สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเราจะเริ่มตะหนักว่าอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในชีวิตคนเราก็คือเรื่องสุขภาพใช่ไหมครับ แม้แต่คนที่ทำงานในออฟฟิศก็ยังมีหลายๆ โรคเกิดขึ้นได้ มีเพื่อนผมหลายคนเลยที่บ่นว่าเขาเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม โรคนี้ก็น่ากลัวนะครับ คิดว่าเพื่อนๆ น่าจะพอรู้จักโรคนี้มาบ้างแล้ว
โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) นั้นเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ ที่มักจะทำงานที่มีลักษณะงานที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลให้เกิดโรคและอาการต่างๆ ต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น อาจจะส่งผลต่อระบบกระดูก และกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหาร หรือส่งผลต่อการมองเห็น เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่จะเกิดกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อมากที่สุด อาการที่จะพบได้บ่อยๆ เช่น ปวดตึงที่คอและบ่า จนลามไปถึงศีรษะอาจมึนและปวดร้าวศีรษะ หรือมีอาการชาลงมาที่แขนได้ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมาก
สำหรับข้อแนะนำเพื่อบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมนั้นก็เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ หาเวลาออกกำลังกายแบบไม่หักโหม ไม่ยกของหนักไม่หักโหมทำงานมากเกินไป หาเวลาไปนวดผ่อนคลายบ้าง แต่ต้องระวังถ้านวดผิดก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบมากกว่าเดิม หรืออาจใช้ลูกกลิ้งนวดโดยให้กลิ้งนวดบริเวณที่รู้สึกปวด และรับประทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น อาหารจำพวกน้ำมันปลา เพราะอาหารพวกนี้ลดการอักเสบช่วยระบบการต่อต้านการอักเสบของร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้นครับ แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญคือ“การป้องกันดีกว่าการรักษา” เราควรป้องกันร่างกายของเราไม่ให้บาดเจ็บเสียหาย ยิ่งหากเป็นบริเวณหลังและเอวแล้วเราต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษเพราะเป็นส่วนของกระดูกสันหลังที่สำคัญต่ออวัยวะส่วนอื่นในร่างกายเป็นอย่างมาก หากมีอาการปวดมากผิดปกติหรือปวดบ่อยๆ จนทนไม่ไหวก็ควรปรึกษาแพทย์ แต่พูดเหมือนจะทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าเราต้องกลับไปสู่สภาพการทำงานแบบเดิมๆ เราก็หลีกเลี่ยงยากใช่ไหม
ตอนที่ผมเป็นเด็กนักศึกษาอายุสัก 18 -19 ปี มีผู้ชายวัยทำงานคนหนึ่งพูดให้พวกผมฟังว่า พวกเด็กๆ ไม่เคยมีความคิดว่า “ รู้แบบนี้เล่นให้มากกว่าเดิมดีกว่า หรือรู้แบบนี้เรียนรู้ให้มากกว่าเดิมดีกว่า” คือเด็กๆ ไม่เคยคิดว่าตอนที่ตัวเองยังเรียนหนังสืออยู่นั้น การที่เป็นนักเรียนต้องเรียนให้มาก ต้องเล่นสนุกให้มาก ต้องพักผ่อนให้มาก ผมเองในตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ผมก็ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะต้องเล่นและพักผ่อนให้มาก ต้องรีบขวนขวายหาความรู้ให้มาก ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกของผู้ใหญ่เป็นยังไงทำไมเขาพูดแบบนี้ แต่เมื่อตัวเองเติบโตขึ้นและมองย้อนกลับไปตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกตอนนั้นที่ผู้ใหญ่คนนั้นพูดออกมาหมายความว่าอย่างไร
ปกติแล้วหลายๆ โรงเรียนมัธยมศึกษาของญี่ปุ่นจะมีวิชา Art หรือศิลปะและจะมีแขนงวิชาให้เลือกเรียนวิชาใดก็ได้ที่ตัวเองชอบในสามวิชาคือวิชาการวาดภาพ , วิชาดนตรี, และวิชาการเขียนอักษรภาษาญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เขาจะเลือกเรียนวาดรูปกันครับแต่ว่าผมเลือกเรียนวิชาดนตรี ซึ่งก็จะมีการเรียนเกี่ยวกับดนตรีต่างๆ รวมทั้งการเรียนเกี่ยวกับหลักการฮาร์โมนี่ 和声 harmony การประสานเสียง ในวันที่จบการศึกษาคุณครูที่สอนดนตรีบอกว่าพวกเธอคิดใช่ไหมว่า เรียนอะไรก็ไม่รู้ ตัวโน้ตตัวอักษรเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ไม่มีความหมาย?!! แต่ครูจะบอกไว้ให้นะว่า "เมื่อพวกเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและเมื่อเธอมีครอบครัวหรือมีคนที่เธอต้องให้ความรู้และอบรมสั่งสอนเขา หรือเธอได้ทำงานในตำแหน่งที่อยู่ในระดับผู้บริหารหรือผู้ที่ต้องชี้แนะสั่งการลูกน้องเธอควรจะมีความรู้หลากหลายและมีความรู้มากมายในหลายหลายแขนง เธอจะเข้าใจเมื่อถึงวันนั้น"
