xs
xsm
sm
md
lg

คนญี่ปุ่นห้ามมองคนแค่ภายนอก ทำได้จริงเหรอ?!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว อีกเรื่องที่การศึกษาของประเทศญี่ปุ่นมักจะเน้นก็คือ เรื่องความเท่าเทียมและความเสมอภาคซึ่งกันและกัน โรงเรียนมัธยมปลายที่ผมเรียนจบมานั้นมีครูอาจารย์เก่งๆ หลายคนเลยครับ วันที่เปิดเรียนวันแรกมีงานปฐมนิเทศนักเรียนมัธยมปลาย ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือที่เรียกกันว่าครูใหญ่ขึ้นมาพูดให้โอวาทหลายเรื่อง มีประเด็นหนึ่งที่ผมยังจดจำได้ดี อาจารย์ท่านบอกว่า “จงอย่าตัดสินคนจากภายนอก” ทุกคนปรบมือชอบใจ แต่ทว่าในวิชาภาษาอังกฤษอาจารย์หนุ่มมาดเซอร์ผู้สอนผู้ที่ใครๆ ก็ชอบลักษณะความตรงและน่ารักของเขา อาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษนี้ท่านจะไว้เครายาว แล้วจะใส่เสื้อผ้าเหมือนเสื้อคลุมคนทำงานในแล็ปทดลองวิทยาศาสตร์เป็นชุดสีขาวแขนยาวแต่ว่าเสื้อผ้าแกจะออกสีขุ่นๆ เปื้อนมีคราบมีรอยอะไรๆ เยอะแยะไปหมด แต่ทุกคนเห็นแล้วรู้สึกน่ารักและต่างคนก็สงสัยว่าแกไม่ได้สอนวิทยาศาสตร์แต่ใส่ชุดแบบนี้บ่อยๆ เพราะอะไร (´•ω•` ) แต่ประเด็นคือแกบอกว่า "ไม่รู้ครูใหญ่พูดอะไรวันปฐมนิเทศ บอกว่าไม่ให้ตัดสินคนแค่รูปลักษณ์ภายนอก วันก่อนยังบอกให้ผมไปโกนเคราออกด้วย!! ผมไม่เข้าใจไหนบอกเองว่าคนเราจะมองแค่ภายนอกไม่ได้..ไม่เห็นจะทำได้อย่างที่บอก!!" ทุกคนก็ฮา เพราะจริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นก็เป็นแบบนี้แหละ พูดดูดีแต่ไม่รู้ทำได้จริงอย่างที่กล่าวไว้ไหม

จากสำนวนที่คนญี่ปุ่นบอกว่า เราไม่สามารถตัดสินบุคคลได้จากสิ่งที่เรามองเห็นจากภายนอก นั้นคงเหมือนกับคติคำเปรียบเทียบของคนไทยที่ว่าคนเราไม่สามารถตัดสินกันได้จากรูปลักษณะภายนอกว่าเขาเป็นคนยังไง อย่าตัดสินคนอื่นภายใต้ความคิดของตัวเอง อย่ามองคนแค่เปลือกนอก เพราะไม่สามารถบอกสิ่งที่เป็นนิสัยสันดานของคนได้ แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความเป็นจริงแล้วคนเรามักจะตัดสินกันที่ภายนอกเสียก่อนที่จะเรียนรู้จักความจริงข้างในนะครับ

ผมเคยพูดอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับบทประพันธ์เรื่อง 徒然草(つれづれぐさ) Tsurezuregusa ซึ่งเป็นหนังสือบทประพันธ์ร้อยแก้วเรียบเรียงดีเด่นที่ได้รับความนิยม Best 3 (日本三大随筆) เป็นบทประพันธ์ที่รวบรวมบทความดีๆหลายเรื่อง เขียนขึ้นเมื่อประมาณ800 ปีที่แล้วชื่อเรื่องก็มาจากท่อนหนึ่งของบทนำหน้าแรกนั่นเอง บทนำของเรื่องเขียนว่าつれづれなるまゝに、日ぐらし硯に向かひて、心にうつりゆくよしなしごとをそこはかとなく書き付くれば、あやしうこそ物狂ほしけれ.... (Tsurezure naru mamani,....) “การใช้ชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไรเมื่อใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกก็มีเรื่องราวพรั่งพรูมากมายเริ่มเกิดความสงสัยในตัวเอง“ .. คล้ายกับผู้เขียนจะบอกว่าชีวิตของตัวเองไม่ได้ทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน( ก็เป็นพระนี่นา) แต่เมื่อพู่กันจุ่มน้ำหมึกเพื่อเขียนเรื่องราวมากมายกลับมีความพรั่งพรูเกิดความสงสัยในชีวิตตัวเองมากเกิดความสงสัยว่าตัวเองไม่ปกติ? ( แต่บทประพันธ์ที่นักเขียนท่านนี้เขียนล้วนได้รับการยอมรับมากดังนั้นแม้ว่าเขาจะบอกว่าตัวเองผิดปกติหรือน่าสงสัยว่าไม่ปกติก็เป็นแค่คำที่พูดถ่อมตัวเองใช่ไหม?) つれづれ(tsurezure) มีความหมายว่า “having nothing to do.” "ไม่มีอะไรต้องทำ" คือความว่างเปล่า ความไม่เที่ยง

ผู้เขียนเป็นพระญี่ปุ่นชื่อ 吉田兼好 Yoshida Kenko ท่านเป็นนักบวชนักเขียนนักปราชญ์ ที่มีชื่อเสียงมากๆ Kenko เขียนในช่วงยุคมูโรมาชิและคามาคุระ แม้ว่าเขาเป็นพระนักวิชาการผู้รักสันโดษและนักกวีผู้มีความผูกพันกับชนชั้นสูงในยุคกลาง แต่ก็มักจะใช้เวลาส่วนตัวรำพึงรำพันเกี่ยวกับคำสอนของชาวพุทธและลัทธิเต๋า เขาสัมผัสถึงเรื่องราวชีวิตที่หลากหลายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและตะหนักถึงความไม่เที่ยงของโลกนี้ เพราะแท้จริงความงามของชีวิตคือความไม่แน่นอน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างเป็นหนังสือที่เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเพราะนักเรียนญี่ปุ่นทุกคนเคยเรียนและน่าจะเคยอ่านมาบ้างและได้รับการยกย่องว่ามีคุณค่าทางวรรณกรรมมากขนาดนักเขียนชื่อดังเมื่อร้อยปีก่อนของญี่ปุ่นท่านหนึ่งยังต้องมีหนังสือเล่มนี้ถือไว้ในมือเพื่อแสดงว่าคนสายวรรณศิลป์ยอมรับมากได้ครอบครองเล่มนี้แล้วรู้สึกภาคภูมิใจมีคนเล่าว่านักเขียนที่มีหนังสือเล่นนี้ท่านนี้ไม่อยากให้แขกที่มาเยี่ยมบ้านรู้ว่าตัวเองมีหนังสืออะไรบ้างจึงแยกๆหนังสือไปไว้จุดนั้นบ้างจุดนี้บ้างแต่หยิบหนังสือเรื่อง徒然草Tsurezuregusa ไปวางไว้ที่โต๊ะรับแขกด้วยเพื่อให้แขกเห็นว่าตัวเองมีเรื่องที่ทรงคุณค่านี้ด้วยปัจจุบันก็ยังมีคนอ่านอยู่เยอะ

บทความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ที่เกี่ยวกับการตัดสินกันที่ภายนอกก็มีเขียนไว้อย่างคมคายครับ บทที่ว่า "狂人の真似とて大路を走らば、即ち狂人なり"ถ้าคุณวิ่งลงถนนแล้วทำตัวเลียนแบบคนบ้าคนอื่นๆ ก็จะมองว่าคุณเป็นคนบ้า ทั้งๆ ที่จริงแล้วคุณอาจจะไม่ได้บ้าบออะไร เรื่องการตัดสินคนจากมุมมองความคิดแค่การเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของบุคคลบางครั้งเราได้ยินได้ฟังข่าวได้ฟังการบอกเล่ามาจากแหล่งข่าวต่างๆ นานาก็ทำให้เราเกิดอคติต่อคนบางคนได้ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาคนนั้นเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณานานๆ ให้เข้าใจกันให้ถ่องแท้ ผมเองก็ถูกคนอื่นมองแบบเข้าใจผิดบ่อย และผมก็มองคนอื่นแล้วคิดจินตนาการไปเองก็บ่อย

เมื่อ 3 เดือนก่อนตอนที่ผมไปพักที่เนเธอร์แลนด์และประเทศแถบนั้นเป็นช่วงที่อากาศยังมีความหนาวเย็นอยู่มาก บางวันลดลงถึง 0 องศา เวลากลางวันจะออกไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ก็คอยระวังตัว กลัวคนต่างประเทศตัวใหญ่ ได้ยินข่าวมามาก จึงคอยระวังตัวเป็นพิเศษ ตกเย็นก็กลับเข้ามาที่พัก วันหนึ่งเมื่อถึงที่พักก็ยังเห็นพนักงาน room maid ยังง่วนทำความสะอาดห้องอยู่เลย จะถามว่าจะทำห้องเสร็จกี่โมงเพราะจะลงไปรอที่อื่น แต่คุยกันก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นัก สาวๆ ตัวเล็กๆ น่าจะมาจากประเทศทางยุโรปตะวันออกไม่พูดภาษาอังกฤษ น่าตาดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เมื่อกลับมาที่ห้องอีกครั้งหนึ่งดูเหมือนว่าจะทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เพราะปิดม่านไว้เรียบร้อยทางผมก็เตรียมอาบน้ำและเข้านอนเลย คืนนั้นรู้สึกหนาวมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรพอตอนเช้าตื่นขึ้นมาเปิดม่านเพื่อจะดูว่าอากาศข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ฝนตกไหม ปรากฏว่าเมื่อคืนเปิดหน้าต่างไว้มุมหนึ่งทั้งคืน ถึงว่าหนาวมากๆ แม่บ้านนะไม่น่าทำกันได้ มาทำห้องแล้วน่าจะปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยเพราะอากาศข้างนอกหนาวขนาดนี้ คนปกติก็จะปิดให้สนิทใช่ไหม ส่วนผมแม้จะเปิดม่านตรงกลางก็ไม่เห็นว่าหน้าต่างด้านข้างมันเปิดอยู่ที่จริงก็ผิดเองที่ไม่ทันตรวจเช็คให้ดีแต่ก็ไม่คิดว่าจะเปิดไว้แบบนี้ ไว้ใจสาวๆ ไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย !(´ω`●)

◇อัมสเตอร์ดัมสถานีรถไฟ

เพื่อนๆ เคยไปเที่ยวแถวสถานนีรถไฟโตเกียว Tokyo Station (東京駅) ไหมครับเป็นสถานีรถไฟหลักของกรุงโตเกียวตึกด้านหน้าสถานีเป้นอาคารทรงยุโรปสีแดงเป็นสถานีรถไฟที่มีความเก่าแก่และยังคงความสวยมีคนบอกว่าสถานนีรถไฟโตเกียวมีต้นแบบมาจากอาคารสถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัม Amsterdam Central ของเนเธอแลนด์นี่เองขณะที่เดินบริเวณรอบๆ สถานีต้องระวังรถจักรยานที่คนขับขับอย่างชำนาญและเร็วมากๆ ดูฝรั่งหลายคนมีบุคคลิกดูดี น่าเชื่อถือนะครับ แต่เดินๆ ไปอาจจะเจอคนมาเรียกเร่ถามว่า sex? sex? คือถามว่าขายไหม? ถามกันอย่างอิสระเป็นการขายบริการทางเพศอย่างเปิดเผย น่าตาคนถามก็ไม่เข้ากับบุคคลิกเลย แต่ที่จริงประเทศเนเธอร์แลนด์ถือว่าเป็นประเทศที่สงบสุขและน่าสวยมาก มีแบบนี้ก็แปลกดีครับ


