xs
xsm
sm
md
lg

มาตั้งปณิธานปีใหม่กันเถอะ !

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก https://fcymca.org/
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีปีใหม่ค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ว่าไหมคะว่ายุคนี้การตั้งปณิธานปีใหม่ดูจะเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลก ซึ่งหลายคนก็เผชิญกับสภาพการณ์คล้ายกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้งใจจะทำ อุปสรรค และความต่อเนื่อง วันนี้จะเล่าให้ฟังค่ะว่าคนญี่ปุ่นเขาตั้งปณิธานปีใหม่กันอย่างไร และบอกเคล็ดลับจากนักจิตวิทยาว่าจะทำตามปณิธานที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จได้อย่างไร


คนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมเก่าแก่ในการตั้งปณิธานปีใหม่ด้วยการเขียนพู่กันลงบนกระดาษ กิจกรรมนี้เรียกว่า “คาคิโซเมะ” (書き初め)แต่เดิมคาคิโซเมะเป็นกิจกรรมที่ทำในรั้ววังมาตั้งแต่สมัยเฮอัน (พ.ศ. 1337-1728) ซึ่งยุคนั้นจะเขียนกันในวันแรกของปี โดยเอาน้ำที่เพิ่งตักครั้งแรกของเช้าวันนั้นมาละลายหมึกแท่ง หันหน้าไปทางทิศมงคลของปีใหม่นั้น เอาพู่กันจุ่มหมึกเขียนเป็นบทกลอนที่ประกอบด้วยถ้อยคำเป็นมงคล

ภาพจาก https://www.jalan.net
พอเข้าสู่สมัยเอโดะ (พ.ศ. 2146 - 2411) คาคิโซเมะก็แพร่หลายมาสู่ประชาชน ปัจจุบันนิยมเขียนเป็นตัวอักษรคันจิสี่ตัวเรียงกันแทนการเขียนบทกลอน แม้จะไม่มีข้อบังคับในการเขียน แต่ก็มีคนที่นิยมเขียนคำที่กำหนดไว้แล้ว อย่างเช่น 一心一意 (มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว) 有言実行 (พูดจริงทำจริง)  起死回生 (เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส) จุดมุ่งหมายในการเขียนนั้นก็เพื่อแสดงความตั้งใจจริงที่จะลงมือทำ อีกทั้งยังเพื่อให้เขียนตัวอักษรได้สวยด้วย

ธรรมเนียมการเขียนพู่กันแสดงปณิธานปีใหม่ในยุคนี้นิยมทำในวันที่ 2 มกราคม พอถึงกลางเดือนมกราคมก็จะนำไปเผาไฟในพิธีเผาเครื่องรางและของตกแต่งปีใหม่ตามศาลเจ้าที่เรียกว่า “ดนโดะยากิ” (どんど焼き) ว่ากันว่าถ้าไฟลุกโชนสูงก็หมายความว่าจะเขียนตัวอักษรได้สวยขึ้น

คาคิโซเมะยังเป็นส่วนหนึ่งของการเขียนพู่กันในการศึกษาภาคบังคับด้วย ตามโรงเรียนอาจให้ไปเขียนมาเป็นการบ้านช่วงปิดเทอมฤดูหนาว พอส่งครูแล้ว ครูก็จะให้แปะไว้หลังห้องเรียน อีกทั้งยังมีการประกวดคาคิโซเมะทั่วประเทศ ซึ่งเปิดแสดงผลงานกว่า 15,000 ชิ้นในวันที่ 5 มกราคมของทุกปีที่บุโดคัง และมีสื่อต่าง ๆ พากันมาทำข่าว

