xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมคนญี่ปุ่นชอบอาบน้ำอุ่นตลอดปี และโค้งแล้วโค้งอีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน สัปดาห์ก่อนเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับคนญี่ปุ่นไปบ้างแล้ว นึกได้ว่ายังมีเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นอยู่อีก (แต่ก็อาจจะมีประเทศอื่นที่มีบางอย่างใกล้เคียงกัน) วันนี้ก็เลยมาเล่าสู่กันฟังต่อแบบสบาย ๆ นะคะ

เต็มไปด้วยของ “ออริจินอล” (original オリジナル)

คนญี่ปุ่นดูจะชอบใช้คำว่า “ออริจินอล” กันมากทีเดียว มักใช้ในความหมายว่าเป็นสิ่งที่ “คิดค้นขึ้นเอง ทำขึ้นมาเอง ไม่เหมือนใคร ไม่ซ้ำใคร” อย่างเช่น “สะสมแต้มจากร้านค้าได้แล้วเอาไปแลกเสื้อยืดออริจินอล” (เป็นเสื้อที่ไม่ซ้ำใคร มีไม่กี่ตัว) “สินค้าของร้านเราเป็นสินค้าออริจินอล” (เป็นสินค้าที่ทางร้านคิดขึ้นมาเอง) “นี่เป็นสลัดออริจินอลของผม” (เป็นสลัดสูตรที่คิดเอง ไม่ได้ลอกเลียนแบบใครมา) “เราตกลงกันว่าจะใช้ดีไซน์ออริจินอล” (ออกแบบขึ้นมาเอง) “มาทำถุงผ้าออริจินอลกันเถอะ” (ถุงผ้าที่ไม่ซ้ำใครในโลก) “โรงเรียนเราใช้หนังสือเรียนออริจินอล” (หนังสือเรียนที่โรงเรียนจัดทำเอง) เป็นต้น

“ใคร ๆ ก็ทำเสื้อยืดออริจินอลเองได้ มีตัวเดียวในโลก” ภาพจาก https://www.amazon.co.jp
สำหรับคนญี่ปุ่นเมื่อเห็นคำว่า “ออริจินอล” แล้ว คงเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ไม่จำเจ ชวนให้รู้สึกว่าของนั้นเป็นของดี แต่ก็ออกจะใช้กันพร่ำเพรื่อ บางทีความหมายก็เพี้ยนจากภาษาอังกฤษด้วย อย่างเช่น “สินค้าออริจินอล” ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษจะกลายเป็น “original product” ซึ่งชวนให้นึกถึง “สินค้าเริ่มแรก” ของบริษัทที่ยังไม่มีการดัดแปลงต่อเติมแบบสินค้ารุ่นหลัง จึงมีคนแนะนำว่าหากจะใช้ภาษาอังกฤษในความหมายว่า “เป็นของตัวเอง ไม่ซ้ำใคร” ในบางบริบทให้ใช้คำว่า “our own + คำนาม” น่าจะเหมาะกว่าคำว่า “original”

โค้งแล้วโค้งอีก

สมัยเด็ก ๆ อาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังว่า คนญี่ปุ่นนั้นมักโค้งกันไม่จบสิ้น บางทีกว่าจะร่ำลากันภายในหมู่คณะเสร็จก็โค้งกันไปหลายหน การโค้งของญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะเป็นการทักทายอย่างสุภาพแล้ว ยังใช้ในเวลาขอบคุณและขอโทษได้ด้วย ซึ่งการโค้งจะมีทั้งหมด 3 ระดับดังในรูป ระดับ 1) คือทักทายทั่วไป ระดับ 2) ใช้ในเวลาทักทายคนที่เพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ หรือใช้เวลาพนักงานส่งลูกค้า และระดับ 3) ใช้เวลาขอโทษหรือแสดงความสำนึกผิด

