คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน อยู่เมืองไทยคงมีหลายท่านที่ขับรถจึงต้องใช้ใบขับขี่ ส่วนญี่ปุ่นนั้นแม้หลายคนจะไม่ได้ขับรถเลยแต่ก็อุตส่าห์ไปทำใบขับขี่เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงหลักฐานประจำตัว ซึ่งกว่าจะได้ใบขับขี่มาก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนเมืองไทย แต่ก็มีเรื่องสนุกน่าสนใจซ่อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ
คนญี่ปุ่นดูเหมือนจะนิยมใช้ใบขับขี่เป็นบัตรแสดงหลักฐานประจำตัวกันมากกว่าบัตรประเภทอื่น ทั้งที่จริงก็มีบัตรที่คล้ายกับบัตรประชาชนของบ้านเรา คือ บัตรประจำตัวผู้อยู่อาศัยในเขต ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นบัตรมายนัมเบอร์ マイナンバーカード แต่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าทุกคนต้องทำเหมือนบัตรประชาชนบ้านเรา และสามารถทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย กระนั้นก็เป็นบัตรที่คนไม่ค่อยจะนิยมทำกันเอาเสียเลย
เหตุผลดูเหมือนจะอยู่ที่ความกลัวข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลมากกว่าอย่างอื่น เรื่องก็คือว่าบัตรมายนัมเบอร์ที่ว่านี้มีชิพฝังอยู่และเชื่อมโยงกับข้อมูลสำคัญประจำตัวทุกอย่างที่เรามีทางราชการ รวมไปถึงข้อมูลทางการเงินที่แท้จริงด้วย ถ้าทำหายหรือถูกใครแฮ็กข้อมูลได้ก็จะล่วงรู้ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด อีกทั้งยังมีหลายคนที่ไม่อยากให้สถานะการเงินถูกเปิดเผย เพราะอาจทำให้ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น หรือหมดสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนบางประเภทจากรัฐอีกต่อไป ก็เลยไม่ยอมทำ
ทีนี้เวลาไปทำธุรกรรมอะไรต่าง ๆ ถ้าไม่มีบัตรประจำตัวที่ทางราชการออกให้อย่างข้างต้น บางแห่งอาจยอมให้ใช้บัตรประจำตัวที่ทำงานหรือบัตรนักเรียนนักศึกษาได้ แต่ก็อาจต้องใช้ควบคู่กับบัตรประกันสุขภาพอะไรไปด้วย บางคนก็เลยรู้สึกว่าไม่สะดวก แต่ถ้ามีใบขับขี่ใบเดียวก็ใช้แสดงเป็นหลักฐานประจำตัวได้เลย ฟังดูราวกับว่าคนญี่ปุ่นต้องการใบขับขี่เพียงเพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนมากกว่าเอาไปใช้ขับรถเสียอีก
บนใบขับขี่ยังมีสีต่างกัน สะท้อนประสบการณ์และความประพฤติผู้ขับขี่ด้วย คือ ถ้าทำบัตรครั้งแรกจะมีแถบสีเขียวคาดไว้ มีอายุบัตร 2-3 ปี พอไปต่ออายุจะได้บัตรแถบสีฟ้า อายุบัตร 3-5 ปี และเมื่อไปต่ออายุอีกครั้ง หากที่ผ่านมา 5 ปีก่อนนั้นไม่มีประวัติทำผิดกฎจราจร ก็จะได้บัตรคาดแถบสีทองอร่าม เขียนว่า “ดีเลิศ” 優良 อย่างไรก็ตาม มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเลยที่มีบัตรทองแสดงประวัติขับรถอันดีเลิศประเสริฐนี้ โดยที่ไม่เคยขับรถออกถนนจริงหลังทำบัตรเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คนญี่ปุ่นสามารถสอบใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีเป็นต้นไป และไม่ใช่ว่าขับเป็นอยู่แล้วโดยไม่ต้องเรียนก็ไปสอบเลยได้เหมือนที่เมืองไทย แต่มีข้อบังคับว่าอย่างไรก็ต้องไปเรียนจากโรงเรียนสอนขับรถก่อนแล้วสอบผ่านถึงจะได้ใบขับขี่ ซึ่งค่าเรียนก็สูงทีเดียวคืออยู่ที่หลักแสนเยน โอ้...แพงอะไรอย่างนี้ !