ภาพจาก http://neigetsu.jp/
ที่ทำงานยังอาจให้พนักงานไปคิดและมารายงานปณิธานปีใหม่ของตนร่วมกับคนอื่นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าปณิธานนั้นจะเกี่ยวข้องกับการงาน อย่างเช่น จะพยายามทำให้ยอดขายของปีนี้เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ จะออกโครงการใหม่ในเดือนใด จะใช้เวลาวันละชั่วโมงเพื่อพัฒนาทักษะหรือความรู้ในด้านการงาน เป็นต้น

สำหรับปณิธานปีใหม่ส่วนตัวนั้น มีหลายคนที่พอถึงปีใหม่ก็รู้สึกอยากทำอะไรใหม่ ๆ รู้สึกมีแรงฮึดเต็มเปี่ยม จึงตั้งใจไว้ดิบดีว่าจะทำโน่นนั่นนี่ แต่ความตั้งใจนั้นก็ค่อย ๆ สลายไปภายในเวลาอันสั้น คนญี่ปุ่นเรียกว่า “มิกกะโบสึ” (三日坊主) แปลตรงตัวว่า ‘พระสามวัน’ หรือแปลให้สื่อความหมายหน่อยก็อาจเป็น ‘บวชสามวันสึก’ หมายความว่าตั้งใจจะทำอะไรเสียดิบดีแต่ก็เลิกกลางคันเสียก่อน

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก ทำให้ที่ผ่านมาคนมักแน่นฟิตเนสในช่วงต้นปีเพราะตั้งใจจะลดหุ่น คราวหนึ่งฉันว่าจะไปสมัครฟิตเนสเสียหน่อย แต่เพื่อนห้ามไว้ บอกให้รอสักเดือนมีนาคมแล้วค่อยไปสมัคร เพราะถึงเวลานั้นคนจะเริ่มหมดไฟในการออกกำลังกาย แล้วก็กลายเป็นสมาชิกฟิตเนสเพียงในนาม ฟิตเนสตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจึงเว้นว่างจากผู้คนกว่าต้นปีมาก

ในยุคนี้พิษโควิดทำให้หลายคนหันมาออกกำลังกายที่บ้าน ตอนล็อคดาวน์ใหม่ ๆ ฟิตเนสปิด คนส่วนใหญ่อยู่บ้าน อะพาร์ตเมนต์ฉันจึงมีเสียงตึงตังดังจากห้องข้างบนอยู่หลายวัน เดาว่าคงออกกำลังกาย ไม่นานนักทางฝ่ายจัดการก็อีเมลบอกทุกคนว่าออกกำลังกายให้เบา ๆ หน่อย อย่าส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้านนัก แสดงว่าหลายห้องคงออกกำลังกายกันอย่างครึกโครม แม้เสียงจากห้องข้างบนจะยังคงดังอยู่บ้าง แต่ภายในแค่ไม่กี่สัปดาห์เสียงนั้นก็หายมลายไป ฤาจะเลิกออกกำลังกายไปเสียแล้ว

ภาพจาก https://www.familysearch.org
แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้ความมุ่งมั่นหรือปณิธานปีใหม่กลายเป็น “พระสามวัน” อย่างสำนวนญี่ปุ่นข้างต้นดีล่ะ? ดร. Paul Marciano นักจิตวิทยาด้านพฤติกรรมให้แนวทางเอาไว้อย่างนี้ค่ะ

1.ให้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
ดร. Marciano บอกว่าขั้นแรกที่จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมได้คือ ต้องเข้าใจเป้าหมายของตัวเองชัดเจนพอเสียก่อน อย่างเช่น ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมายลอย ๆ ว่า “ปีนี้จะต้องหุ่นดีให้ได้” แต่ต้องระบุให้ชัดเจน วัดผลได้ ทำให้สำเร็จได้จริง ทำเหตุให้ตรงกับผลที่ต้องการได้รับ และกำหนดช่วงเวลาไว้ เช่น ถ้าเราอยากหุ่นดี แปลว่าเราอยากจะลดน้ำหนัก? หรือว่าอยากลดปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย? ตั้งใจจะลงมือปฏิบัติอย่างไรบ้าง เช่น วิ่งห้ากิโลต่อเนื่องโดยไม่หยุด หรือโหนบาร์ให้ได้รอบละสิบครั้งต่อกัน เป็นต้น