“ยืดหลังตรง พับเอวโดยให้เป็นแนวตรงตั้งแต่เอวไปถึงศีรษะ ห้ามผงกคออย่างเดียว”  ภาพจาก https://co-medical.mynavi.jp/
การโค้งคำนับเป็นเรื่องที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาก ดังจะเห็นได้จากเวลาเข้าห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งเปิดในตอนเช้า เวลาซื้อของเสร็จ เวลาออกจากร้านตัดผม หรือเวลาขึ้นลิฟท์ในห้างร้านที่มีพนักงานกดลิฟท์ ซึ่งพนักงานจะโค้งคำนับให้อย่างงดงาม ห้างสรรพสินค้าบางแห่งถึงกับลงทุนจ้างคนมาเพื่อโค้งให้ลูกค้าที่ทางเข้าออกห้างโดยเฉพาะ

หรือบางทีเดินผ่านตรงที่มีการก่อสร้างขวางทางสัญจร หรือมีรถกำลังจะออกจากที่จอดรถไปยังถนน ก็จะมีคนคอยโบกคอยให้ทางเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ฉันชื่นชมมาก แถมคนโบกก็จะคอยโค้งให้กับคนที่สัญจรไปมาเพื่อขออภัยที่ทำให้คนอื่นลำบาก คนเดินผ่านไปมาบางทีก็มีคนที่โค้งตอบให้คนโบกด้วยเช่นกัน เห็นแล้วก็รู้สึกดี ๆ

จัดแถลงข่าวแสดงความสำนึกผิด

ญี่ปุ่นมักจะออกข่าวอยู่บ่อยครั้งว่ามีบริษัท หน่วยงาน นักการเมือง หรือดารามาแถลงข่าวแสดงความสำนึกผิด หากได้ทำในสิ่งที่ขัดต่อจริยธรรมหรือจรรยาบรรณ หรือพลาดพลั้งทำบางอย่างผิดพลาด หรือทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย

อย่างเวลาดาราเป็นชู้ เมาแล้วก่อเรื่อง หรือมีเรื่องไม่งามเกี่ยวกับเพศตรงข้ามขึ้นมา ก็ต้องมาแถลงข่าวขอโทษขอโพยทุกฝ่ายที่เขาสร้างความเดือดร้อนให้ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสปอนเซอร์รายการของตัวเอง บริษัทสินค้าที่ตัวเองโฆษณา ภาพยนตร์/ละครที่ตัวเองเล่น และเพื่อนร่วมงาน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเสียหายจากการที่ดาราเสียภาพลักษณ์ไปด้วยด้วย ดาราหลายคนไม่ได้กลับมาในวงการบันเทิงอีกเลยก็มี

ภาพจาก https://diamond.jp
ไม่กี่วันก่อนได้ยินข่าวไฟไหม้ภายในโรงงานผลิตรถแห่งหนึ่ง ซึ่งไฟไม่ได้ลุกลามออกมาถึงด้านนอกอาคาร แต่ผู้เกี่ยวข้องของทางบริษัทก็มาออกแถลงข่าวขอโทษที่ทำให้สังคมเป็นห่วง ตอนดูก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันค่ะว่าขอโทษใครกันนะ แบบนี้ก็ต้องขอโทษด้วยหรือ แต่มาคิดดูแล้วอาจเป็นไปได้ว่าทำไปเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีกว่าของบริษัทก็เป็นได้ เพราะการแสดงท่าทีเกรงใจคนอื่นหรือแสดงการยอมรับผิดเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นให้คุณค่า และน่าดูกว่าการทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมากนัก แม้ว่าหลายครั้งคนที่กล่าวขออภัยอาจไม่มีสีหน้าสำนึกผิดหรือรู้สึกผิดจริงก็ตาม