เนื่องจากต้องหาเวลาไปเรียนให้ครบตามชั่วโมงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสามสัปดาห์ คนญี่ปุ่นจึงมักเลือกช่วงที่พอจะหาเวลาง่ายไปเรียนขับรถ อย่างเช่น ช่วงก่อนจบการศึกษาซึ่งชั่วโมงเรียนน้อยลง หรือระหว่างปิดภาคการศึกษา แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่รอจนทำงานแล้วค่อยไปเรียนและสอบ ซึ่งอาจจะลำบากหน่อยเพราะมักงานยุ่งจนมืดค่ำ จัดตารางไปเรียนให้ต่อเนื่องยาก
อาจเพราะคนนิยมเลือกช่วงเวลาที่ยังศึกษาอยู่ไปเรียนและสอบใบขับขี่ จึงเกิดธุรกิจ “เข้าค่ายสอบใบขับขี่” ขึ้นมา ซึ่งบางบริษัทอาจมีโปรแกรมให้เลือกเข้าร่วมได้ในหลายจังหวัดทั่วญี่ปุ่น ทำให้คนที่จะเรียนสอบใบขับขี่รู้สึกกึ่งไปเที่ยวกึ่งเข้าค่าย เช่น ปกติอาศัยอยู่ในเมืองก็อาจจะเลือกไปเข้าค่ายในต่างจังหวัดที่มีออนเซ็น หรือมีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยในตัว
บางทีเพื่อน ๆ กันเองก็จับกลุ่มกันไปเข้าค่ายสอบใบขับขี่ที่ว่านี้ มีบ้างเหมือนกันที่ไปเดี่ยวหรือไปเป็นคู่ โรงเรียนจะมีบริการให้เลือกตามความต้องการหลายอย่าง เช่น อยากพักอยู่ห้องรวม ห้องคู่ หรือห้องเดี่ยว มีบริการอาหารให้ครบสามมื้อหรือแค่บางมื้อ เป็นต้น และเนื่องจากนักเรียนก็อายุไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังมีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อสอบใบขับขี่ให้ผ่าน หลายคนจึงเข้ากันและสนิทสนมกันได้ง่าย ทำให้มีหลายคนได้เพื่อนใหม่หรือได้แฟนจากการมาเข้าค่ายด้วย
ไม่เพียงแค่คนวัยหนุ่มสาวเท่านั้น บางโรงเรียนยังเล็งเป้าหมายไปยังคนกลุ่มอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ สุภาพสตรี คู่รัก หรือคนที่ไปเดี่ยว จึงใช้วิธีสร้างแรงจูงใจที่ต่างกันเพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ เช่น ให้พักที่โรงแรม มีอาหารให้เป็นบางมื้อ มีฟิตเนส มีสระว่ายน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกโรงเรียนโดยดูจากยอดรีวิวอาหารอร่อยหรือรีวิวที่พักดีได้ด้วย
การเข้าค่ายสอบใบขับขี่แบบนี้อาจจะเหมาะกับคนที่ชอบประสบการณ์ใหม่ ชอบรู้จักคนใหม่ ๆ ไปสถานที่ใหม่ ๆ หรือไม่ก็คนที่ขี้เกียจมาจัดตารางเวลาไปเรียนขับรถ หรือเบื่อที่โรงเรียนอยู่ไกล พอมาเข้าค่ายแบบนี้ทำทุกอย่างรวดเดียวจบไปเลยก็รู้สึกสะดวกหน่อย แถมยังได้เปิดหูเปิดตา ฉันเห็นแล้วชักอยากไปเข้าร่วมบ้าง เสียแต่ว่าเลยวัยไปนานและขับรถได้มาตั้งแต่อยู่ไทย
แม้จะค่อนข้างวุ่นวายกว่าจะได้ใบขับขี่มา กระนั้นคนก็ยังอยากมีกันอยู่ดี แน่ละว่าคนในบางจังหวัดไปสอบใบขับขี่เพราะสะดวกใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นยานพาหนะในการเดินทาง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำใบขับขี่โดยที่ยังไม่ทราบว่าจะได้ใช้ไหม แต่ทำไปก่อนเพราะเห็นคนอื่นเขาทำกัน บ้างก็พ่อแม่บอกให้ไปทำเผื่อไว้
