คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน เคยรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของคนญี่ปุ่นกันบ้างไหมคะ งวดนี้ฉันขอนำเรื่อง culture shock ของคนไทยและคนญี่ปุ่นเท่าที่จำได้ว่ามีคนเคยบอก หรือเจอจากประสบการณ์ตัวเองมาเล่าสู่กันฟังบ้าง โดยสัปดาห์นี้จะเป็นเรื่องอาหารการกินของญี่ปุ่นก่อนนะคะ
ว่าด้วยอาหารเน้นแป้ง
ถึงแม้จะนึกออกเพียงแค่สองอย่าง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันกับเพื่อนคนไทยเกิดความรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นรับประทานอาหารเน้นแป้งอะไรกันขนาดนี้
ขนมปังไส้ยากิโซบะ
นี่เป็นเมนูชูโรงที่เรานึกถึง เพียงแค่นึกภาพก็ชวนให้ขนลุก พาลคิดไปว่าเมนูนี้มันเกิดมาอีท่าไหนกันหนอ พอลองไปสืบค้นดูได้ความมาว่า ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2495 มีลูกค้ามาซื้อยากิโซบะและขนมปังฮอทด็อกจากร้าน “โนซาวะยะ” ซึ่งอยู่ในกรุงโตเกียว ลูกค้าบอกใส่ยากิโซบะลงไปในขนมปังเลยก็แล้วกันจะได้ไม่วุ่นวาย ร้านนี้เลยเกิดไอเดียทำเมนูนี้ขึ้นมาแล้วเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันร้านนี้ปิดกิจการไปแล้ว แต่เมนูนี้ยังหาได้ทั่วประเทศอยู่นะคะ ตามร้านสะดวกซื้อก็รู้สึกจะมี
ไส้ขนมปังนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากใส่เส้นยากิโซบะลงไปแล้วก็โรยหน้าด้วยขิงแดง มายองเนส ผงสาหร่ายเขียว พาร์สลีย์ เป็นอันเสร็จ ขนมปังไส้ยากิโซบะนี้เป็นหนึ่งในขนมปังยอดฮิตที่ขายเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนมัธยมปลายเลยทีเดียว คาดว่าเป็นเพราะราคาถูกเนื่องจากประกอบด้วยแป้งและแป้งเป็นหลัก
อารมณ์คงคล้าย ๆ เอาผัดไทยใส่เป็นไส้ขนมปังฮอทด็อกกระมัง ถ้าใครเอาไปลองทำดูแล้วขายดีขึ้นมาก็อย่าลืมฉันนะคะ
นึกถึงขนมปังนี่แล้ว ก็คิดถึงรถเข็นขายไอศครีมบ้านเราสมัยก่อนที่มีให้เลือกว่าจะใส่โคน ใส่ถ้วย หรือใส่ขนมปัง แล้วมีท้อปปิ้งอย่างข้าวเหนียว ลูกชิด ถั่วลิสงคั่ว และอื่น ๆ ให้ใส่จังค่ะ ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ไหม
ราเม็งเพิ่มเส้น/แถมข้าว
โดยมากราเม็งมักจะชามใหญ่โต และเน้นเส้นเกือบเต็มชาม (ต่างจากก๋วยเตี๋ยวบ้านเราที่ไม่ว่าจะชามขนาดไหน ส่วนใหญ่ก็มีเส้นอยู่ก้นชาม) บางทีก็มีหมูแผ่นบาง ๆ ให้เพียงชิ้นเดียวกับเครื่องโรยนิดหน่อย อยากได้หมูเพิ่ม ไข่เพิ่ม ผักเพิ่ม สาหร่ายเพิ่ม ก็ต้องเพิ่มสตางค์
ถ้าเป็นร้านราเม็งฮากาตะที่เส้นเล็กเหมือนหมี่ซั่วและใช้น้ำซุปกระดูกหมูสีขาวข้นนั้น จะมีให้สั่งเพิ่มเส้นภายหลังได้ ซึ่งผู้ชายมักจะสั่งเมื่อรับประทานเส้นในชามหมดแล้วเหลือน้ำซุปเยอะ บางร้านให้เพิ่มได้ฟรีคนละก้อน บางร้านอาจคิดราคา 100-200 เยนต่อก้อน