2.ติดตามความก้าวหน้า
การติดตามวัดผลจะทำให้เราได้รู้ว่าตอนนี้มาถึงจุดไหนแล้ว ต่างจากตอนเริ่มต้นแค่ไหน (คือเห็นความแตกต่างของตัวเองระหว่าง “ก่อน” และ “หลัง”) อีกทั้งการเห็นผลที่ต่างจากเดิมยังเป็นแรงจูงใจให้ทำต่อ หรือหากยังไม่เห็นผลก็จะได้หาทางปรับเปลี่ยนวิธีให้ก้าวหน้าขึ้น อย่างเช่นถ้าเราอยากลดหุ่นก็อาจจะบันทึกไว้ว่าตอนแรกสัดส่วนเป็นอย่างไร หลังพยายามต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้วสัดส่วนเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น

ภาพจาก https://www.madameriri.com
3.อดทน
มีหลายคนทีเดียวที่คาดหวังว่าจะเห็นผลในเวลารวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงคือการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเป็นเรื่องต้องอาศัยเวลา ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง และเข้าใจว่าความก้าวหน้าอาจจะไม่แน่นอนคงที่ บางคนอาจจะเห็นผลเร็วตอนแรกแต่หลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นผล ในขณะที่บางคนก็ใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผลในระยะแรก แต่หลังจากนั้นก็ประสบผลตามเป้าหมายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นต้น

4.ประกาศปณิธานให้เพื่อนฝูงและครอบครัวรับรู้
แม้อาจจะเขินกับการบอกใครต่อใครว่าเรามีปณิธานว่าอย่างไรบ้าง แต่การมีคนรับรู้และคอยให้กำลังใจก็สำคัญ แม้ท้ายที่สุดแล้วอาจจะทำได้ไม่สำเร็จ แต่การประกาศให้คนอื่นรับรู้จะทำให้เรามีโอกาสทำตามที่พูดไว้ได้มากขึ้น

ฉันเพิ่งประกาศกับเพื่อนที่หุ่นดีไปว่า ตลอดสามเดือนแรกของปีจะงดรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขัดขาว ทุกสิ่งที่น้ำตาลสูง อาหารไขมันสูง และพยายามเพิ่มโปรตีน ผัก ธัญพืช ไขมันดีในทุกมื้อ ออกกำลังกายสัปดาห์ละห้าวัน เข้านอนสี่ทุ่ม เพื่อนที่ฉันขนานนามชั่วคราวว่า “ครู” บอกว่า “ดีมาก ครูเป็นกำลังใจให้ ไปวัดสัดส่วนก่อนหลังไว้ด้วย แล้วมาส่งครู” ฉันรู้สึกมีแรงฮึดขึ้นมาเยอะเลยค่ะ การมีคนรับรู้และคอยเชียร์สำคัญอย่างนี้เอง อีกอย่างคือถ้าเพื่อนตั้งใจแบบเดียวกันก็จะมีคนที่สู้ไปพร้อมกับเราได้ด้วย

5.ใส่ลงไปในกำหนดการ
แทนที่จะอ้างว่า “ไม่มีเวลา” คุณหมอก็ให้ใส่ “สิ่งที่ตั้งใจจะทำ” ลงไปในกำหนดการด้วย เช่น กำหนดไปเลยว่าจะออกกำลังกายวันเวลาไหน ถ้าจะกำจัดข้าวของในบ้าน ก็ระบุวันเวลาลงไปว่าจะรื้อตู้เสื้อผ้าเมื่อไหร่ ประเด็นคือให้มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนนัดหมายสำคัญแบบเดียวกับนัดไปหาหมอ รวมทั้งไม่ทำสิ่งอื่นแทนกำหนดการที่วางไว้