เมื่อผมโตขึ้นสิ่งที่ผู้ใหญ่และคุณครูได้สอนมามันก็เป็นจริงตามนั้นเช่นคำสอนของคุณครูที่สอนวิชาดนตรี แต่มีอีกคนที่สอนผมมาและเขาพูดถูกมากและตรงใจผมที่สุดคือ คำสอนจากคุณครูผู้สอนวิชากระดูก คุณครูหลายคนที่เคยบอกไว้ตอนช่วงที่ผมเรียนมัธยมก็มีส่วนที่ถูกบ้างแต่คุณครูที่สอนวิชากระดูกตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยนั้นเขาพูดได้ตรงทุกข้อเลยโดยเฉพาะโรคที่คนญี่ปุ่นเป็นกันมากที่สุดก็คือปวดเอว ซึ่งเป็นอาการของโรคที่เจอเยอะมากมีผู้ป่วยประเภทนี้เยอะมาก เทียบเคียงคล้ายๆ โรคออฟฟิศซินโดรมเหมือนกัน แต่มันสามารถเกิดได้แบบกะทันหันด้วย
คนป่วยเมื่อไปทำงานไม่ได้ก็ต้องขอลาหยุดงานใช่ไหมครับ เรื่องการขอหยุดงานมีหลายเรื่องที่คนญี่ปุ่นทั้งที่ทำงานที่เมืองไทยและที่ญี่ปุ่นใช้เหตุผลการลาหยุดงานที่แตกต่างกับคนไทย อาจจะเป็นเรื่องของความต่างทางวัฒนธรรมก็ได้ จากที่ได้ยินเพื่อนๆ เล่าว่า คนไทยขอลาหยุดงานด้วยเหตุผลที่ว่า ปวดท้องไม่สามารถมาทำงานได้ ซึ่งถ้าบอกหัวหน้าว่าปวดท้องนี่ คนญี่ปุ่นฟังแล้วตกใจมากว่าสามารถขอลาหยุดงานด้วยเหตุผลนี้ได้ด้วยหรอ เพราะส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะไม่สามารถใช้เหตุผลว่าปวดท้อง ปวดหัวเพื่อขอลาหยุดงานได้ แต่อาจจะต้องอ้างอิงโดยใช้เหตุผลอื่นๆ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าขอหัวหน้าหยุดงานโดยบอกว่าท้องเสีย ทำให้ไม่สามารถมาทำงานได้นั้น อาจโดนขเม่นนิดหน่อย ความจริงเขาอาจจะท้องเสียจริงๆ ก็ได้เพราะกรณีที่คนญี่ปุ่นที่ทำงานประจำที่สาขาต่างประเทศและอาจจะทานอาหารที่มีรสเผ็ดมากหรือว่าอาหารที่ผิดจากธาตุของตนก็เป็นไปได้จริงๆ ว่าทำให้เกิดอาการท้องเสียก็ได้ และอาจจะขอหยุดงานก็ได้เพราะไม่ไหวจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นคนนั้นก็จะรู้ตัวมาก่อนว่าในวันรุ่งขึ้นตัวเองจะต้องมีประชุมหรือเปล่าหรือจะต้องไปพบลูกค้า เค้าก็จะไม่ทานอาหารที่อาจจะทำส่งผลให้เกิดท้องเสีย กลับกันคนญี่ปุ่นจะมีเหตุผลที่เป็นข้ออ้างสำหรับการขอหยุดงานโดยอ้างว่าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับเอวที่เรียกว่าぎっくり腰 Gikkuri goshi
ぎっくり腰Gikkuri goshi อาการที่เรียกว่าปวดเอวจากกระดูกเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงทางการแพทย์เรียกว่า "อาการปวดหลังปวดเอวเฉียบพลัน" สาเหตุของปวดเอวจากกระดูกเคลื่อนเป็นปัญหาของกระดูกอ่อนรอบกล้ามเนื้อกระดูกสันหลังเคลื่อนหรืออักเสบจะเกิดขึ้นเมื่อยกของหนัก การยืน เดิน นอน นั่งผิดท่าหรือแม้แต่ไอจามแรงๆ สามารถเกิดขึ้นกับทุกคน และการดำเนินชีวิตปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน และอาจจะเกิดปวดจนเรื้อรังเป็นขั้นสูง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการป้องกันรวมถึงมาตรการรองรับอย่างถูกต้อง
บางคนพูดว่าอาการปวดเอวประเภทนี้คือ 魔女の一撃 Majo no ichigeki,Hexenschuss เล่ากันมาเล่นๆ ว่ามันปวดมากเหมือนมีแม่มดขี่ไม่กวาดมาถีบจนทำให้กระดูกเคลื่อน เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณประมาณว่าเจ็บมาก อาจจะเรียกว่าเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นเองในบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว อาการปวดช่วงเอวนี้อาจจะมีอาการปวดหรือไม่สบายบริเวณท้องด้านบนหลังหรือด้านข้างด้วย โดยจะเกิดอาการปวดตรงใต้ซี่โครงและเหนือกระดูกเชิงกรานและมักเกิดอาการปวดที่หลังส่วนล่าง ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดทื่อๆ หรือปวดอย่างรุนแรงซึ่งอาการดังกล่าวนี้ อาจเกิดขึ้นที่เดียวหรือลามไปส่วนอื่นตามร่างกายก็ได้ซึ่งอาการจะเป็นๆ หายๆ มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมาก
อาการที่เรียกว่าปวดเอวจากกระดูกเคลื่อนนั้นเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและถ้าเป็นขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ แล้วจะเกิดปวดอยู่เป็นประจำ แต่มีวิธีการป้องกันเช่นเดียวกับการป้องกันโรคหวัด คือพยายามอย่าให้เป็นหวัด แต่ถ้าเป็นหวัดแล้วยังไงก็ต้องเป็นต้องหาทางรักษากันไป ซึ่งโรคที่ว่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนแก่เท่านั้น เด็กๆ และคนทั่วไปก็สามารถเป็นได้ อายุ10 กว่าขวบก็สามารถเป็นได้เช่นกัน บางคนแนะนำว่ามีวิธีแก้ไขอยู่นะเช่น ใช้วิธีカイロプラクティック chiropractic
ผมเคยเรียนวิชา カイロプラクティック chiropractic อาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับカイロプラクティック chiropractic ท่านก็จบมหาวิทยาลัยเดียวกับผมและท่านก็เป็นคุณครูที่มาสอนเกี่ยวกับวิชาจัดกระดูกที่ให้ข้อมูลและความรู้ดีมาก ซึ่งท่านก็เปิดคลีนิคอยู่และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องกระดูกมาก แต่คลีนิคประเภทนี้ไม่สามารถใช้ประกันสุขภาพใดๆ ที่พอจะเอามาเป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายทำให้ค่ารักษาแพงมากแต่ด้วยความที่ผมเรียนกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเมื่อจบคอร์สในแต่ละวันเขาก็จะมาตรวจดูกระดูกและโครงกระดูกสันหลังให้กับนักเรียนและช่วยแก้บางจุดให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากดีมากที่สุดในการเรียนเลยก็ว่าได้ และผมคิดว่าเป็นวิชาที่ดีที่สุดและเป็นความคุ้มค่าที่สุดที่ผมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ ปกติแล้วที่มหาวิทยาลัยผมจะมีหนังสือที่ทั้งศิษย์เก่าและนักศึกษารวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับวิชาที่ถูกแนะนำให้เรียนและหนังสือที่สมควรซื้อซึ่งสำหรับผมเองผมก็ได้มีการแนะนำว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เยี่ยมมากถ้าใครสามารถไปเรียนได้ต้องเรียนให้ได้
カイロプラクティック Chiropractic ที่จริงเป็นศาสตร์ที่มีมามานแล้วเริ่มแพร่หลายได้รับความนิยมในหลายประเทศ อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสตร์แห่งการจัดกระดูกมีหลักการคือ"เชื่อว่าโดยธรรมชาติของร่างกายจะสามารถมีกลไกที่ทำร่างกายหายจากการเจ็บป่วยต่างๆ เช่นปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดคอ ปวดหลัง ข้อเสื่อมเอ็นอักเสบภูมิแพ้ หอบหืด ระบบย่อยอาหารโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ศาสตร์นี้จะสนใจกลไกทางชีวะ biomechanics โครงสร้างและหน้าที่ของกระดูกสันหลังที่มีผลต่อกล้ามเนื้อระบบประสาท" ผู้ที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางนี้ต้องผ่านการเรียนตามหลักสูตรจากสถาบันที่ได้รับการรับรองอย่างเข้มงวดและสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพและหลายประเทศเชื่อว่าการรักษาโรค เช่นอาการปวดหลัง หรือปวดเอวด้วยวิธี chilopractic นั้นปลอดภัยและคุ้มค่าเงินที่สุดด้วยครับ
ซึ่งจะมีแนวทางรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังเคลื่อน เพื่อช่วยแก้ไขบรรเทาทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อไม่เกิดการหดเกร็ง การจัดกระดูกเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีโดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก การจัดจะทำโดยการใช้มือกดบริเวณที่มีการเคลื่อนของกระดูกเมื่อกระดูกเข้าที่ดีก็จะลดอาการเจ็บปวดการอักเสบลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้หายปวดได้ครับ ซึ่งจะพูดไปแล้วมันเหมือนเป็นวิชาที่เป็นเทคนิคและไม่ค่อยมีสอน จะไปคลินิกก็แพงมาก จะซื้อหนังสือก็ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่ไว้โอกาสหน้า ผมจะสรุปข้อแนะนำจากหนังสือมาเล่าให้ฟังครับ เราต้องป้องกันและดูแลสุขภาพตัวเองมากๆ นะครับวันนี้สวัสดีครับ