xs
xsm
sm
md
lg

ขนบคลายร้อนของญี่ปุ่นด้วยเรื่องผี : โฮอิจิไร้หู (1)

เผยแพร่:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


เกริ่นนำ

ตอนนี้ญี่ปุ่นร้อนมาก ถึงขั้นร้อนจนตาย...มีผู้เสียชีวิตไปหลายคนแล้วในปีนี้เพราะร้อนจัด คนในประเทศนี้คงต้องทนร้อนกันไปอีกประมาณเดือนกว่า ความร้อนจึงจะคลายหายไปและเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

จากกลวิธีคลายร้อนของคนญี่ปุ่นที่มีมาแต่โบราณ “ญี่ปุ่นมุมลึก” รับขนบนั้นมาด้วย โดยเล่าเรื่องผีมาแล้วหลายเรื่อง ในปีนี้ก็อีกเช่นกัน เรื่องที่เลือกมาคือ “Mimi-nashi Hoichi” หรือ “โฮอิจิไร้หู” ซึ่งเป็นเรื่องดังเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น ประพันธ์โดยยากูโมะ โคอิซูมิ หรือ ลาฟคาดิโอ เฮิร์น (1850-1904) ชาวตะวันตกที่กลายเป็นคนญี่ปุ่น และเป็นผู้เผยแพร่เรื่องสยองขวัญของญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษให้ทั่วโลกได้รู้จักเป็นคนแรก ๆ

โฮอิจิไร้หู : ผีเฮเกะ


เจ็ดร้อยกว่าปีก่อน ณ ดันโนอูระในแถบช่องแคบชิโมโนเซกิ ตระกูลเฮเกะหรือไทระ กับตระกูลเก็นจิหรือมินาโมโตะ สู้รบกันครั้งสุดท้าย มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน นักรบฝ่ายเฮเกะฝ่ายแพ้ราบคาบ และถูกปลิดชีพ รวมทั้งพวกผู้หญิงกับเด็กและจักรพรรดิวัยทารกซึ่งตอนนี้เป็นที่จดจำในนามจักรพรรดิอันโตกุด้วย

จากนั้นมา ท้องทะเลกับชายหาดแถบนั้นก็ถูกหลอกหลอนตลอดเจ็ดร้อยปี ข้าพเจ้าเคยเล่าถึงปูประหลาดที่พบเจอที่นั่นมาแล้ว ปูพวกนั้นเรียกว่า “ปูเฮเกะ” มันมีหน้าคนปรากฏอยู่บนกระดอง ว่ากันว่านั่นคือเหล่าวิญญาณของพวกนักรบเฮเกะ และมีเรื่องพิลึกพิลั่นมากมายปรากฏให้เห็นให้ได้ยินตามแนวชายฝั่ง ยามค่ำคืนภูตผีหลายพันตนจะล่องลอยเรืองแสงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวชายหาด หรือโผล่วูบวาบอยู่เหนือคลื่น ปรากฏเป็นแสงซีด ๆ ซึ่งเหล่าชาวประมงเรียกว่า “โอนิ-บิ” หรือ “แสงไฟปีศาจ” เมื่อใดก็ตามที่ลมโหมกระพือ จะได้ยินเสียงร้องตะโกนลั่นมาจากทะเล ราวกับเสียงโหวกเหวกยามรบพุ่ง

ในช่วงหลายร้อยปี พวกผีเฮเกะอยู่ไม่สุขมากกว่าตอนนี้ ยามกลางคืนจะพากันโผล่มาหลอกหลอนเรือที่ผ่านไปผ่านมาและพยายามจมเรือ อีกทั้งคอยเฝ้าจับตามองคนที่มาว่ายน้ำและดึงขาลงสู่เบื้องล่าง จนกระทั่งได้มีการสร้างวัดอามิดาจิที่อากามางาเซกิเพื่ออุทิศให้ภูตผีเหล่านี้ ถึงได้สงบลงบ้าง ที่ใกล้ ๆ กันนั้นก็สร้างสุสานไว้ด้วยโดยอยู่ใกล้ชายหาด ภายในบริเวณมีรูปสลักที่สร้างและจารึกชื่อจักรพรรดิกับข้าราชบริพารศักดินาที่จมน้ำตาย มีการทำพิธีพุทธเป็นประจำที่นั่นเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ดวงวิญญาณของคนเหล่านั้น หลังจากสร้างวัดแล้ว ก็สร้างหลุมศพ พวกผีเฮเกะจึงหลอกหลอนน้อยลง แต่ก็ยังคงก่อเรื่องแปลกประหลาดเป็นระยะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังไม่ไปสู่สุคติอย่างสมบูรณ์

เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีชายตาบอดคนหนึ่งชื่อโฮอิจิ อาศัยอยู่ที่อากามางาเซกิ ชายผู้นี้โด่งดังด้วยทักษะการขับลำนำเล่าเรื่องประกอบการบรรเลงพิณบิวะ ตั้งแต่เด็ก ๆ มาแล้ว เขาผ่านการฝึกฝนให้เล่าเรื่องประกอบการบรรเลงดนตรี และแม้ยังอยู่ในวัยเยาว์ แต่ก็ทำได้ดีกว่าเหล่าอาจารย์ของตน โฮอิจิกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในฐานะผู้บรรเลงบิวะมืออาชีพ หลัก ๆ แล้วเพราะการพรรณนาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเฮเกะกับเก็นจิประกอบเพลง และว่ากันว่าเมื่อเขาขับลำนำการสู้รบแห่งดันโนอูระ แม้แต่ภูตผีก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

ในช่วงที่เริ่มต้นอาชีพนี้ใหม่ ๆ โฮอิจิยากจนข้นแค้น แต่เขาได้เพื่อนดีที่คอยให้ความช่วยเหลือ พระประจำวัดอามิดาจิชื่นชอบบทกลอนและดนตรี จึงเชื้อเชิญโฮอิจิไปที่วัดอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้ขับลำนำเล่าเรื่องราวประกอบดนตรี ต่อมาเมื่อพระรูปนั้นประทับใจทักษะยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก จึงเสนอให้โฮอิจิมาอยู่ที่วัดเสียเลย ทางโฮอิจิยอมรับข้อเสนอด้วยความซาบซึ้ง และได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในห้องห้องหนึ่งของวัด โดยต้องบรรเลงดนตรีในตอนเย็นของบางวันเพื่อแลกกับอาหารที่อยู่ ส่วนเวลาอื่นก็ทำอะไรได้อย่างอิสระ

คืนหนึ่งในฤดูร้อน มีคนนิมนต์พระไปทำพิธีทางพุทธที่บ้านเพราะมีคนตาย ครอบครัวนี้อยู่ในละแวกวัด พระรูปนั้นไปกับผู้ติดตามของตน ในวัดจึงเหลือโฮอิจิคนเดียว คืนนั้นอากาศร้อน ชายตาบอดโฮอิจิออกไปคลายความร้อนให้ตัวเองที่ระเบียงด้านหน้าของห้องนอน จากระเบียงมองออกไปจะเห็นสวนขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังภายในวัดอามิดาจิ โฮอิจิเฝ้ารออยู่ตรงนั้นให้พระกลับมา ระหว่างรอก็พยายามคลายความเปล่าเปลี่ยวด้วยการฝึกซ้อมบิวะของตน เมื่อเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว พระยังไม่ปรากฏกาย แต่อากาศยังร้อนเกินกว่าจะหาความสบายได้ภายในห้อง โฮอิจิจึงอยู่ข้างนอกอย่างนั้น และในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงก้าวเดินเข้ามาจากประตูทางด้านหลัง มีใครบางคนเดินข้ามสวนมา มุ่งหน้าสู่ระเบียงแล้วหยุดอยู่ตรงหน้า...แต่นั่นไม่ใช่พระที่เขารู้จัก เสียงทุ้มลึกเรียกชื่อชายหนุ่ม...ห้วน ๆ อย่างไม่มีพิธีรีตอง เป็นลักษณะของซามูไรที่ร้องสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา...

“โฮอิจิ!”

“ขอรับ” ชายตาบอดตอบ รู้สึกหวั่นเกรงน้ำเสียงคุกคาม “กระผมตาบอดขอรับ! ไม่ทราบว่าใครเรียก!”

“ไม่มีอะไรต้องกลัว” คนแปลกหน้าโพล่ง คราวนี้พูดนุ่มนวลกว่าเดิม “ข้าหยุดพักใกล้ ๆ วัดแห่งนี้ และถูกส่งตัวให้นำสารมาบอกเจ้า นายท่ายของข้าเป็นคนระดับสูงยิ่งนัก ตอนนี้กำลังพักอยู่ที่อากามางาเซกิ และมีขุนน้ำขุนนางติดตามจำนวนมาก นายท่านประสงค์จะได้เห็นฉากการสู้รบแห่งดันโนอูระ วันนี้ท่านไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาแล้ว ท่านได้ยินเกี่ยวกับทักษะการเล่าเรื่องราวสู้รบครั้งนั้นของเจ้า และตอนนี้ประสงค์จะได้ฟังการบรรเลง ขอให้เจ้าจงไปนำบิวะของเจ้ามา แล้วไปกับข้าทันที ไปยังเรือนที่คณะผู้คนอันน่าเกรงขามกำลังคอยอยู่”

