คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ฉันเกือบจะลืมไปเลยว่าก่อนโชคชะตาจะบันดาลให้ฉันต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉันเคยไปอยู่ญี่ปุ่นราวครึ่งปีมาก่อนในฐานะนักเรียนระยะสั้นด้วยค่ะ ช่วงนั้นเต็มไปด้วยเรื่องสนุกมากมาย ขออนุญาตเล่าเป็นตอน ๆ ต่อกัน อย่าเพิ่งเบื่อแล้วโบกผ้าเช็ดหน้าลาจากกันไปก่อนนะคะ
ตอนนั้นฉันเรียนปริญญาโทที่ไทยและทำวิทยานิพนธ์หัวข้อที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น เลยตั้งใจว่าจะไปญี่ปุ่นสักระยะหนึ่งเพื่อสัมภาษณ์และเก็บข้อมูล แต่ถ้าใช้วีซ่านักท่องเที่ยวก็อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน เกรงว่าจะยังเก็บข้อมูลไม่ทันครบก็ต้องกลับเสียก่อน เลยไปสมัครเข้าโรงเรียนสอนภาษาระยะสั้น ได้วีซ่าระยะเวลา 6 เดือน นับว่าพอเหมาะแก่การเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ และจะได้ทบทวนภาษาญี่ปุ่นไปด้วยในตัว นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ไปอยู่อาศัยในญี่ปุ่น ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมาก แถมยังได้ไปพร้อมกันกับน้องก็เลยยิ่งน่าสนุกขึ้นอีก
โรงเรียนที่ไปเรียนมีนักเรียนคนไทยประมาณสิบคนค่ะ นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นคนจีนและเกาหลีใต้ เพื่อนผู้หญิงคนอื่น ๆ ได้พักหอในซึ่งต้องแบ่งกันใช้ครัวและห้องน้ำ ต่อมาเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่าช่องเก็บผักของตู้เย็นทุกใบเต็มไปด้วยด้วย "กิมจิ" อัดแน่น เปิดตู้เย็นทีหนึ่งก็กลิ่นโชยอลึ่งฉึ่งไปตาม ๆ กัน บ้างก็ว่าคนบางชาติไม่ยอมรักษาความสะอาดของห้องน้ำ แถมอยู่หอก็ต้องคอยระวังไม่ไปเถลไถลข้างนอก จนกลับถึงหอช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
โชคดีที่ฉันกับน้องได้หอนอก แม้จะอยู่ไกลจากโรงเรียนพอสมควรแต่ก็เป็นส่วนตัวดี เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง จะเห็นว่าทางด้านซ้ายเป็นเครื่องซักผ้า ห้องอาบน้ำและห้องน้ำในตัวแบบที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า unit bath ซึ่งแคบขนาดเข้าไปได้แค่สองคน ด้านขวามีอ่างล้างจาน เตาแก๊ส และตู้เย็นขนาดย่อม ถัดจากครัวและห้องน้ำไปเป็นห้องโล่ง ๆ ปูด้วยพื้นไม้ ขนาดประมาณ 2x3 เมตร มีโต๊ะเขียนหนังสือสองโต๊ะ ถัดจากนั้นออกไปด้านนอกเป็นระเบียงเล็ก ๆ สำหรับตากผ้า มุมห้องด้านหนึ่งมีบันไดพาดสำหรับปีนขึ้นชั้นลอย เห็นแล้ววิญญาณลิงก็เข้าสิง อยากไต่บันไดขึ้นไปดูข้างบนทันที
