คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่เคยเล่าตอนใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น นั่นก็คือเรื่องของการทำอาสาสมัคร ซึ่งเป็นทั้งความสนุกเพลิดเพลิน ทั้งยังช่วยให้ได้เปิดหูเปิดตา รู้จักคนใหม่ ๆ และเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เยอะทีเดียวค่ะ
ฉันทำอาสาสมัครให้องค์กรพัฒนาสังคมระหว่างประเทศสองแห่ง แห่งแรกคือช่วงที่ฉันไปญี่ปุ่นระยะสั้นเพื่อเก็บข้อมูลเขียนวิทยานิพนธ์ ตอนนั้นพอจะมีเวลาว่างและคิดว่าน่าจะใช้เวลาระหว่างอยู่ในญี่ปุ่นให้คุ้มค่ากว่านี้ ก็เลยลองค้นหาชื่อองค์กรที่สนใจดูว่ามีให้ทำอาสาสมัครไหม
พอหาเจอก็ลองติดต่อไปหาทางอีเมล ถามไปด้วยว่าเป็นคนต่างชาติไปเข้าร่วมได้ไหม เขาตอบมาว่าไม่มีปัญหา แล้วนัดให้ไปเจอกันในวันประชุมซึ่งจัดขึ้นสัปดาห์ละครั้ง วันแรกที่ไปนั้นใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ น่าดูเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่ใหญ่พอสมควร โต๊ะประชุมสองตัวยาวต่อกันมีคนนั่งเต็มทุกเก้าอี้ แถมตัวเองก็เป็นต่างชาติหลงฝูงมาหนึ่งหน่อ ตื่นเต้นเสียจนกลัวว่าจะฟังเขาคุยกันรู้เรื่องไหม
เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงกลุ่มเป็นผู้หญิงตัวผอมบาง ยิ้มแย้มแจ่มใสท่าทางเป็นมิตร เธอจะคอยบอกว่าตอนนี้องค์กรอยากทำกิจกรรมระดมทุนแบบไหนบ้าง หรือจะประชาสัมพันธ์องค์กรให้เป็นที่รู้จักอย่างไร แล้วก็ให้อาสาสมัครช่วยกันคิดช่วยกันทำ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ไม่ก็ทำงานพาร์ทไทม์ อยู่ในระหว่างหางาน หรือเป็นแม่บ้าน อายุอานามน่าจะอยู่ในช่วง 20-50 ปี มีอาสาสมัครคนหนึ่งเธอนามสกุลว่า “บันได” ไม่เคยมีครั้งใดที่ฉันเรียกเธอโดยไม่นึกไปถึงราวบันไดเลย
ระหว่างประชุมเจ้าหน้าที่ก็ใจดีจัดขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยกับชาร้อนคนละถ้วยให้ การประชุมเป็นไปอย่างเป็นกันเองแม้ว่าฉันจะนั่งเกร็งในช่วงแรก ๆ ต่อมาพอสนิทสนมกันก็เริ่มสนุก คุยกันตลกโปกฮา และพอจบการประชุมก็จะมีอาสาสมัครผู้ชายคนหนึ่งเก็บถ้วยชาร้อนของทุกคนไปล้างให้ ฉันแปลกใจมากเพราะปกติได้ยินว่าผู้ชายญี่ปุ่นจะไม่ยอมทำงานแบบนี้เพราะถือว่าเป็นงานของผู้หญิง ก็เลยประทับใจที่ได้เจอผู้ชายญี่ปุ่นซึ่งไม่ถือหรือแบ่งแยกว่างานนี้ของผู้หญิงงานนี้ของผู้ชาย
ครั้งหนึ่งเราจัดงานการกุศลเพื่อรวบรวมเงินให้เด็กด้อยโอกาสในประเทศอื่น ในงานมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ ฉายสารคดีสั้น แสดงไวโอลิน ขายของ ซึ่งแต่ละคนก็ช่วยกันงัดความรู้ความสามารถของตนออกมาใช้จัดงาน ของที่ขายก็เป็นพวกของที่ได้รับบริจาคมาฟรี เช่น ของเล่นทำจากไม้ซึ่งเป็นของใหม่ และนำมาขายในราคาถูก ที่จริงงานนี้ทำได้ดี แต่เสียดายที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก คนที่มาในงานส่วนใหญ่ก็เป็นคนรู้จักของเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่กันเองที่ช่วยกันอุดหนุน ดูไปก็คล้ายอัฐยายซื้อขนมยาย แถมเมื่อหักลบค่าใช้จ่าย เวลา และแรงงานแล้ว อาจจะไม่คุ้มกับผลที่คาดหวังว่าจะได้รับเท่าไหร่