ในสมัยนั้น คำสั่งของซามูไรไม่ใช่สิ่งที่จะเมินเฉยได้ง่าย ๆ โฮอิจิจึงใส่รองเท้า นำบิวะของตนออกมา แล้วไปกับชายแปลกหน้าซึ่งนำทางเขาไปอย่างช่ำชอง แต่ก็ทำให้เขาต้องเดินเร็วมาก มือที่นำทางคือเหล็ก และเสียงกระทบของชุดขณะที่นักรบก้าวเดินนั้นทำให้รู้ว่าเขาแต่งตัวติดอาวุธเต็มยศ อาจเป็นองครักษ์ประจำวังและระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นได้ ความตกใจในเบื้องแรกของโฮอิจิหมดลงแล้ว เขาเริ่มจินตนาการถึงตัวเองที่จะประสบพบเจอโชคดีเพราะนึกถึงคำรับประกันเป็นมั่นเป็นเหมาะของบริวารผู้นี้เกี่ยวกับ “คนระดับสูงยิ่งนัก” เขาคิดว่านายท่านผู้ปรารถนาจะฟังการขับลำนำเล่าเรื่องคงจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าไดเมียวเจ้าครองนครชั้นหนึ่งเป็นแน่

ไม่ช้าซามูไรก็หยุด โฮอิจิตระหนักว่าพวกเขามาถึงประตูทางเข้าขนาดใหญ่...แล้วโฮอิจิก็นึกสงสัยเพราะเขานึกไม่ออกว่าเคยมีประตูใหญ่อยู่ที่ไหนในพื้นที่ส่วนนั้นของเมือง ยกเว้นประตูใหญ่ที่วัดอามิดาจิ

“เปิดประตู!” ซามูไรร้องบอก

มีเสียงปลดสลักกลอน แล้วทั้งสองก็ผ่านประตูเข้าไป พวกเขาเดินข้ามสวน ผ่านพื้นที่ว่างของสวน และหยุดอีกครั้งที่หน้าทางเข้าตรงไหนสักแห่ง บริวารผู้นี้ร้องบอกเสียงลั่นอีกครั้ง

“บัดนี้! ข้าไปพาตัวโฮอิจิมาถึงถึงที่นี่แล้ว”

ต่อมามีเสียงเท้าอารามเร่งร้อน เสียงฉากกั้นเลื่อนออก ประตูกันฝนเปิด มีเสียงผู้หญิงสนทนากัน

จากภาษาที่พวกหญิงคุยกันนั้น โฮอิจิรู้ได้ว่าพวกนางเป็นคนที่ทำงานอยู่ในตระกูลของขุนนาง แต่เขาจินตนาการไปไม่ถึงว่าตัวเองถูกพามาอยู่ที่ไหน และแทบไม่มีเวลาเดา

หลังจากได้รับการประคองให้ก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดหินหลายขั้นแล้ว เมื่อถึงขั้นสุดท้ายเขาถูกบอกให้ถอดรองเท้าออก มีมือของหญิงนางหนึ่งจูงเขาไปตามกระดานปูพื้นขัดเงาที่ยืดยาวไม่สิ้นสุด เลี้ยวอ้อมเสามากมายหลายมุมเกินกว่าจะจดจำได้หมด และข้ามพื้นบุเสื่ออันกว้างใหญ่อย่างน่าทึ่ง เข้าสู่กลางห้องโถงที่ไหนสักแห่งที่มีขนาดไพศาล

โฮอิจิคิดว่าตรงนั้นคงมีคนชุมนุมกันอยู่มากมาย เสียงผ้าไหมสีกันสวบสาบราวกับเสียงใบไม้ในป่า เขาได้ยินเสียงทุ้มกว้างด้วย เป็นเสียงพูดคุยต่ำ ๆ ดังหึ่ง ๆ ถ้อยคำที่ใช้ฟังเหมือนภาษาราชสำนัก

โฮอิจิถูกบอกให้ทำตัวตามสบาย เขาคุกเข่าลงบนเบาะที่มีคนเตรียมไว้ให้ หลังจากนั่งเข้าที่เข้าทางและปรับเสียงเครื่องดนตรีแล้ว ก็มีเสียงผู้หญิงพูดกับเขา โฮอิจิเดาว่าคงจะเป็น โรโจะ—สตรีผู้เป็นหัวหน้าคนงานหญิงในบ้าน

“ได้เวลาที่เจ้าจะขับขานเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเฮเกะประกอบเสียงบิวะแล้ว”

เรื่องราวที่จะขับขานทั้งหมดนั้นต้องใช้เวลาหลายคืน โฮอิจิจึงทำใจกล้าแล้วถามออกไป

“เนื่องจากเรื่องทั้งหมดคงจะเล่าไม่จบโดยเร็ว ไม่ทราบว่าท่านประสงค์จะให้ข้าน้อยขับขานตอนใดเป็นพิเศษ”

เสียงโรโจะกล่าวตอบว่า

“เล่าถึงการสู้รบแห่งดันโนอูระ...เพราะส่วนนั้นน่าสังเวชเป็นที่สุด”

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com



กำลังโหลดความคิดเห็น