จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
หลังจบพิธีสวดและผู้มาร่วมพิธีจุดธูปคารวะวิญญาณผู้ตายซึ่งจัดขึ้นในห้องโถงด้านหน้าของคฤหาสน์ คนลากรถก็เข้ามายกโลงศพขึ้นรถออกเดินทางไปยังเชิงตะกอน
พวกผู้ชายอันมีคาซุมะ โมคุเบ โคโรกุ ทังโงะ รวมทั้ง ด็อกเตอร์โคเซ ปิก้า แม้กระทั่งคามิยามะ ฮิโรชิ ทนายความ เดินตามรถลากโลงศพไปยังเชิงตะกอนกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ส่วนอุสึมิ กวีหลังค่อมนั้น พอเดินยันไม้เท้ารูปทรงเหมือนของแม่มดภูเขาจะออกจากประตูบ้าน คุณยายอายากะก็ร้องติงออกมาจากกลุ่มผู้หญิงที่ออกมายืนส่งขบวนศพ
“คุณอุสึมิคงไปกับเขาไม่ไหวหรอก ต้องเกือบสองกิโลเชียวนะ ขอตัวไม่ไปด้วยดีกว่าไหม”
“จริงด้วยค่ะอย่าไปเลย อยู่เป็นเพื่อนพวกเราดีกว่า เหลือแต่ผู้หญิงอย่างนี้รู้สึกวังเวงยังไงไม่รู้”
คุณนายอากิโกะพยักเพยิด
“แหม เจ้าชายหลังค่อม เนื้อหอมจริงนะ” แม่นางชิงุซะกระแนะกระแหนเสียงดังแล้วยิ้มเย้ย ๆ
“ตามพวกเขาไปเถิด ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนซื่อบื้อถึงขนาดคิดที่จะอยู่ให้พวกคุณนายโฉมงามย่ำยีเป็นของเล่นหรอก”
ฟังคารมของนางดูเถิด ช่างไร้มารยาทไม่มีความเป็นผู้ดีเสียเลย หรือว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่จิตใจของผู้หญิงขี้ริ้วจะพลอยหยาบกร้านตามหน้าตาไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครพูดอะไรต่ำ ๆ ไม่กระดากปากได้ถึงขนาดนี้ แต่นาย หลังค่อมก็ประหลาดสิ้นดี บอกว่าชอบแม่นางชิงุซะที่การเป็นคนขี้ริ้วไร้การศึกษาไม่มีความรู้ กิริยามารยาทส่อสันดานต่ำช้ากระด้างคำพูดคำจาหยาบกระด้าง นั่นสะท้อนให้เห็นความบิดเบี้ยววิปริตในจิตใจของชายร่างพิการอย่างชัดเจน
อุสึมิหลังค่อมหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี
“ครับ ๆ ผมจะตามเขาไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าไม่ไปส่งศพขึ้นเชิงตะกอนวันนี้สงสัยว่านายวานิจะไม่กลายเป็นเถ้ากระดูกด้วยความสงบสุขแน่” ว่าแล้วก็ออกเดินโขยกเขยกตามหลังขบวนไป โดยมีคุณนายอายากะเดินออกไปส่งถึงนอกประตูใหญ่
เชิงตะกอนที่เผาศพนายวานิ เป็นเนินเตี้ย ๆ อยู่กลางพื้นราบรูปสี่เหลี่ยมพื้นที่ประมาณร้อยตารางเมตร อยู่กลางป่าทึบลึกเข้าไปในภูเขาที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมา มีแต่เสียงนกเขาป่าเพรียกร้องหากัน บนเชิงตะกอนมีไม้ฟืนกองเกียงก่ายเอาไว้แล้ว ข้าง ๆ นั้นมีกระท่อมของคนอยู่เวรเฝ้ายามค่ำคืน
พระสวดศพอีกครั้งหลังตั้งศพบนเชิงตะกอนแล้วจึงจุดไฟเผา ผมอดสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้เมื่อคิดว่าในที่สุดคนหยิ่งผยองเห็นแก่ตัว รูปร่างใหญ่โตทำอำนาจบาตรใหญ่กับคนอื่นอย่างนายวานิต้องกลายเป็นเถ้าถ่านหายไปจากโลกในสภาพเช่นนี้