แต่ก็มีการแถลงข่าวรับผิดบางอย่างที่คนแถลงแก้ตัว หรือแสดงท่าทีโยเยร้องไห้โฮราวกับเด็กในร่างผู้ใหญ่ จนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปอีกรอบเหมือนกัน หรือบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ภาพลักษณ์ไม่สวยงามเลยโดนสังคมติเตียน เจ้าตัวต้องออกมาแถลงข่าวรับผิด ซึ่งแบบนี้ก็น่าเห็นใจ ชวนให้รู้สึกว่าเจ้าตัวเป็นเหยื่อสังคมมากกว่า

อาบน้ำอุ่นตลอดปี

ญี่ปุ่นอาจจะมีช่วงเวลาที่อากาศหนาวมากกว่าร้อน แต่ในฤดูร้อนคนญี่ปุ่นก็ยังนิยมอาบฝักบัวด้วยน้ำอุ่น และยังแช่น้ำร้อนต่ออีก ถ้าหากอาศัยอยู่แต่ในอะพาร์ตเมนต์ที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนหนาว ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าอยากอาบน้ำอุ่น แต่เครื่องปรับอากาศในญี่ปุ่นมักไม่ค่อยจะเย็น และห้องอาบน้ำก็ไม่ได้เย็นจัดถึงกับต้องอาบน้ำอุ่น แถมหลายคนเวลามาเมืองไทยก็ยังติดอาบน้ำอุ่น แม้จะอากาศร้อนเต็มทีก็ตาม

เหตุผลน่าจะอยู่ที่วัฒนธรรมแช่น้ำร้อนของคนญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลาย ช่วยให้หายเหนื่อยล้า สบายตัว ดีต่อสุขภาพ ญี่ปุ่นจึงมีสินค้าที่เกี่ยวกับการแช่น้ำร้อนหลายอย่าง อาทิ ผงผสมน้ำร้อนในอ่างซึ่งมีหลายกลิ่นหลากยี่ห้อให้เลือก หมอนรองศีรษะเวลาแช่น้ำ อุปกรณ์นวด อีกทั้งห้องน้ำยุคปัจจุบันยังออกแบบให้มีฟังก์ชั่นคล้ายสปาหรืออบไอน้ำได้ ชวนให้ยิ่งน่าผ่อนคลายอยู่ในอ่างแช่น้ำร้อนกันเข้าไปอีก

ภาพจาก https://beauty.mebiusseiyaku.co.jp
ฉันพบว่าคนญี่ปุ่นแทบทุกคนที่ฉันรู้จักอาบน้ำกันวันละหน เคยได้ยินบางคนบอกว่าไม่เข้าใจคนที่ปกติอาบน้ำวันละสองหน แต่คนญี่ปุ่นจำนวนมากดูจะนิยมสระผมกันทุกวันเพราะรู้สึกว่าสกปรก ถ้าวันไหนไม่ได้สระก็จะไม่สบายใจ

(บาง)ฉากในละคร/ภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยสมจริง

ฉันสังเกตว่าละคร/ภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องมีฉากบางอย่างคล้ายกัน เช่น เวลาถึงฉากไคลแม็กซ์แล้วพระเอก/นางเอกต้อง “วิ่ง” กระหืดกระหอบไปหาตัวละครอีกตัวหนึ่ง เพราะเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้ หรือมีเรื่องที่ต้องการบอก ฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนขนาดนั้นทำไมไม่โทรมือถือกันนะ จะได้ไม่พลาด แต่เขาคงต้องการให้ฉากวิ่งนี้สื่อความรู้สึกรุนแรงของตัวละคร ไม่ก็กระตุ้นให้ผู้ชมลุ้นว่าจะวิ่งทันหรือเปล่ากระมัง เป็นอะไรที่ยังไม่เคยเจอในละคร/ภาพยนตร์ประเทศอื่น ๆ เลยเท่าที่เคยดูมา

ที่เห็นบ่อยคือตัวละครสองตัวยืนคุยกัน ต้องยืนห่างกันเป็นเมตรราวกับต้องเว้นระยะทางสังคม ทั้งที่คนญี่ปุ่นเวลาคุยกันมักคุยเบา ๆ ไม่ให้เป็นเป้าสายตา หากยืนห่างกันคงต้องพูดเสียงดัง

