xs
xsm
sm
md
lg

คนญี่ปุ่นสมัยก่อนมีสรีระดี ต่างจากปัจจุบันที่เหมือนแมว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว  ครั้งที่แล้วเล่าถึงเหตุผลอย่างหนึ่งที่เป็นเหตุผลข้ออ้างที่คนญี่ปุ่นใช้สำหรับการขอหยุดงาน คือโรคปวดเอวที่เรียกว่าぎっくり腰 Gikkuri goshi หรืออาการปวดเอวจากกระดูกเคลื่อน ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันและทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง  ทางการแพทย์เรียกว่า "อาการปวดหลังปวดเอวเฉียบพลัน" 

ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นน่าจะเป็นโรคเอวเคลื่อนมากกว่าคนไทยเพราะว่าไม่ค่อยได้ยินเพื่อนคนไทยบ่นว่าปวดเอวกันนัก  ผิดกับคนญี่ปุ่น ถ้าใครสังเกตให้ดีอาจจะเคยเห็นว่าคนญี่ปุ่นในบริษัทญี่ปุ่นหลายคนเอามือจับเอวแล้วบอก อุ้ย เจ็บๆ ไม่ว่าจะตอนที่กำลังเดินหรือแม้แต่ตอนนั่งเก้าอี้ก็จะบ่นรู้สึกเจ็บ เจ็บ เจ็บและค่อยๆ เอี้ยวตัวลงนั่ง ซึ่งอาการเจ็บปวดที่ว่านี้ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากๆ  เราจึงไม่อยากเป็นโรคนี้นัก แล้วทำไมคนเราจึงมีอาการเจ็บปวดกระดูกเช่นนี้

ทำไมมนุษย์จึงมีอาการเจ็บปวดอันเนื่องมาจากกระดูกสันหลัง ?  ตอนที่เป็นนักศึกษาในวิชาประวัติศาตร์และวิวัฒนาการมนุษย์อาจารย์เคยสอนไว้ว่า   มองย้อนกลับไปในอดีตกาลยุคเริ่มต้นของวิวัฒนาการมนุษย์ ตั้งแต่มีวิวัฒนาการเริ่มเดินด้วยสองเท้านั่นเอง  ก่อนนั้นคนเรามีวิวัฒนาการมาจากสายพันธ์ลิงชิมแปนซี ก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับการเดินสี่เท้าหรือการปีนต้นไม้ และมีวิวัฒนาการทางสมองมากขึ้น มีเนื้อสมองเพิ่มขึ้นทำให้มีลักษณะของศีรษะที่ใหญ่ขึ้น รูปทรงสรีระร่างกายเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้มีบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างลิงชิมแปนซีและมนุษย์ การเดินด้วยสองเท้าเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์เผ่า พันธ์ดั้งเดิมที่เป็นสายพันธุ์ของมนุษย์  หรือมนุษย์สกุลโฮโม ที่ใช้เครื่องมือหิน และมีการปรับตัวต่างๆ ของสายพันธุ์มนุษย์เช่น การขยายขนาดของสมอง และพัฒนาต่อๆ มามีปริมาตรกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของลิงชิมแปนซี  การขยายขนาดของสมองเช่นนี้เทียบเท่ากับมีเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น  และเริ่มใช้เครื่องมือหินที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น  ต่อมาก็มีวิวัฒนาการของมนุษย์โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงยีน จนทำให้มีความแตกต่างทั้งทางด้าน ทางกายภาพ (เช่นสัณฐานของอวัยวะต่าง ๆ) , ทางสรีรภาพ เช่นระบบการทำงานของร่างกาย, ทางพฤติกรรม เป็นต้น และมีโรคที่เกี่ยวกับกายภาพ สรีระและพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามมานั่นเอง

ตอนที่ผมเรียนมัธยมมีอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลกพูดว่า " เมื่อคนมีวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ที่เดินสองเท้าขึ้นมาแล้ว โรคที่จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอนคือ อาการเจ็บกระดูกช่วงเอวและโรคเกี่ยวกับบั้นทาย เช่น ริดสีดวงทวาร " เพราะมีสรีระที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ถ้าเปรียบเทียบกับสรีระของสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น แมวนะครับ  เพราะว่าแมวมีกระดูกสันหลังที่ยาวแนวขนานพื้น ต่อเชื่อมกับทวารและต่อเชื่อมไปถึงหาง ทั้งหมดไปในทิศทางเดียวกันและเชื่อมต่อกับกระเพาะอาหารลำไส้ และมีการเดินในแนวนอน  แต่ว่าในขณะเดียวกันเมื่อสรีระของคนเราไม่มีหางแล้วและมีการทรงตัวในแนวตั้ง ซึ่งทำให้ระบบต่างๆ ผิดปกติไปจากเก่าก่อน และส่งผลให้เป็นไปได้ว่าจะเกิดโรคเกี่ยวกับทวารหนักได้นั่นเอง

เคยเห็นคนที่เดินหลังค่อมๆ แบบญี่ปุ่นรุ่นปัจจุบันไหมครับ  มีคนบอกว่าเดินแบบ Nekoze 猫背(ねこぜ)と猫の言ったら、猫に失礼!(ΦωΦ`) คำนี้แปลว่า บุคคลที่มีลักษณะหลังโก่งแล้วท้องโย นอกจากบุคลิกจะไม่ดีแล้ว การนั่งหลังค่อม เดินหลังค่อม ยังทำให้กระดูกสันหลังงอ ยิ่งถ้าอยู่ท่าเดิมไปนานๆ โดยไม่ขยับเลย จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดอาการคั่งของกรดแล็คติค จนมีอาการเมื่อยล้าตลอดเวลา และกระดูกคดงอผิดรูปถาวรได้  คนญี่ปุ่นหลายคนมีบุคคลิกแบบนี้นะครับ อาการลักษณะนี้อาจจะเกิดมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เกิดมาจากพฤติกรรมการทำงานในออฟฟิศ และการใช้ชีวิตในประจำวันซึ่งหลายคนเรียกว่า หลังแอ่นเหมือนแมว 猫背 Nekoze แต่จริงๆ แล้ว อาจารย์บอกว่าไม่ควรจะบอกว่าเป็น 猫背 Nekoze นะเพราะว่าบางครั้งแมวเองก็พยามที่จะนอนหงายเพื่อออกกำลังกายและไม่อยากให้กระดูกตัวเองเป็นแบบนั้น  แมวก็ไม่ได้อยากเป็นตามลักษณะที่คนไปว่า คือไม่ควรโทษแมวนั่นเอง

กลับมาที่อาการที่เรียกว่าปวดเอวจากกระดูกเคลื่อนนั้น เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและถ้าเป็นขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ง่ายๆ จะปวดอยู่เป็นประจำ  อาการที่ว่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนแก่เท่านั้นเด็กๆ และคนทั่วไปก็สามารถเป็นได้  อายุ 10 กว่าขวบก็สามารถเป็นได้เช่นกัน มีคนแนะนำว่ามีวิธีแก้ไขอยู่โดยใช้วิธี カイロプラクティック chiropractic ผมเคยเรียนกับอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับวิชาที่ว่าด้วย カイロプラクティック chiropractic ตอนเรียนมหาวิทยาลัยครับ  อาจารย์ที่สอนวิชานี้ท่านก็จบมหาวิทยาลัยเดียวกับผมและท่านก็เป็นคุณครูที่มาสอนเกี่ยวกับวิชาจัดกระดูกที่ให้ข้อมูลและความรู้ดีมากๆ  ซึ่งท่านก็เปิดคลีนิคอยู่และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องกระดูกมากคนหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย

ซึ่งอาจารย์มักจะสอนพวกผมในคลาสที่เรียนหนังสือว่าด้วยความสำคัญของรูปร่าง สรีระและรูปทรงของมนุษย์และการดูแลให้เกิดสุขภาพและพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ท่านยังบอกว่าวิชานี้วิชาที่ท่านสอนนั้นเป็นวิชาที่ได้รับความสนใจจากนักเรียนนักศึกษาเป็นอย่างมาก  สอนมาแล้วมากกว่า 22 ปีซึ่งตอนที่ผมเรียนอยู่นั้นท่านก็อายุ70 กว่าปีแล้วยังแข็งแรง ตัวตรงสรีระดีมาก  ถึงตอนนี้ท่านก็คงจะเกือบ 90 ปีแล้วละครับยังเปิดคลีนิคอยู่ที่ชิบูย่าเหมือนเดิม
 
สิ่งที่ท่านสอน เช่น ท่านสอนอยู่เสมอว่าให้ทุกคนตั้งเป้าหมายเอาไว้เลยว่า " ต่อให้ถึงวันที่เราจะหมดลมหายใจเราจะไม่ทำพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเราเตี้ยลง  แม้แต่ 1 เซนติเมตรก็ไม่ได้"  วิธีหนึ่งที่จะเช็คว่าตัวเราเตี้ยลงหรือเปล่าก็คือ ยืนให้ชิดกำแพงหรือผนังห้องให้มากที่สุดในแนวตรงขนานไปกับกำแพงหรือผนัง ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศรีษะและทำให้ตัวชิดกับกำแพงหรือผนังให้ได้ ถ้าเราสามารถทำได้อยู่เสมอก็จะถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย กระดูกยังปกติ  แต่ว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะทำตัวให้ชิดกับกำแพงหรือผนังได้นั่นก็หมายความว่า เราเริ่มที่จะมีความเสื่อมทางกระดูกเกิดขึ้นแล้ว

อาจารย์บอกว่า สมัยก่อนที่จะเกิดสงครามโลกนั้นการศึกษาของญี่ปุ่นจะมุ่งเน้นเรื่องของสรีระร่างกายอยู่พอสมควร การอ่านหนังสือก็จะต้องห่างจากสายตามากกว่า 30 เซนติเมตรและมีการวัดลักษณะของกระดูกเพื่อให้ตรงและถูกสัดส่วนความสมดุลร่างกาย แต่ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ไม่มีการควบคุมและสอนแบบเหมือนเดิม  ซึ่งผมก็เห็นด้วยเพราะว่าสมัยตอนที่ผมทำงานนั้นเคยมีลูกค้าที่มาที่ออฟฟิศ อายุประมาณ 80- 90 ปี ท่านมีลักษณะร่างกายที่ตรงและยังดูดีและแข็งแรงอยู่มาก ไม่เหมือนคนสมัยนี้
 
ตอนที่เรียนอาจารย์ให้ทำแบบสอบถาม โดยให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ตอนนี้ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างไร เพราะว่าการใช้ชีวิตประจำวันตอนนี้มีผลกับโครงสร้างของกระดูกทั้งสิ้น บางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่า การที่เรานั่งไขว่ห้างจะทำให้เกิดโรคท้องเสียได้ ซึ่งบางคนไปหาหมอแต่ไม่ทราบว่าที่ท้องเสียนั้นเกิดจากโครงสร้างทางกระดูก  นอกจากนั้นอาจารย์ยังสมมุตตัวอย่างให้ฟังว่า แค่เราเดินและหรือเราใส่กางเกงแบบเดิมทุกวันๆ ก็ส่งผลต่อกระดูกได้ คือคนที่ถนัดขวาก็จะยกขาขวาขึ้นก่อน คนที่ถนัดซ้ายก็จะยกขาซ้ายขึ้นก่อนซึ่งทำอย่างนี้ไป 365 วันในหนึ่งปี คิดว่ามีผลต่อกระดูกและร่างกายหรือเปล่า  ตอบได้เลยว่ามีผล  ดังนั้นเนี่ยถ้าเรายกขาขวาอยู่ทุกวันๆ กระดูกจะเคลื่อนไปทางซ้ายมากกว่า ดังนั้นเราควรจะมีการบริหารโดยการยกแขนข้างตรงข้าม เบี่ยงตัวด้านตรงข้ามบ้างให้สลับกันไป เพื่อให้เกิดความสมดุลของโครงกระดูก ให้ร่างกายได้มีการจัดทรงอย่างสมดุล