◇เบลเยี่ยมโบสถ์ปิด 5 โมง

ในทริปยุโรปครั้งนี้แม้ว่าจะไปเที่ยวตอนกลางเดือนเมษายนแล้ว แต่บางวันอากาศหนาวอยู่มาก บางวันอุ่นขึ้นมาเป็นช่วงที่อากาศก็เปลี่ยนไปมาวันหนึ่งอากาศประมาณ 5 องศาถือว่าหนาวอยู่มากนะครับ คือเวลาเดินข้างนอกแม้จะมีแดดแต่ไม่รู้สึกอุ่นเลย วันนั้นไปชมความสวยงามที่โบสถ์คริตส์แห่งหนึ่งที่เบลเยี่ยม ในโบสถ์ก็โล่งและหนาวมากนะครับ ตอนนั้นโบสถ์ปิด 17:00 น แต่ 16:50 น ผมยังอยู่ในนั้น ที่นี้คุณลุงที่ดูแลโบสถ์เริ่มจะปิดประตูแล้วเขาไม่เห็นว่าผมยังอยู่ ผมก็ไม่รุ้ว่าเค้าจะปิดประตูแล้วแต่ยังโชคดีที่มีป้าที่ดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ แต่ตัวด้วยชุดสีดำทั้งชุด บอกลุงว่าคนยังไม่หมด และช่วยพาผมออกมาที่ทางออกอีกด้าน นี่ถ้าผมติดอยู่ในโบสถ์ผมคงหนาวตายแน่ๆ โทรศัพท์ก็ไม่มีไว้ติดต่อด้วยเรื่องแค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องระมัดระวังไว้เสมอและต้องตรงต่อเวลาและอย่าลืมเรื่องช่องทางติดต่อสื่อสารกรณีเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินและไม่คาดคิด และก็ตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ นี่คือประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวครับ

◇คนขับแท็กซี่ที่ปารีส

ที่ปารีสตอนนั้นก็ยังหนาวมากๆ เช่นกัน แต่ตอนนี้เพิ่งเริ่มเข้าฤดูร้อนเท่านั้นก็มีอุณภูมิสูงถึง 45 องศาในปารีสตอนนี้ จากข่าวบอกว่าเกิดสถานการณ์คลื่นความร้อนในทวีปยุโรปรุนแรงสุดในรอบ 16 ปีเริ่มส่งผลกระทบในหลายๆ ประเทศของยุโรปที่ปารีสเองก็ร้อนหนักพุ่งถึง 45 องศาอุณหภูมิแปรปรวนกันทั่วโลกเลย และก่อนหน้านี้มีข่าวโด่งดังไปทั่วโลก กรณีความไม่สงบในประเทศฝรั่งเศสกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกเรียกว่า"'เสื้อกั๊กเหลือง" ออกมารวมตัวชุมนุมประท้วงการขึ้นภาษีน้ำมันในกรุงปารีสตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมีข่าวถึงขั้นรัฐบาลสั่งปิดหอไอเฟลพิพิธภัณฑ์หลายแห่งและสถานที่สำคัญในปารีสพร้อมระดมตำรวจเกือบแสนคุมเข้ม แต่หลังๆ มาก็ซาลง ตามข่าวบอกว่าจะนัดชุมนุมกันเฉพาะวันเสาร์ ผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะไปเที่ยวปารีสในวันเสาร์ วันที่ผมไปถึงปารีสคือเย็นๆ วันจันทร์ที่ 15 เมษายน ตอนนั้นหิวมากๆ รีบเดินออกมาดูลาดเลาบริเวณรอบๆ ที่พักเดินเลียบแม่น้ำแซน มาเรื่อยๆได้ไม่นานก็มีเสียงรถหวอรถตำรวจวิ่งกันวุ่น อีกทั้งมีกลุ่มควันพวยพุ่งดำเต็มท้องฟ้าทางทิศเหนือ พวกเราก็ตกใจมากไม่รู้ว่ามีจลาจลอะไรหรือเปล่า ใจไม่ดีเลยรีบพากันกับห้องพักดีกว่า จึงมารู้ข่าวว่ามีเพลิงไหม้ที่อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีสCathédrale Notre-Dame de Paris และก็มีแต่ข่าวนั้นทั้งวันทั้งคืน แถมวันรุ่งขึ้นไปเดินเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ ไปเจอรถไม่รู้ว่าหม้อน้ำระเบิดหรือเปล่า ตำรวจเต็มพื้นที่ ต้องเดินผ่านจุดนั้นด้วยสิ กลัวเป็นคาร์บอมจริงๆ เวลาเดินในฝูงชนจำนวนมากก็ไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย คนเยอะ แต่งตัวดีเสียด้วย คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ แต่ผมก็ยังชอบปารีสและคนที่นั่นนะครับ