เย็นมากแล้วเราจึงตกลงใจว่าพรุ่งนี้เช้าจึงจะมาเก็บกระดูกแล้วชวนกันกลับ...หมอกจาง ๆ จากหุบเขาเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ จักจั่นเรไรเริ่มกรีดปีกระงม...นั่นคือบรรยากาศของยามค่ำวันฤดูร้อนในป่าลึกบนภูเขาในฝังอยู่ในความทรงจำของผม แต่ที่แท้วันนั้นยังไม่ถึงช่วงที่จักจั่นเรไรเริ่มกรีดปีก
อุสึมิชายหลังค่อมดูเหนื่อยมากดังคาด ใบหน้าที่ตามปกติไม่ค่อยจะมีสีสันอยู่แล้วตอนนี้ซีดขาวจนเห็นได้ชัด
“นี่แน่ะท่านกวีหลังค่อม ขึ้นนั่งบนรถลากนั่นซิผมจะช่วยเขาเข็นเอง มันเป็นรถเคลื่อนศพขากลับคงจะต้องพาเอาความมงคลกลับไปด้วย คนเราไม่มีอะไรมากำหนดว่าแก่ตายก่อนหนุ่มตายทีหลัง ใครก็ตามที่หายใจทิ้งไปวัน ๆ ไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์จนตายไป ก็เรียกได้ว่าเสียชาติเกิด คุณก็อีกคนอายุยืนยาวมาได้ถึงปูนนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เอ้า...เร็วเข้าขึ้นมา”
“ไม่รู้รึว่าคนพิกลพิการอย่างนี้แหละอายุยืนดีนัก งั้นผมไม่เกรงใจ ขึ้นรถละนะ”
ว่าแล้วกวีหลังค่อมก็ปีนขึ้นไปบนรถลาก ชาวบ้านที่ทำหน้าที่ลากรถพอเห็นผู้โดยสารขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วก็ลากรถเคลื่อนออกจากที่ ปิก้าปราดเข้าช่วยเข็นขึ้นเนินไปตามทางเลียบหุบเขาตามที่ออกปากไว้
กลุ่มพระกับคาซุมะและคามิยามะทนายความเดินนำหน้าตามไป ส่วนผมเกาะกลุ่มรั้งท้ายมีทังโงะ โคโรกุ โมคุเบและ ดอกเตอร์โคเซ
กำลังเดินทอดน่องกันอย่างสบายอารมณ์นั้นอยู่ ๆ นายทังโงะก็มองหน้าเราไปรอบ ๆ ด้วยสายตาแฝงความประชดประชันตามนิสัยก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องคุณทามาโอะจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ผมว่าคนฆ่านายวานิคือคนใดคนหนึ่งสี่คนในกลุ่มนี้ยกเว้นดอกเตอร์โคเซ”
โมคุเบซึ่งเป็นคนสุขุมเยือกเย็นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ส่วนโคโรกุที่เป็นคนตรงเผงจึงขัดใจย้อนถามด้วยเสียงมีอารมณ์
“ทำไมถึงต้องเป็นใครในสี่คนนี้ด้วยฮึ...ใครคนหนึ่งในสี่คนจะเป็นใครกันล่ะถ้าไม่ใช่ตัวคุณเอง พูดขึ้นมาทำไม ผมรู้จักคุณดีว่าเวลาพูดอะไรจะต้องคิดแล้วคิดอีกหลายชั้นหลายเชิงมีกลยุทธ์แยบยลเสมอ ความจริงแล้วคุณเองนั่นแหละที่เป็นฆ่าทั้งนายวานิ และคุณทามาโอะ”
“ผมบอกว่าใครคนหนึ่งในสี่คนนี่”
“เคลียร์ตัวเองให้ได้เสียก่อนจึงจะมาพูดเรื่องคนอื่นดีไหม คุณก็เป็นนักประพันธ์ เราทุกคนอยู่ในวงการวรรณศิลป์กันทั้งนั้น จะพูดอะไรต้องผิดชอบถ้อยคำของตัวเองด้วย เพราะเราไม่ใช่นักสืบ”
นายทังโงะหน้าม้านแต่ก็แค่นหัวเราะเย้ยหยันยิ่งขึ้นอีกเมื่อบอกว่า