นอกจากนี้ท่านก็เตือนว่า  แม้ว่ากีฬาจะเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพแต่การเล่นกีฬาบางชนิดก็มีผลกระทบต่อโครงสร้างกระดูกได้เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าเราเล่นในท่านั้นนั้นนานเกินไป จนทำให้เราลืมและละเลยความบาลานซ์ของกระดูก ดังนั้นเรื่องนี้เราก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษอยู่เหมือนกัน
 
อาจารย์สอนมาหลายเรื่องแต่ว่ามีเรื่องที่สามารถสรุปง่ายๆ เป็นแนวทางให้เราเข้าใจและทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน คือ
 
1. ไม่ควรนั่งไขว่ห้างไม่ว่าจะข้างใดข้างหนึ่งหรือสลับข้างใดข้างหนึ่ง  พฤติกรรมอันตรายที่ทำร้ายกระดูกสันหลังอีกอย่างหนึ่งและทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ และเอวได้ เมื่อเราลงน้ำหนักไปที่ขาและเท้าข้างใดข้างหนึ่งนานๆ ทำให้การหมุนเวียนโลหิตบริเวณขาได้ดี และมีผลทำให้กล้ามเนื้อสะโพก เอว หลัง ตึง กระดูกผิดรูปและไม่สมดุล และเส้นประสาททำงานผิดปกติ
 
 
2. ไม่ควรสูบบุหรี่เพราะไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงนำไปสู่ภาวะโรคมากมาย อาทิ เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร เสี่ยงหลอดเลือดสมองตีบ และอันตรายถึงชีวิต
 
3. เพื่อไม่ให้มวลกระดูกของร่างกายเสื่อมลง หรือร่างกายเตี้ยลง ต้องระมัดระวังวิธีการเดินนั่งในวิถีชีวิตประจำวัน ต้องทำให้ถูกวิธี คือยืดตัวให้ตรง ไม่เดินก้มหน้า เวลานั่งก็ควรนั่งด้วยท่านั่งธรรมดา ขาปล่อยตรงตามสบายทั้งสองข้าง หลังติดเบาะเก้าอี้ ปรับความสูง-ต่ำของเก้าอี้ และโต๊ะทำงานให้เหมาะสม  อย่านั่งท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เกินไป ให้ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

4. ถ้าให้เลือกระหว่างการนั่งที่พื้น กับการนั่งที่เก้าอี้ ควรจะเลือกการนั่งที่เก้าอี้มากกว่าเพราะว่าการนั่งที่พื้นจะทำให้หลังคดได้
 
5. ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพสรีระ และไม่หักโหมเกินไป บางครั้งเราเห็นการออกกำลังกายแบบฝรั่ง  เห็นฝรั่งออกกำลังกาย อยากทำตามบ้างแต่บางท่าก็อาจจะไม่เหมาะกับโครงสร้างสรีระสรีระของชาวเอเซีย จึงต้องปรับให้เหมาะสมกับตนเอง
 
สุขภาพที่ดีใคร ๆ ก็อยากมีใช่ไหมครับ สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และการดูแลสุขภาพจึงถือว่าจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน เพื่อช่วยให้คนเรานั้นมีอายุยืนปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายได้  การเอาใจใส่สุขภาพทำได้ในชีวิตประจำวันครับ มาดูแลสุขภาพกันครับ วันนี้สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น