คราวต่อมาทางกลุ่มจะจัดงานการกุศลอะไรสักอย่างโดยใช้ธีมนานาชาติ มีการแสดงและการละเล่นของชาติต่าง ๆ ด้วย เสียดายว่าตอนนั้นวีซ่าฉันใกล้จะหมดและต้องกลับไทยแล้ว วันงานก็เลยไม่ได้ไปเข้าร่วม แต่ก่อนนั้นมีส่วนช่วยวางแผน จำได้ว่าตอนนั้นฉันเสนอเล่นเกม “ม่านประเพณี” ของไทย ซึ่งแบ่งผู้เล่นออกเป็นสองกลุ่ม โดยใช้ผ้าผืนใหญ่คั่นกลางไม่ให้อีกฝ่ายเห็น แต่ละกลุ่มจะจัดตัวแทนออกมาอยู่ด้านหน้ากลุ่ม พอยกผ้าขึ้น ตัวแทนต้องบอกชื่อของอีกฝ่าย ฝ่ายใดบอกก่อนก็ได้แต้มไป แต่พอเปิดม่าน บางทีอารามตื่นเต้นเลยลืมชื่ออีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้นเอง เพื่อน ๆ ให้ฟีดแบ็คในตอนหลังว่าเกมนี้เรียกเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครงทีเดียว
ในเวลาต่อมาหนึ่งในอาสาสมัครนั้นก็กลายมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน ชายคนที่เก็บถ้วยชาของทุกคนไปล้างนั่นเอง วันแต่งงานอาจารย์ที่ฉันขอให้เป็นประธานในงานแซวว่า “เธอไปญี่ปุ่นไม่เพียงไปหาข้อมูลมาเขียนวิทยานิพนธ์จนเรียนจบ แต่ยังได้สามีมาอีกด้วย” ที่จริงฉันเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยค่ะว่าจะไปเจอสามีในอนาคตเข้าให้ โชคชะตาก็ช่างเป็นเรื่องเกินคาดหมายจริง ๆ
จากนั้นพอฉันย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นเต็มตัว กว่าจะหางานประจำได้ก็ใช้เวลาเป็นปี ระหว่างนั้นก็หางานพาร์ทไทม์ทำไปพลาง ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นงานที่สนุกทั้งสองอย่างและรายได้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว กระนั้นเวลาว่างก็ยังพอมีเลยไปทำอาสาสมัครเพิ่มด้วย
งวดนี้เป็นกลุ่มอาสาสมัครนานาชาติขององค์กรหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในแถบยุโรป ประธานกลุ่มเป็นสาวผมบลอนด์คนสวยชาวอเมริกันที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น ส่วนคนอื่น ๆ เป็นชาวอังกฤษ ยุโรปตะวันออก ออสเตรเลีย ส่วนใหญ่มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ไม่มีคนเอเชียอยู่ในคณะทำงานเลย พวกเขาเล่าให้ฟังว่ากลุ่มอาสาสมัครนี้ตั้งกันขึ้นมาเอง เพราะอยากสนับสนุนงานขององค์กร ซึ่งงานอาสาสมัครแบบนี้เป็นที่ชื่นชมกันมากในยุโรปหรืออเมริกา แต่ในญี่ปุ่นกลับดูจะไม่นิยมกันนัก อีกทั้งคนในองค์กรก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ที่มีกลุ่มนี้งอกมาโดยไม่ได้อัญเชิญ คงเพราะเขาต้องมีงานเพิ่ม รวมทั้งแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้พวกเราใช้ประชุมกันด้วย
แน่นอนว่าตอนเข้ากลุ่มฉันก็เกร็ง ๆ บ้างในฐานะคนใหม่ แต่พอคุ้นเคยกันไป ได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ที่มาเข้าร่วมกิจกรรม ชีวิตในญี่ปุ่นก็สนุกและมีสีสันขึ้นมากเลยค่ะ คนที่มาเข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนฝรั่งกับคนญี่ปุ่นที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง และต้องการร่วมกิจกรรมเพราะทำให้มีโอกาสได้ใช้ภาษา หรือบางคนก็ต้องการฝึกภาษา รวมทั้งเพื่อให้ได้รู้จักคนใหม่ ๆ ด้วย สังเกตว่าคนญี่ปุ่นที่มาร่วมกิจกรรมมักมีบุคลิกไม่ค่อยเหมือนคนญี่ปุ่นทั่วไป คุยง่าย เปิดเผย เป็นกันเอง และดูเป็นตัวของตัวเอง
