“เลิฟโฮเต็ล” ชื่อนี้คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ แต่ก็มีหลายๆคนที่พอจะเดาความหมายออกว่าเป็นโรงแรมแบบไหน เลิฟโฮเต็ลนั้นมีอยู่ทุกซอกทุกซอยของถนนในเมือง แม้แต่ใกล้ๆสถานีรถไฟใหญ่ๆก็ยังไม่เว้น!!! นอกจากนี้ที่แหล่งช็อปปิ้งและย่านธุรกิจเองก็สามารถเห็นป้ายไฟใหญ่ๆที่มีสีสันฉูดฉาดของเลิฟโฮเต็ลได้อย่างไม่ยากนัก แถมราคาเข้าใช้บริการก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดอีกด้วย
เลิฟโฮเต็ลนั้นเป็นสถานที่ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศคล้ายๆกับม่านรูดบ้านเรา แต่มันมีสิ่งที่น่าสนใจและเรื่องสนุกๆมากกว่านั้นอีกหลายเท่า!! ในทางกลับกันก็มีพนักงานออฟฟิศบางกลุ่มที่กลับไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายชวนกันไปนอนพักในเลิฟโฮเต็ลก็มี เนื่องจากมีราคาที่ถูก (7000 – 15000 เยนต่อคืน) เมื่อเทียบกับค่าแท็กซี่กลับบ้านหรือโรงแรมปกติทั่วไป!
เสน่ห์ของเลิฟโฮเต็ลคือการตกแต่งห้องให้มีหลากหลายสไตล์ บางห้องตกแต่งอย่างหรูหราราวกับเป็นโรงแรมห้าดาว เตียงใหญ่หมุนได้รอบทิศ!!!
การเลือกห้องพักของเลิฟโฮเต็ลนั้นถ้าสำหรับคนที่มาพักเพราะตกรถเที่ยวสุดท้ายก็ควรจะเลือกห้องแบบราคาประหยัดตกแต่งธรรมดาราคาประมาณ 5000 – 8000 เยน แต่สำหรับคนที่มาเพื่อเมคเลิฟก็เลือกจากรสนิยมทางเพศของแต่ละบุคคล
ใครที่ชอบแบบซาดิสม์ก็เลือกห้องที่จำลองคล้ายห้องทรมานซึ่งพร้อมไปด้วยเครื่องมือทรมานทางเพศครบครัน ใครที่ชอบแบบหวานๆก็เลือกห้องที่ตกแต่งแบบหวานเลี่ยนน่ารัก นอกจากนี้ก็ยังมีห้องที่จำแลงมาจากคุก เวทีมวย ห้องพยาบาล หรือแม้แต่ห้องเรียน!! ซึ่งในแต่ละห้องก็จะมีอุปกรณ์พิเศษประจำห้องให้เล่นได้ไม่จำกัดเช่น โซ่ เชือก เก้าอี้ทรมาน เทียนไข เป็นต้น โดยราคาของห้อง S&M นั้นก็จะแพงกว่าห้องอื่นๆ (8000 – 15000 เยน) แต่ผู้ใช้บริการจะได้อรรถรสไปกับห้องที่ชวนขนลุกด้วยเครื่องทรมานต่างๆ
ระบบเช็คอินปลอดภัยแค่ไหน?
มีให้เลือก 2 แบบคือ มีพนักงานต้อนรับกับไม่มีพนักงานต้อนรับ ถ้าแบบที่มีพนักงานต้อนรับ ขั้นแรกให้กดปุ่มเลือกห้อง (จะมีรูปออกมาให้ดู) แล้วจึงเข้าไปรับกุญแจจากพนักงาน ถ้าแบบที่ไม่มีพนักงานต้อนรับ ก็คล้ายๆกับแบบแรก แต่เวลากดปุ่มเลือกห้องเสร็จแล้วก็จะมีกุญแจออกมาเองอัตโนมัติ ในกรณีที่ไม่มีห้องว่างทางเลิฟโฮเต็ลก็มีห้องให้นั่งรอโดยมีที่กั้นพิเศษไม่ให้เห็นคนที่กำลังเช็คเอาท์ออกไปด้วย!!! เรียกได้ว่าระบบความปลอดภัยนั้นดีเยี่ยมเลย
นอกจากนี้เลิฟโฮเต็ลบางแห่งยังมีกระจกทึบกั้นอยู่ตรงฟร้อนต์เพื่อไม่ให้พนักงานและผู้ใช้บริการได้เห็นหน้ากัน เนื่องจากบางคนมาใช้บริการเพราะไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายอาจเกิดอาการอาย และกลัวถูกเข้าใจผิดว่ามาทำเรื่องอย่างว่าได้
บรรยากาศข้างในเป็นแบบไหน?