และหลายๆ คนคงเคยได้ยินกิติศัพท์ของนักฉกและโจรปารีสกันมาบ่อยๆ ผมเองก็เช่นกัน กลัวมาก ก่อนไปปารีสเพิ่งได้ข่าวว่าคนไทยถูกแท็กซี่ปลอมหลอกทำให้กังวลใจอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่อยากใช้บริการรถบัส และรถไฟใต้ดินเนื่องจากต้องต่อหลายสถานีและมีกระเป๋าสัมภาระมาก วันที่เดินทางมาถึงปารีสจึงเรียกแท็กซี่ที่จุดรอแท็กซี่ ได้คิวเป็นหนุ่มผิวสีที่แต่งตัวเฟี้ยวมาก นุ่งกางเกงยีนส์และเสื้อลายสีเขียวตัดกับผิว ขับไปก็มีบ่นด่ารถคันอื่นเป็นภาษาฝรั่งเศสตลอดทาง แต่ผมก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก แค่คิดว่าจะเจอดีเจอแท็กซี่ปลอมไหม?? จะไว้ใจได้ไหมแต่เราโชคดีที่เจอคนใจดี แม้ว่าเขาจะแต่งตัวไม่เหมือนผู้ให้บริการเลยและด่ารถคันอื่นไปตลอดทาง แต่เขามาส่งเราที่พักแบบตรงตามเส้นทางไม่ได้ชาร์จเงินเพิ่ม แถมช่วยยกกระเป๋าและลงจากรถช่วยไปชี้ทางเข้าอพาร์ทเม้นท์ที่เราจะพักให้ด้วย ถ้าไม่ได้เขาเราคงไม่รู้ว่าทางเข้าที่พักเราอยู่ตรงไหน ดูแผนที่ยากมากๆ พวกผมประทับใจเขามากๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่ามองคนแค่ภายนอก อย่าตื่นกลัวจนเกินไป นี่คือประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวครับ

ส่วนขากลับจากปารีสก็ใช้บริการรถแท็กซี่อีก คราวนี้คนขับแต่งตัวดีมากๆ ใส่สูท และเสื้อคลุมดูดีเหมือนเจ้าของบริษัทเลย ขับรถหรู บริการดี นั่งๆ ไปก็คิดกันตลอดทางว่า นี่เจ้าของกิจการหรือเปล่าเนี่ย คนเรานะมองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย

ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยมีเรื่องที่เกี่ยวกับการมองคนแค่ภายนอกบ้างไหมครับ คนเราทุกคนมีดี และไม่สามารถตัดสินกันได้แค่ภายนอก แต่บางครั้งเราเองก็ต้องรู้กาละเทศะและรู้ธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อจะได้แต่งตัวและปฏิบัติตามกฏธรรมเนียมท้องถิ่น จะได้ไม่ถูกมองแปลกแยกและผิดเพี้ยน วันนี้สวัสดีครับ



กำลังโหลดความคิดเห็น