“ที่ฉันพูดอย่างนั้นก็เพราะคิดว่าถ้านายวานิถูกหัวขโมยฆ่าชิงทรัพย์ หรือไม่ก็ถ้าคาซุมะเป็นคนฆ่าเพราะนายวานิดูถูกน้องสาวเขาแล้วก็อะไร ๆ ที่ไม่พอใจอีกหลายอย่างก็เลยฆ่านายวานิ แล้วก็พาลฆ่าน้องสาวตัวเองด้วย ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้สูง แต่คุณไม่รู้สึกหรอกหรือว่าเรื่องราวมันจะจืดชืดสิ้นดี เราเป็นนักประพันธ์ไม่ใช่นักสืบดังนั้นเนื้อหาของคดีมันจะต้องมีน้ำมีเนื้อหน่อย ไม่จำเป็นต้องสืบหาความเป็นจริงและจับตัวฆาตกรให้ได้ เหตุการณ์นายวานิถูกฆ่า คุณทามาโอะถูกฆ่าเป็นวัตถุดิบที่น่าสนใจ จูงใจให้ผมอยากลองสร้างฆาตกรขึ้นมาสักคน คุณไม่คิดหรือว่าการใช้วัตถุดิบพวกนั้นสร้างเรื่องราวของใครสักคนที่เป็นไปได้มากว่าเป็นฆาตกรนั้น เป็นเรื่องสนุกแค่ไหนสำหรับนักประพันธ์อย่างเรา ผมรู้สึกเหมือนกับว่าการไล่ล่าฆาตกรงี่เง่าคนนี้ให้จนมุมนั้นเป็นหน้าที่ของเรา หรือคุณว่าไง”
โคโรกุอารมณ์เสียไม่ตอบโต้ด้วย โมคุเบที่นิ่งฟังอยู่ไกล่เกลี่ยการโต้เถียงด้วยเสียงเรียบ ๆ
“คุณจะมาพูดเรื่องวรรณกรรมอะไรกันตอนนี้ เลิกพูดเรื่องงานอาชีพกันดีไหม เรื่องนายวานิก็ดี เรื่องคุณทามาโอะก็ดี มันเป็นที่เกิดขึ้นจริง เรื่องที่เลวร้ายเป็นที่สุด คุณต้องจริงจังนะเพราะคนตายไปตั้งสองคน คิดถึงความจริงในแง่ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และฆาตกรก็คือฆาตกร ไม่ใช่เรื่องงี่เง่าที่คุณจะมองเป็นเรื่องเล่น ๆ ตรองดูเสียก่อนแล้วค่อยพูด”
โคโรกุแสดงท่าทีว่าเห็นด้วยแต่อารมณ์ยังไม่ดีขึ้น
“ผมคิดว่าทังโงะมีอะไรอยู่ในใจ ที่พูดถึงคนที่น่าจะเป็นฆาตกร หรือพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องงี่เง่านั้นก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเป็นการหาเหตุผลมาแก้ตัวให้ตนเอง ผมดูถูกคนแบบนี้ วานิอาจเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีมารยาท แต่ก็ยังน่ารักตรงที่มีความตรงไปตรงมา ถ้าพูดกันถึงความใจกว้างและเปิดเผยในฐานะที่เป็นนักประพันธ์ ผมว่าทังโงะสู้วานิไม่ได้เลย การเป็นคนที่มีอะไรอยู่ในใจอยู่ตลอด คิดลึกและมองโลกเชิงลบอย่างนั้น มันไม่ใช่คุณสมบัติของคนในวงการวรรณศิลป์ วานิอาจจะเป็นคนพูอะไรแบบขวานผ่าซาก แต่เวลาคิดก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดจริง ๆ และลึกซึ้งด้วยแม้จะไม่แสดงออกมาให้ใคร ๆ เห็น นักประพันธ์ใคร ๆ เขาก็มีแนวคิดเฉพาะตัวกันทั้งนั้นใช่ไหม เมื่อเทียบผลงานของนายวานิกับของทังโงะ ถึงจะดูเรียบง่ายแต่พื้นฐานของแนวคิดนั้นลึกมาก มีมติที่ความกว้างและยิ่งใหญ่ ส่วนของทังโงะนำเสนอแนวคิดในวงแคบ ความคิดแคบและตื้น มีคุณค่าทางวรรณกรรมน้อยมาก ทังโงะ...ที่คุณพูดถึงคนร้ายในคดีฆาตกรรมขึ้นมานั้น ผมฟังแล้วไม่คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นการแก้ตัวให้ตนเอง พูดออกมาตรง ๆ ก็ได้ คุณเป็นคนฆ่านายวานิรึ? ฆ่าคุณทามาโอะรึ? คุณเป็นคนฆ่าใช่ไหม คุณกลัวใคร ๆ จะมองว่าคุณเป็นฆาตกรใช่ไหม ดอกเตอร์โคเซก็อยู่ที่นี่ คุณคงกลัวเขาละซี”