ภาพจาก https://ameblo.jp
นอกจากนี้บางทีเวลาตัวละครเล่าเรื่องอะไร ก็มักจะหันหน้าไปทางอื่น หรือเดินออกไปห่าง ๆ เล็กน้อย แล้วหันหลังให้อีกฝ่ายเหมือนรำพึงรำพันอยู่คนเดียว ฉันสงสัยทุกทีเลยว่าตัวละครที่กำลังฟังอยู่จะได้ยินถนัดหรือเปล่า หลับไปแล้วหรือยัง คิดไหมว่าคุยกันควรสบตาผู้ฟัง เคยเห็นฉากสุดท้ายของละครเรื่องหนึ่ง มีคนฝรั่งโทรศัพท์มาหาพระเอกเพื่อถามเรื่องสำคัญ กว่าพระเอกจะตอบได้ก็ต้องเก๊กก่อน หมุนคอไปมาให้ได้องศาที่ต้องการ ก่อนจะเอ่ยวรรคทองออกมา คือถ้าเงียบไปนานขนาดนั้น คนโทรมาน่าจะถามว่า “ฮัลโหล ๆ ยังอยู่หรือเปล่า !?” มากกว่า ฉันเลยรู้สึกว่าละคร/ภาพยนตร์ญี่ปุ่นบางทีก็ดูไม่สมจริงเพราะมีฉากทำนองนี้

สนใจเรื่องกรุ๊ปเลือด

คนญี่ปุ่นนิยมแบ่งลักษณะนิสัยคนออกเป็น 4 แบบตามกรุ๊ปเลือด หลายคนเชื่อว่ากรุ๊ปเลือดบอกนิสัยได้จริง และสนใจใคร่รู้ว่าใครกรุ๊ปเลือดอะไร หากดูประวัติดาราในนิตยสารก็อาจจะเห็นว่ามีระบุไว้ด้วยว่าดาราคนนี้เลือดกรุ๊ปอะไร ในขณะที่คนต่างชาติจำนวนมากไม่รู้กรุ๊ปเลือดของตัวเองด้วยซ้ำ และคิดว่าการแบ่งนิสัยคนออกเป็นแค่ 4 แบบนั้นคงง่ายไปหน่อย ไม่อย่างนั้นมนุษย์ก็คงมีเพียงแค่สี่ประเภทเท่านั้นเอง บางคนยังรู้สึกว่าการตัดสินคนจากกรุ๊ปเลือดยังเป็นการคิดเองเออเอง อคติ และลำเอียงด้วย


นักวิชาการด้านจิตวิทยาญี่ปุ่นคนหนึ่งคาดว่า ที่คนญี่ปุ่นแบ่งประเภทคนออกตามกรุ๊ปเลือด อาจเป็นเพราะญี่ปุ่นไม่ได้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือศาสนามากพอที่จะแบ่งกลุ่มคนในสังคมออกได้เหมือนในประเทศอื่น ๆ เลยแบ่งเอาตามกรุ๊ปเลือด จะได้สบายใจที่ได้รู้ว่าคนแต่ละกลุ่มมีลักษณะอย่างไร

ในปี พ.ศ. 2557 นักวิชาการด้านจิตวิทยาสังคมของญี่ปุ่นได้รวบรวมข้อมูลจากคนในญี่ปุ่นและอเมริกากว่าหมื่นคน พบว่ากรุ๊ปเลือดกับนิสัยไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันเลย

ที่เล่ามานี้อาจจะมีประเทศอื่นที่คล้ายกันหรือมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันออกไป ถ้าเพื่อนผู้อ่านพอทราบเรื่องทำนองเดียวกันในประเทศอื่น ๆ ก็อย่าลืมแบ่งปันความรู้กันบ้างนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"  เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.



กำลังโหลดความคิดเห็น