าทำไมช่วงมหาวิทยาลัยจึงเป็นช่วงวัยอิสระที่ทุกคนรอคอย
●ช่วงมหาวิทยาลัยปีที่ 1 และ 2 เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเด็กมัธยมจากหลายๆ ที่ หลายจังหวัด ได้มีโอกาสพบปะกับผู้คนจํานวนมาก เรียกได้ว่าขยายสังคมให้กว้างขึ้น มีการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมต่างๆ เช่น แคมป์ หรือกีฬา หลายคนเล่นเทนนิส ฟุตบอล และเบสบอล (นักเรียนสาว ชั้นปีที่ 2 โตเกียว)
●เพราะว่าเป็นช่วงวัยที่มีเงินของตัวเอง และมีเวลา ทำให้สามารถออกเดทได้มากขึ้น ถ้าเราปรับเวลาการเข้าเรียน ก็สามารถออกเดทในวันธรรมดาได้ หรือหากลงวิชาเรียนก่อนหรือหลังพักกลางวัน ก็ปรับช่วงเวลาอาหารเอง สามารถออกไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันได้ (หนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จังหวัดชิบะ)
●ออกเดทได้อิสระมากขึ้นเพราะทำงานพาร์ทไทม์ได้เอง พ่อแม่ก็ให้อิสระมากขึ้น สามารถเดินทางไปสถานที่ที่หรูหราได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยตอนเรียนโรงเรียนมัธยม! (หนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จังหวัดชิบะ)
●สามารถขับรถออกไปเที่ยวไกลๆ ตั้งเตาปิ้งย่างริมทะเลได้เอง ขอบเขตของการนัดหมายเดทกว้างขึ้น (หนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จังหวัดไอจิ)
●เนื่องจากไม่ต้องใส่เครื่องแบบนักเรียน ทำให้สามารถออกเดทได้เลยช่วงเย็นหลังเลิกเรียน (สาวนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จังหวัดไซตามะ)
ส่วนเด็กมหาวิทยาลัยช่วงชั้นปี 3-4 อีกช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตคนญี่ปุ่นที่จะต้องหางานให้ได้ ในชีวิตของคนญี่ปุ่นก็มีแค่ช่วงนี้เท่านั้นที่ต้องหางานอย่างจริงจัง ก็เป็นช่วงวัยที่น่าสงสารเช่นกัน เพราะตอนนี้จากสถานการณ์การของโรคโควิด-19 ที่ยังระบาดอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่างๆ พยายามรัดเข็มขัด บ้างก็ไม่มีงบประมาณหาแรงงานใหม่ๆ ต่างก็มีปัญหาเศรษฐกิจ นักศึกษาจะเข้าไปหางานสมัครงานต่างๆ ยากมาก เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างโหดร้ายและยากลำบากมาก
ประเด็นเรื่องเกิดเดือนสามเดือนสี่นี้ ไม่ใช่ว่าใครเกิดเดือนไหนจะเก่งกว่าใคร แต่แน่นอนว่าในระดับของชั้นเรียนเดียวกันคนที่เกิดเดือนสี่มีพัฒนาการของช่วงวัยมากกว่า บางคนโชคชะตาให้เกิดห่างกันแค่วันเดียวเช่น เกิดวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2564 ก็จะเป็นเด็กหัวปีของรุ่น ส่วนเด็กที่เกิดวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564 ( เกิดห่างกันแค่วันเดียว ) แต่เด็กคนนี้ต้องเรียนคนละชั้น กลายเป็นเด็กท้ายปีของอีกรุ่นไป มันเริ่มต้นจากโชคชะตาและโอกาสแรกที่คนเราจะได้รับใช่ไหม เมื่อได้รับโอกาสแล้ว โค้ชผู้ฝึกสอนจะให้การฝึกซ้อม สอนเทคนิคให้ ชื่นชมหรือกระตุ้นกำลังใจช่วยสร้างความเชื่อมั่นและปลูกฝังให้บุคคลดึงศักยภาพตนเองออกมา เมื่อคนๆ นั้นมีกำลังใจ รู้เทคนิคแนวทางก็สามารถสร้างพลังใจในการต่อสู้และพัฒนาตนเองให้เก่งและแข็งแกร่งขึ้นต่อไป แม้แต่เด็กตัวน้อยที่เกิดท้ายปี ถ้าได้รับโอกาสแรกเขาก็พัฒนาได้ดีเช่นกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเกิดเดือนสี่เดือนห้าจะเก่งกว่าใคร แต่หมายถึงว่าใครคือผู้ที่จะได้รับโอกาสต่างหาก ถ้าลองคิดดูแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าชีวิตคนเรามันคือความสามารถ ความพยายามหรือมีเรื่องชะตาชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันแน่ อาจไม่สามารถตอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ สวัสดีครับ