ทังโงะไม่แก้ตัวว่าอย่างไร ยังคงยิ้มเย้ยหยันอยู่อย่างเดิม
พอเดินขึ้นทางลาดเนินมาจนถึงทางถนนของหมู่บ้าน ทังโงะก็เอ่ยขึ้นว่า
“ผมขอตัวก่อนนะ จะเดินเล่นผ่อนอารมณ์แถวนี้ก่อนกลับ”
ว่าแล้วก็เดินแยกไปในทางตรงข้ามกับทางกลับหมู่บ้าน ทางสายนั้นมุ่งไปสู่หมู่บ้านที่มีแหล่งน้ำแร่และมีที่พักแรมอยู่หลังหนึ่ง ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นที่พักแรมแช่น้ำแร่ร้อนแต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักจนขนาดมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพัก ส่วนใหญ่จึงเป็นคล้ายสถานที่แช่น้ำแร่ร้อนสาธารณะของชาวบ้าน
ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแหล่งน้ำแร่แห่งนั้นมีสินค้าเบ็ดเตล็ดและยารักษาโรคขายด้วย
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ
อากิโกะ นักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
ทามาโอะ น้องสาวคาซุมะ
วานิ โมชิซึกิ, ยุมิฮิโกะทังโงะ, อากิระ อุสึมิ แขกรับเชิญของทามาโอะ:
ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะ
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
หลังจบพิธีสวดและผู้มาร่วมพิธีจุดธูปคารวะวิญญาณผู้ตายซึ่งจัดขึ้นในห้องโถงด้านหน้าของคฤหาสน์ คนลากรถก็เข้ามายกโลงศพขึ้นรถออกเดินทางไปยังเชิงตะกอน
พวกผู้ชายอันมีคาซุมะ โมคุเบ โคโรกุ ทังโงะ รวมทั้ง ด็อกเตอร์โคเซ ปิก้า แม้กระทั่งคามิยามะ ฮิโรชิ ทนายความ เดินตามรถลากโลงศพไปยังเชิงตะกอนกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ส่วนอุสึมิ กวีหลังค่อมนั้น พอเดินยันไม้เท้ารูปทรงเหมือนของแม่มดภูเขาจะออกจากประตูบ้าน คุณยายอายากะก็ร้องติงออกมาจากกลุ่มผู้หญิงที่ออกมายืนส่งขบวนศพ
“คุณอุสึมิคงไปกับเขาไม่ไหวหรอก ต้องเกือบสองกิโลเชียวนะ ขอตัวไม่ไปด้วยดีกว่าไหม”
“จริงด้วยค่ะอย่าไปเลย อยู่เป็นเพื่อนพวกเราดีกว่า เหลือแต่ผู้หญิงอย่างนี้รู้สึกวังเวงยังไงไม่รู้”
คุณนายอากิโกะพยักเพยิด
“แหม เจ้าชายหลังค่อม เนื้อหอมจริงนะ” แม่นางชิงุซะกระแนะกระแหนเสียงดังแล้วยิ้มเย้ย ๆ
“ตามพวกเขาไปเถิด ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่คนซื่อบื้อถึงขนาดคิดที่จะอยู่ให้พวกคุณนายโฉมงามย่ำยีเป็นของเล่นหรอก”