ชั้นลอยนั้นสูงเพียงเมตรเศษ พวกฉันต้องคอยก้มตัว ไม่อย่างนั้นศีรษะจะชนเพดาน แต่พื้นที่ก็ถือว่าไม่แคบนัก ถ้าปูที่นอนก็คงพอนอนได้สามคน มีหน้าต่างเล็ก ๆ พอให้แสงส่องเข้าและมองเห็นข้างนอกได้ ต่อมาภายหลังฉันชอบชั้นลอยนี้มาก มันเป็นเหมือนพื้นที่แห่งความสงบสุข คงเพราะเป็นที่ใช้นอนอย่างเดียว ยิ่งช่วงนั้นมีอะไรทำมากมายจนเหนื่อยทุกวัน พอศีรษะถึงหมอนก็เลยหลับปุ๋ยอย่างสบายอุรา
ฉันกับน้องไปหาซื้อฟูกญี่ปุ่น(ฟุตง)จากร้านดองกี้โฮเตะ ฟูกญี่ปุ่นนี้หลายท่านที่เคยไปพักโรงแรมแบบญี่ปุ่นซึ่งเรียกว่า “เรียวกัง” คงรู้จักดี มันคือฟูกแบบเดียวกับที่โนบิตะปูนอนกลางห้องนั่นเอง พวกฉันไปซื้อเครื่องนอนแบบถูก ๆ มาราคาไม่กี่พันเยน ชุดหนึ่งมีฟูก ผ้าห่ม และหมอนครบ แล้วก็ซื้อปลอกใส่ต่างหากแบบมาเป็นชุดอีกเช่นกัน แม้จะราคาถูกแต่ก็นอนสบายนักแล
หมอนที่มากับชุดเครื่องนอนดูแปลกตาสำหรับฉันในเวลานั้น คือตรงกลางมันเว้าเข้าไปเป็นหลุมสำหรับวางศีรษะ ดูแล้วน่าจะใช้ไม่ถนัด แต่กลับหนุนแล้วนอนสบายดี ส่วนฟูกกับผ้าห่มก็ใช้สะดวก น้ำหนักเบากว่าฟูกและผ้าห่มตามเรียวกัง พอตื่นเช้ามาเราก็พับเป็น 3-4 ทบวางกองไว้ข้างหนึ่ง พอจะนอนก็กางที่นอนออกมา ง่ายและสะดวกดีค่ะ คนญี่ปุ่นที่บ้านมีพื้นที่จำกัดมาก ๆ ก็มักใช้ฟุตงกันแบบนี้ แต่จะมีข้อเสียก็ตรงที่ประเทศญี่ปุ่นชื้นมาก และฟุตงก็มักขึ้นราง่าย ต้องคอยเอาออกไปผึ่งแดดจัด ๆ ซึ่งก็ทุลักทุเลพอสมควรเพราะทั้งใหญ่และหนัก
ยังดีว่าในห้องมีเครื่องซักผ้าให้เลย จึงไม่ต้องเดินออกไปหาเครื่องซักและตู้อบผ้าแบบหยอดเหรียญจากร้านข้างนอก เวลาตากผ้าก็ตากที่ระเบียงได้ หรือถ้าอากาศหนาวเย็น ตากไปก็ไม่แห้ง ก็จะเอาเสื้อผ้ามาใส่ไม้แขวนเสื้อ แขวนไว้กับราวผ้าม่าน หรือบันไดพาด แล้วเปิดเครื่องทำความร้อน (ฮีตเตอร์) ผ้าจะแห้งสนิทดี ไม่อับชื้น
หอนอกอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 30-40 นาทีหากเดินเท้า เราก็เลยซื้อจักรยานกันคนละคันขี่ไปกลับโรงเรียน จักรยานที่ญี่ปุ่นนี้เวลาซื้อต้องลงทะเบียนด้วย ถ้าจำไม่ผิดสมัยนั้นรู้สึกจะเสียค่าลงทะเบียน 500 เยน จ่ายที่ร้านขายจักรยานเลย แล้วเขาจะแปะสติกเกอร์ระบุเลขทะเบียนบนจักรยานให้ พวกเราซื้อจักรยานจากร้านดองกี้โฮเตะ ถ้าต้องการอุปกรณ์ติดจักรยานเพิ่มก็มีขาย แต่ต้องไปติดตั้งเอาเอง เข้าใจว่าถ้าเป็นร้านขายจักรยานโดยเฉพาะน่าจะมีบริการติดตั้งให้ด้วยเลย
ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็คงจะมีเบาะสำหรับที่นั่งซ้อนท้าย และที่วางขาสำหรับคนนั่งซ้อนท้ายจำหน่ายด้วย แต่ที่ญี่ปุ่นห้ามซ้อนจักรยาน จึงไม่มีอุปกรณ์แบบเดียวกันนี้ เว้นแต่จะเป็นจักรยานแม่บ้านที่ให้เด็กนั่งซ้อนท้ายหรือนั่งด้านหน้าคุณแม่ ก็จะมีที่นั่งสำหรับเด็กที่ซื้อมาติดเพิ่มได้ ฉันเคยเห็นแบบเป็นรถลากอย่างในรูปด้านล่างนี้ด้วยค่ะ ดูน่าสนุกจนอยากกลับไปเป็นเด็กขึ้นมาทันที