มีหลายคนบอกว่าเผื่อ “ทำงานแล้วอาจต้องใช้” ฟังเผิน ๆ อาจรู้สึกแปลก เพราะบางทีงานที่สมัครก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการขับรถตรงไหน บางคนก็ให้เหตุผลว่าการมีใบขับขี่บ่งบอกถึงการมี “ความสามารถ” หรือ “คุณสมบัติที่ดี” ได้ด้วย ถ้ามีใบขับขี่แล้วระบุลงไปในใบสมัครเข้าทำงานก็จะดูดีกว่าไม่มี
หรือไม่อย่างนั้นวันดีคืนดีเกิดที่ทำงานสั่งย้ายไปประจำสาขาในต่างจังหวัดซึ่งจำเป็นต้องใช้รถขึ้นมา หากเพิ่งจะไปหัดเรียนขับรถเอาตอนนั้นก็จะลำบาก อีกอย่างคือพออายุมากแล้วเพิ่งไปหัดขับรถอาจจะเรียนรู้ได้ช้ากว่า กลัวอะไรต่อมิอะไรมากกว่า ทำให้ใช้เวลามากขึ้นในการเรียนและสอบใบขับขี่
นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่สามีฉันไปสอบใบขับขี่ ฉันก็ถามว่าจะสอบไปทำไมหรือ อยู่ในโตเกียวนั่งแต่รถไฟจะไปขับรถเอาตอนไหน แถมค่าเรียนก็แสนจะแพง ดูไม่คุ้มกับการแลกให้ได้มาซึ่งใบขับขี่สำหรับใช้เป็นบัตรประจำตัวเลย แต่ต่อมาคราวหนึ่งได้ไปเที่ยวโอกินาวา ซึ่งเหมาะแก่การใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ก็เลยนึกดีใจว่าดีแล้วที่ตอนนั้นเขาไปสอบไว้ เพราะถ้ามาสอบเอาตอนที่คิดว่าจะได้ใช้ ก็อาจจะไม่มีเวลาไปเรียนไปสอบอย่างที่คาดไว้ก็ได้
เป็นเพราะในชีวิตประจำวันใช้แต่รถไฟหรือรถเมล์ จึงไม่มีโอกาสได้ขับรถจริง พอปุบปับถึงเวลาต้องออกถนนเข้าโดยไม่มีครูคอยกำกับก็ชักกลัว ตอนสามีฉันขับรถจริงครั้งแรกในโอกินาวานั้น เขาขับตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น ไม่แวะไม่หยุดอะไรทั้งสิ้น ยกเว้นแต่เจอไฟแดง ฉันบอกว่าเดี๋ยวขอแวะร้านสะดวกซื้อข้างหน้าหน่อย แต่เขาไม่ยอมหยุดเลย พอใจกล้ายอมเลี้ยวเข้าสักแห่งหนึ่งได้สำเร็จก็ชักจะมั่นใจขึ้น ตอนแรกฉันก็กังวลว่าเขาจะขับตรงไปตามทางเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปถึงจุดหมายเลยหรือไร
แม้คนญี่ปุ่นหลายคนจะมีใบขับขี่กัน อีกทั้งรถญี่ปุ่นอาจนับว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับซื้อในไทย แต่ได้ยินว่าคนจำนวนหนึ่งไม่ซื้อรถเพราะต้องแสดงหลักฐานว่ามีที่จอดรถด้วย แต่บ้านญี่ปุ่นส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเมืองไม่มีที่จอด จะไปเช่าที่จอดก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงอาจเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้คนไม่ซื้อรถ แต่พอถึงเวลาต้องใช้ก็เช่าหรือใช้บริการแชร์รถ
ถ้าใครมาญี่ปุ่นคงเคยเห็นรถคันเล็ก ๆ น่ารักหลายรุ่นที่ไม่มีขายที่เมืองไทย เข้าใจว่าที่ทำเล็กขนาดนั้นคงเพราะถนนหนทางแคบและพื้นที่จอดรถของบ้านหรือร้านค้าท้องถิ่นก็จำกัดมาก เคยเห็นบางบ้านมีที่จอดรถขนาดแทบจะพอดีกับตัวรถเลยทีเดียว แต่ก็จอดได้สนิทเรียบร้อยดี
วันนี้ขอลาไปก่อนนะคะ ขอขอบพระคุณเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดปี และขอถือโอกาสส่งความสุขในช่วงเทศกาลให้แด่ทุกท่านด้วย แล้วพบกันใหม่ปีหน้านะคะ สวัสดีค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.