ฟังคารมของนางดูเถิด ช่างไร้มารยาทไม่มีความเป็นผู้ดีเสียเลย หรือว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่จิตใจของผู้หญิงขี้ริ้วจะพลอยหยาบกร้านตามหน้าตาไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครพูดอะไรต่ำ ๆ ไม่กระดากปากได้ถึงขนาดนี้ แต่นาย หลังค่อมก็ประหลาดสิ้นดี บอกว่าชอบแม่นางชิงุซะที่การเป็นคนขี้ริ้วไร้การศึกษาไม่มีความรู้ กิริยามารยาทส่อสันดานต่ำช้ากระด้างคำพูดคำจาหยาบกระด้าง นั่นสะท้อนให้เห็นความบิดเบี้ยววิปริตในจิตใจของชายร่างพิการอย่างชัดเจน
อุสึมิหลังค่อมหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี
“ครับ ๆ ผมจะตามเขาไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าไม่ไปส่งศพขึ้นเชิงตะกอนวันนี้สงสัยว่านายวานิจะไม่กลายเป็นเถ้ากระดูกด้วยความสงบสุขแน่” ว่าแล้วก็ออกเดินโขยกเขยกตามหลังขบวนไป โดยมีคุณนายอายากะเดินออกไปส่งถึงนอกประตูใหญ่
เชิงตะกอนที่เผาศพนายวานิ เป็นเนินเตี้ย ๆ อยู่กลางพื้นราบรูปสี่เหลี่ยมพื้นที่ประมาณร้อยตารางเมตร อยู่กลางป่าทึบลึกเข้าไปในภูเขาที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมา มีแต่เสียงนกเขาป่าเพรียกร้องหากัน บนเชิงตะกอนมีไม้ฟืนกองเกียงก่ายเอาไว้แล้ว ข้าง ๆ นั้นมีกระท่อมของคนอยู่เวรเฝ้ายามค่ำคืน
พระสวดศพอีกครั้งหลังตั้งศพบนเชิงตะกอนแล้วจึงจุดไฟเผา ผมอดสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้เมื่อคิดว่าในที่สุดคนหยิ่งผยองเห็นแก่ตัว รูปร่างใหญ่โตทำอำนาจบาตรใหญ่กับคนอื่นอย่างนายวานิต้องกลายเป็นเถ้าถ่านหายไปจากโลกในสภาพเช่นนี้
เย็นมากแล้วเราจึงตกลงใจว่าพรุ่งนี้เช้าจึงจะมาเก็บกระดูกแล้วชวนกันกลับ...หมอกจาง ๆ จากหุบเขาเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ จักจั่นเรไรเริ่มกรีดปีกระงม...นั่นคือบรรยากาศของยามค่ำวันฤดูร้อนในป่าลึกบนภูเขาในฝังอยู่ในความทรงจำของผม แต่ที่แท้วันนั้นยังไม่ถึงช่วงที่จักจั่นเรไรเริ่มกรีดปีก
อุสึมิชายหลังค่อมดูเหนื่อยมากดังคาด ใบหน้าที่ตามปกติไม่ค่อยจะมีสีสันอยู่แล้วตอนนี้ซีดขาวจนเห็นได้ชัด
“นี่แน่ะท่านกวีหลังค่อม ขึ้นนั่งบนรถลากนั่นซิผมจะช่วยเขาเข็นเอง มันเป็นรถเคลื่อนศพขากลับคงจะต้องพาเอาความมงคลกลับไปด้วย คนเราไม่มีอะไรมากำหนดว่าแก่ตายก่อนหนุ่มตายทีหลัง ใครก็ตามที่หายใจทิ้งไปวัน ๆ ไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์จนตายไป ก็เรียกได้ว่าเสียชาติเกิด คุณก็อีกคนอายุยืนยาวมาได้ถึงปูนนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เอ้า...เร็วเข้าขึ้นมา”
“ไม่รู้รึว่าคนพิกลพิการอย่างนี้แหละอายุยืนดีนัก งั้นผมไม่เกรงใจ ขึ้นรถละนะ”
ว่าแล้วกวีหลังค่อมก็ปีนขึ้นไปบนรถลาก ชาวบ้านที่ทำหน้าที่ลากรถพอเห็นผู้โดยสารขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วก็ลากรถเคลื่อนออกจากที่ ปิก้าปราดเข้าช่วยเข็นขึ้นเนินไปตามทางเลียบหุบเขาตามที่ออกปากไว้