เมื่อได้ย่างกรายเข้าไปเราจะได้เห็นถึงความแปลกใหม่ภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นอ่างอาบน้ำ เตียง โซฟา คาราโอเกะ ตู้เย็น ทีวีจอยักษ์ต่อช่องหนังโป๊ และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบครบครัน
และใช่ว่าทางเลิฟโฮเตล จะให้บริการเฉพาะช่วงดึกเท่านั้น เพราะในช่วงกลางวันจะมีบริการแบบพิเศษที่เรียกว่า “Sercive Time Free Time” เป็นแคมเปญเรียกลูกค้าเนื่องจากมีผู้เข้าใช้บริการน้อย แคมเปญนี้คือสามารถใช้ห้องเลิฟโฮเต็ลได้นานกว่าช่วงเวลาอื่นโดยจ่ายเงินราคาเดียวกัน!!! เมื่อเข้ามาถึงในห้องแล้วอย่างแรกที่ควรทำคือ ตรวจดูห้องพักอย่างละเอียดว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ทิชชู ถุงยางอนามัย ถ้าไม่มีก็โทรแจ้งพนักงานให้เอามาให้ได้
การคิดเรทราคาเข้าพัก?
ถ้าเข้าพักในระยะสั้น (Short Time) การชำระเงินและการกำหนดเวลาเข้าพักก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่ที่โตเกียวจะคิดราคาเหมา 2 ชม. ส่วนโอซาก้าจะอยู่ที่ชั่วโมงเดียว การเข้าพักแบบค้างคืนนั้นส่วนมากจะเช็คอินกันที่เวลา 22:00 – 24:00 น.
เมื่อเลือกการเข้าพักแบบ Short Time แล้วเช็คเอาท์ล่าช้าเกินเวลา ทางโรงแรมก็จะคิดเรทราคาแบบค้างคืนอัตโนมัติ!!! ส่วนคนที่เข้าพักแบบค้างคืนก็มีบริการ Morning Service ด้วยการเสิร์ฟอาหารเช้าอีกด้วย
นอกจากนี้เลิฟโฮเต็ลบางแห่งมีบริการชำระเงินแบบสะดวกพิเศษคือ ติดตั้งท่อใสที่เชื่อมต่อระหว่างห้องพักและฟร้อนต์ด้านล่าง เวลาชำระเงินเพียงแค่ใส่ลงไปในท่อใส เงินก็จะไหลลงไปถึงฟ้อนต์ ถือเป็นไอเดียที่บรรเจิดมากๆ!!
ผลการสำรวจคนไปเลิฟโฮเตล
คนญี่ปุ่นนิยมไปใช้บริการเลิฟโฮเต็ลเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง และคนที่เป็นฝ่ายชวนก็จะเป็นผู้ชายเสียมากกว่า ลูกค้าที่เข้าพักแบบ Short Time จะเมคเลิฟกันประมาณ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าพักแบบค้างคืนก็จะเพิ่มเป็น 2-3 ครั้ง เหตุผลหลักๆที่คนญี่ปุ่นนิยมไปใช้บริการเลิฟโฮเต็ลก็เพราะว่าสามารถปลดปล่อยเสียงแห่งความสุขออกมาได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่มีใครสนใจ นอกจากนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้จำเจจนน่าเบื่อเกินไปอีกด้วย
เป็นอย่างไรบ้างกับบรรยากาศเลิฟโฮเตลของญี่ปุ่น? เห็นว่ามีม่านรูดในไทยบางที่ที่จำลองห้องแบบธีมต่างๆ เหมือนกัน ยังไงใครเคยไปใช้บริการก็อย่าลืมมารีวิวความแตกต่างให้ดูกันด้วยนะ (ฮา)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ anngle.org