กิจกรรมของกลุ่มเป็นสิ่งที่อาสาสมัครออกความคิดกันเอง เช่น จัดเกมตอบคำถามในผับ จัดปิคนิค จัดเดินมาราธอนรอบโตเกียว จัดปีนเขา จัดเวิร์คช้อปให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกและให้ผู้เข้าร่วมอภิปรายกันหลังบรรยาย จัดปาร์ตี้ฮาโลวีน เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าร่วมต้องจ่ายค่าเข้าร่วม หลังหักต้นทุนแล้วก็นำเงินที่ได้ไปบริจาคให้องค์กรทั้งหมด
กิจกรรมส่วนใหญ่ไม่ได้สะท้อนเนื้องานขององค์กรเลย ตอนแรกฉันก็งงเพราะคิดว่างานอาสาสมัครน่าจะทำให้ได้รู้จักองค์กรมากขึ้นเสียอีก แต่พอมานึกดูแล้วฉันว่าไอเดียการระดมทุนเหล่านี้ก็สร้างสรรค์ไม่น้อย บางทีอาจเพราะเป็นกลุ่มนานาชาติที่สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ก็เลยทำให้มีคนหลายชาติมาเข้าร่วม จึงมีไอเดียหลากหลาย นอกจากจะให้ประสบการณ์ใหม่ ๆ สนุก ๆ แล้ว ยังทำให้รู้จักคนเยอะ ได้เปิดโลกทัศน์ ทำให้ชีวิตมีสีสันและไม่จำเจ อีกทั้งยังได้เงินมาช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในสังคมด้วย
ตัวฉันเองจะสนุกกับการอธิบายให้ความรู้ ก็เลยเสนอตัวสอนในเวิร์คชอปอยู่หลายหน งานนี้ทำคู่กับเพื่อนอาสาสมัครอีกคน แล้วแต่ว่าใครอยากทำหัวข้ออะไร อยากทำคู่กับใคร ซึ่งพอตกลงใจไว้แล้วว่าจะสอนก็ต้องไปค้นหาข้อมูลมา เพื่อมาบอกต่อให้ผู้เข้าร่วมฟังเข้าใจแบบง่าย ๆ และให้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ว่าใกล้ตัวกว่าที่คิดเพียงใด ชีวิตชาวเกาะบางแห่งเสียสมดุลเพราะโลกร้อนได้อย่างไร พฤติกรรมการจับจ่ายซื้อของในชีวิตประจำวันของเราเป็นการทำร้ายหรือส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของคนในโลก เป็นต้น ประเด็นพวกนี้ฉันสนใจอยู่แต่เดิมแต่ไม่ถึงขนาดรู้ละเอียด ทีนี้พอต้องสอนก็ต้องหาข้อมูลเยอะ เลยได้รับความรู้มากมายก่ายกองเลยทีเดียว ตอนที่สอนก็มีความสุขด้วยที่เห็นผู้เข้าร่วมได้อะไรกลับไป
พอย้ายมาอยู่นิวยอร์กก็ได้รู้ว่าโลกกลม ฉันบังเอิญได้พบกับหนึ่งในผู้บุกเบิกก่อตั้งกลุ่มอาสาสมัครนี้ซึ่งเป็นคนหนุ่มอายุน้อย และได้เล่าให้เขาฟังว่างานที่เขาได้ทำไว้ตอนนี้ออกดอกออกผล กลายเป็นกลุ่มใหญ่โตแค่ไหนแล้ว กิจกรรมบางอย่างมีสปอนเซอร์ใหญ่ ๆ สนับสนุน กลายเป็นอีเวนท์ใหญ่ไปแล้วก็มี เขาก็รับฟังด้วยรอยยิ้ม
ถ้าหากใครพอมีเวลาว่าง ฉันอยากให้ลองทำอาสาสมัครดูค่ะ เป็นกิจกรรมที่ให้อะไรมากมายทั้งกับตัวอาสาสมัครเองและกับผู้ที่ได้รับประโยชน์จากผลของงาน ยิ่งถ้าเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ หรืออยู่ในช่วงที่มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว การได้ทำงานอาสาสมัครจะทำให้เปลี่ยนความคิด ได้มองเห็นโลกใบใหม่ ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเอง และเลิกจำกัดชีวิตตัวเองไว้ภายใต้กรอบเดิม ๆ รวมทั้งยังมีโอกาสได้พบเจอเพื่อนที่ดีด้วยนะคะ
โลกนี้กว้างใหญ่ มีอะไรดี ๆ รอให้เราค้นพบเต็มไปหมดเลย ขอเพียงยอมก้าวออกไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่เท่านั้นเอง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ แล้วพบกันสัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.