กลุ่มพระกับคาซุมะและคามิยามะทนายความเดินนำหน้าตามไป ส่วนผมเกาะกลุ่มรั้งท้ายมีทังโงะ โคโรกุ โมคุเบและ ดอกเตอร์โคเซ
กำลังเดินทอดน่องกันอย่างสบายอารมณ์นั้นอยู่ ๆ นายทังโงะก็มองหน้าเราไปรอบ ๆ ด้วยสายตาแฝงความประชดประชันตามนิสัยก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องคุณทามาโอะจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ผมว่าคนฆ่านายวานิคือคนใดคนหนึ่งสี่คนในกลุ่มนี้ยกเว้นดอกเตอร์โคเซ”
โมคุเบซึ่งเป็นคนสุขุมเยือกเย็นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ส่วนโคโรกุที่เป็นคนตรงเผงจึงขัดใจย้อนถามด้วยเสียงมีอารมณ์
“ทำไมถึงต้องเป็นใครในสี่คนนี้ด้วยฮึ...ใครคนหนึ่งในสี่คนจะเป็นใครกันล่ะถ้าไม่ใช่ตัวคุณเอง พูดขึ้นมาทำไม ผมรู้จักคุณดีว่าเวลาพูดอะไรจะต้องคิดแล้วคิดอีกหลายชั้นหลายเชิงมีกลยุทธ์แยบยลเสมอ ความจริงแล้วคุณเองนั่นแหละที่เป็นฆ่าทั้งนายวานิ และคุณทามาโอะ”
“ผมบอกว่าใครคนหนึ่งในสี่คนนี่”
“เคลียร์ตัวเองให้ได้เสียก่อนจึงจะมาพูดเรื่องคนอื่นดีไหม คุณก็เป็นนักประพันธ์ เราทุกคนอยู่ในวงการวรรณศิลป์กันทั้งนั้น จะพูดอะไรต้องผิดชอบถ้อยคำของตัวเองด้วย เพราะเราไม่ใช่นักสืบ”
นายทังโงะหน้าม้านแต่ก็แค่นหัวเราะเย้ยหยันยิ่งขึ้นอีกเมื่อบอกว่า
“ที่ฉันพูดอย่างนั้นก็เพราะคิดว่าถ้านายวานิถูกหัวขโมยฆ่าชิงทรัพย์ หรือไม่ก็ถ้าคาซุมะเป็นคนฆ่าเพราะนายวานิดูถูกน้องสาวเขาแล้วก็อะไร ๆ ที่ไม่พอใจอีกหลายอย่างก็เลยฆ่านายวานิ แล้วก็พาลฆ่าน้องสาวตัวเองด้วย ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้สูง แต่คุณไม่รู้สึกหรอกหรือว่าเรื่องราวมันจะจืดชืดสิ้นดี เราเป็นนักประพันธ์ไม่ใช่นักสืบดังนั้นเนื้อหาของคดีมันจะต้องมีน้ำมีเนื้อหน่อย ไม่จำเป็นต้องสืบหาความเป็นจริงและจับตัวฆาตกรให้ได้ เหตุการณ์นายวานิถูกฆ่า คุณทามาโอะถูกฆ่าเป็นวัตถุดิบที่น่าสนใจ จูงใจให้ผมอยากลองสร้างฆาตกรขึ้นมาสักคน คุณไม่คิดหรือว่าการใช้วัตถุดิบพวกนั้นสร้างเรื่องราวของใครสักคนที่เป็นไปได้มากว่าเป็นฆาตกรนั้น เป็นเรื่องสนุกแค่ไหนสำหรับนักประพันธ์อย่างเรา ผมรู้สึกเหมือนกับว่าการไล่ล่าฆาตกรงี่เง่าคนนี้ให้จนมุมนั้นเป็นหน้าที่ของเรา หรือคุณว่าไง”
โคโรกุอารมณ์เสียไม่ตอบโต้ด้วย โมคุเบที่นิ่งฟังอยู่ไกล่เกลี่ยการโต้เถียงด้วยเสียงเรียบ ๆ
“คุณจะมาพูดเรื่องวรรณกรรมอะไรกันตอนนี้ เลิกพูดเรื่องงานอาชีพกันดีไหม เรื่องนายวานิก็ดี เรื่องคุณทามาโอะก็ดี มันเป็นที่เกิดขึ้นจริง เรื่องที่เลวร้ายเป็นที่สุด คุณต้องจริงจังนะเพราะคนตายไปตั้งสองคน คิดถึงความจริงในแง่ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และฆาตกรก็คือฆาตกร ไม่ใช่เรื่องงี่เง่าที่คุณจะมองเป็นเรื่องเล่น ๆ ตรองดูเสียก่อนแล้วค่อยพูด”