ภาพจาก https://at-living.press
6.ห้ามคิดว่า “ถ้าทำให้เต็มที่ไม่ได้ ก็อย่าทำมันเลย”
“ไหน ๆ ฉันก็กินเฟรนช์ฟรายส์ไปแล้ว งั้นกินของหวานด้วยละกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไดเอ็ทใหม่” ฟังดูคุ้น ๆ ไหมคะ ดร. Marciano  บอกว่าการทำตามที่ตั้งใจไว้ “บ้าง” กับ “ไม่ทำเลย” ต่างกันมาก สมมติเกิดออกกำลังกายเต็มชั่วโมงอย่างที่ตั้งใจไม่ได้ อย่างน้อยทำสัก 20 นาทีก็ยังดี เช่น ถ้าเป็นหวัดหรือบาดเจ็บเล็กน้อย ก็อาจจะเดินแทนวิ่งภายในระยะทางที่สั้นกว่าปกติ หรือถ้าตั้งใจจะออมเงินเดือนละ 10% แล้วเกิดติดปัญหาการเงินจึงทำตามเป้าไม่ได้ในเดือนนี้ ก็ให้ออมเท่าที่จะเดือนนี้จะออมได้ไปก่อน ประเด็นก็คือทุกก้าวที่เราเดินไปสู่เป้าหมายนั้นสำคัญหมด ไม่ว่าจะก้าวเล็กก้าวใหญ่ย่อมดีกว่าไม่ก้าวเลยแน่นอน

7.ล้มแล้วลุก
Vince Lombardi โค้ชฟุตบอลชื่อดังเคยกล่าวว่า “สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณถูกล้มคว่ำลงหรือเปล่า แต่อยู่ที่คุณจะลุกขึ้นมาหรือเปล่าต่างหาก” เพราะฉะนั้นอย่าเอาความผิดพลาดมาเป็นข้ออ้างที่จะล้มเลิกความตั้งใจ แต่ให้ยอมรับความผิดพลาดแล้วสู้ใหม่

ภาพจาก https://ameblo.jp/
จำได้ว่าหนังสือภาษาไทยที่เคยเรียนเขียนเรื่องราวหนึ่งที่ฉันประทับใจมาก จำไม่ได้ว่าท่านใดเป็นผู้กล่าวไว้ คาดว่าน่าจะเป็นในหลวงรัชกาลที่ห้าหรือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และถ้าจำไม่ผิดก็เป็นเรื่องของพ่อสอนลูก เนื้อหาประมาณว่าให้อดทนพยายามทำการงานใด ๆ ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จก็พยายามใหม่ ถ้ายังไม่สำเร็จอีกก็ใช้วิธีอื่นดู พยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จ และสุดท้ายถ้าหากพยายามเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ ก็ถือว่ามีคุณค่าที่ได้พยายามเต็มที่แล้ว

หากเพื่อนผู้อ่านมีความตั้งใจอันใดที่อยากทำให้ได้จริง ลองตั้งปณิธานตามแนวทางข้างต้นดูไหมคะ เอาเป้าหมายเล็ก ๆ ที่อยู่ในข่ายที่จะทำได้จริงก่อนก็ได้ ทำให้ต่อเนื่องแล้วคอยวัดผลดู ถ้าทำได้ก็จะได้มีเรื่องดีใจกับตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่องหนึ่ง ถ้าทำไม่ได้ก็ลองพยายามดูใหม่ ไม่ท้อไม่เลิก สู้กับตัวเองดู ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ฉันเชื่อว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่เพิ่มขึ้น และความพยายามอุตสาหะก็เป็นคุณค่าในตัวของมันเองด้วย

ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนผู้อ่านทำในสิ่งที่ตั้งใจได้สำเร็จนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"  เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.



กำลังโหลดความคิดเห็น