สำหรับเครื่องครัวก็ต้องซื้อใหม่อีกเหมือนกัน หม้อและกระทะหาซื้อได้ที่ดองกี้โฮเตะ ส่วนจานชาม ช้อนส้อม และแก้วน้ำซื้อจากร้านร้อยเยนเอา เนื่องจากเราอยู่ญี่ปุ่นแค่ระยะสั้น ๆ อย่างไหนประหยัดได้ก็ประหยัด แถมบ้านก็เล็กนิดเดียวเลยไม่ได้ซื้อเครื่องดูดฝุ่น แต่ซื้อไม้ถูพื้นแบบที่ปลายเป็นม้วนกระดาษกาวจากร้านร้อยเยน พอจะทำความสะอาดพื้นก็เอาไม้นี้มาไถพื้นเอา พอฝุ่นติดกระดาษขึ้นมาเยอะจนกาวไม่เหนียวแล้ว ก็ฉีกกระดาษนี้ทิ้งไป กระดาษใหม่ที่มีกาวก็จะโผล่มาใช้ถูพื้นต่อ
กระดาษกาวเป็นม้วน ๆ นี้มีหลายแบบ เหมาะกับประเภทของพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาดต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้หรือพื้นปูพรม พอใช้หมดม้วนก็สามารถซื้อม้วนใหม่มาเสียบกับปลายไม้ถูพื้นอันเดิมได้ นอกจากนี้ยังมีไม้ถูพื้นอีกประเภทที่ปลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ได้ทั้งกับกระดาษเปียกหรือกระดาษแห้งสำหรับถูพื้นโดยเฉพาะ แค่เอากระดาษที่ว่านี้มาติดกับปลายไม้เท่านั้นเอง ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้ที่ไทยก็มีขายแล้ว
ฉันเคยไม่ชอบแบบกระดาษแห้งเพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้ถูบ้านด้วยน้ำให้สะอาดเอี่ยมอ่อง แต่กระดาษแห้งนี้ก็มีข้อดีถ้าใช้แทนเครื่องดูดฝุ่น เพราะมันเป็นกระดาษไมโครไฟเบอร์ซึ่งจับฝุ่นละเอียดได้ดี ปัจจุบันฉันชอบเอากระดาษไมโครไฟเบอร์สำหรับถูพื้นนี้มาใช้แทนไม้ปัดฝุ่น เพราะช่วยให้ฝุ่นไม่ฟุ้งกระจาย แถมยังเช็ดทำความสะอาดได้หมดจดดีกว่าเอาผ้าชุบน้ำเช็ดแล้วมีคราบฝุ่นเกรอะกรังเสียอีกค่ะ
ช่วงนั้นรู้สึกสนุกสนานกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ในประเทศที่เคยใฝ่ฝันอยากมาอยู่อาศัย แม้จะเคยมาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยครั้ง หรือมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระยะสั้น หรือรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านหนังสือวิชาการมามากมาย ก็ไม่เหมือนกับการได้มาอยู่อาศัยเอง การได้เห็นในสิ่งที่เคยรู้มาเกี่ยวกับญี่ปุ่นและได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มเติมผ่านประสบการณ์ตรงนับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่โดยแท้
แล้วจะมาเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้อ่านอีกในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป อย่าลืมติดตามกันนะคะ สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.