โคโรกุแสดงท่าทีว่าเห็นด้วยแต่อารมณ์ยังไม่ดีขึ้น
“ผมคิดว่าทังโงะมีอะไรอยู่ในใจ ที่พูดถึงคนที่น่าจะเป็นฆาตกร หรือพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องงี่เง่านั้นก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเป็นการหาเหตุผลมาแก้ตัวให้ตนเอง ผมดูถูกคนแบบนี้ วานิอาจเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีมารยาท แต่ก็ยังน่ารักตรงที่มีความตรงไปตรงมา ถ้าพูดกันถึงความใจกว้างและเปิดเผยในฐานะที่เป็นนักประพันธ์ ผมว่าทังโงะสู้วานิไม่ได้เลย การเป็นคนที่มีอะไรอยู่ในใจอยู่ตลอด คิดลึกและมองโลกเชิงลบอย่างนั้น มันไม่ใช่คุณสมบัติของคนในวงการวรรณศิลป์ วานิอาจจะเป็นคนพูอะไรแบบขวานผ่าซาก แต่เวลาคิดก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดจริง ๆ และลึกซึ้งด้วยแม้จะไม่แสดงออกมาให้ใคร ๆ เห็น นักประพันธ์ใคร ๆ เขาก็มีแนวคิดเฉพาะตัวกันทั้งนั้นใช่ไหม เมื่อเทียบผลงานของนายวานิกับของทังโงะ ถึงจะดูเรียบง่ายแต่พื้นฐานของแนวคิดนั้นลึกมาก มีมติที่ความกว้างและยิ่งใหญ่ ส่วนของทังโงะนำเสนอแนวคิดในวงแคบ ความคิดแคบและตื้น มีคุณค่าทางวรรณกรรมน้อยมาก ทังโงะ...ที่คุณพูดถึงคนร้ายในคดีฆาตกรรมขึ้นมานั้น ผมฟังแล้วไม่คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นการแก้ตัวให้ตนเอง พูดออกมาตรง ๆ ก็ได้ คุณเป็นคนฆ่านายวานิรึ? ฆ่าคุณทามาโอะรึ? คุณเป็นคนฆ่าใช่ไหม คุณกลัวใคร ๆ จะมองว่าคุณเป็นฆาตกรใช่ไหม ดอกเตอร์โคเซก็อยู่ที่นี่ คุณคงกลัวเขาละซี”
ทังโงะไม่แก้ตัวว่าอย่างไร ยังคงยิ้มเย้ยหยันอยู่อย่างเดิม
พอเดินขึ้นทางลาดเนินมาจนถึงทางถนนของหมู่บ้าน ทังโงะก็เอ่ยขึ้นว่า
“ผมขอตัวก่อนนะ จะเดินเล่นผ่อนอารมณ์แถวนี้ก่อนกลับ”
ว่าแล้วก็เดินแยกไปในทางตรงข้ามกับทางกลับหมู่บ้าน ทางสายนั้นมุ่งไปสู่หมู่บ้านที่มีแหล่งน้ำแร่และมีที่พักแรมอยู่หลังหนึ่ง ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นที่พักแรมแช่น้ำแร่ร้อนแต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักจนขนาดมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพัก ส่วนใหญ่จึงเป็นคล้ายสถานที่แช่น้ำแร่ร้อนสาธารณะของชาวบ้าน
ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแหล่งน้ำแร่แห่งนั้นมีสินค้าเบ็ดเตล็ดและยารักษาโรคขายด้วย
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ
อากิโกะ นักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
ทามาโอะ น้องสาวคาซุมะ
วานิ โมชิซึกิ, ยุมิฮิโกะทังโงะ, อากิระ อุสึมิ แขกรับเชิญของทามาโอะ:
ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะ
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