ในขณะที่บางร้านจะมีให้เลือกปริมาณของเส้นตั้งแต่ตอนสั่งเลยว่า จะเอาปริมาณปกติหรือเพิ่มเส้น บางร้านมีปริมาณเส้นให้เลือกแบบ เล็ก กลาง ใหญ่ ราวกับเป็นเครื่องดื่มขนาด S, M, L เลยก็ว่าได้ อาจคิดเงินเพิ่มหรือไม่แล้วแต่ร้าน บางร้านมีขนาดพิเศษสุดด้วย เท่าที่เคยเห็นเยอะสุดคือ ปริมาณเท่ากับเส้นเกือบ 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว รับประทานเสร็จก็คงไม่ต้องเดิน กลิ้งออกจากร้านได้เลย
นอกจากนี้ ร้านราเม็งบางร้านยังบริการข้าวฟรีหนึ่งถ้วยอีก เพื่อนคนไทยฉันบอกไม่เข้าใจว่ามันเข้ากันอย่างไร แถมกินแป้งแล้วยังต่อด้วยแป้งอีก ฉันก็เห็นแต่ผู้ชายญี่ปุ่นเขารับข้าวกัน ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เอาข้าวกับเขาด้วยเสียที ว่าแต่ฉันจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ที่ไทยรับประทานก๋วยเตี๋ยวกับข้าวสวยไปพร้อมกัน ฉันเห็นแล้วแปลกตาเลยถามว่ามันเป็นอย่างไร ผู้ใหญ่ก็ยิ้มบอกว่าอร่อยนะ ลองดูสิ แต่ฉันก็ยังไม่เคยลองมาจนบัดนี้
พูดถึงก๋วยเตี๋ยวแล้วนึกได้ว่า เวลาไปร้านอาหารไทยหรือร้านอาหารเวียดนามในญี่ปุ่น สั่งก๋วยเตี๋ยวมาทีไรมักมีแต่เส้นพูนชาม ในขณะที่มีเครื่องเพียงนิดเดียวเท่านั้น รับประทานไม่เคยหมดเพราะเส้นอืดเสียก่อน แต่แปลกนะคะ ไม่ทราบทำไมพอเป็นราเม็งเหลือเส้นเยอะอย่างไรกลับรับประทานต่อจนหมดได้ เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะน้ำซุปที่เข้มข้นกระมัง
ว่าด้วยวิธีรับประทานราเม็ง
เพื่อนผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาแต่แรก ๆ อาจพอจำได้ว่าฉันเคยเล่าถึงความตกใจยามเห็นคนญี่ปุ่นรับประทานราเม็งต่อหน้าเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นเพื่อนสาวญี่ปุ่นคนสวยเสียด้วย เสียงสวบสาบซูดซาดดังสนั่นโสตอยู่ข้างหูตลอดเวลาที่เพื่อนกำลังรับประทานราเม็ง ทำให้ฉันถึงกับพะอืดพะอมจนแทบรับประทานราเม็งของตัวเองต่อไม่ลง ด้วยเสียงนั้นทำให้เกิดภาพในหัวเสมือนเพื่อนกำลังสวาปามราเม็งอย่างหิวโหยจนน้ำลายกระเด็นไปทั่วบริเวณ ทั้งที่ในความเป็นจริงเธอก็แค่คีบเส้นราเม็งใส่ปาก เพียงแต่ด้วยว่าความร้อนของเส้นทำให้ต้อง “สูด” เส้นเข้าปากอย่างรวดเร็วและเกิดเสียงดัง
คนญี่ปุ่นบอกว่าการรับประทานอย่างนั้นแสดงว่าอร่อย ไม่ทราบว่าถ้าคนญี่ปุ่นต้องมานั่งคีบเส้นทีละน้อยใส่ปาก หรือคีบเส้นวางบนช้อนก่อนใส่ปากแบบเวลาคนไทยรับประทานก๋วยเตี๋ยว จะรู้สึกว่าไม่อร่อยหรือเปล่านะคะ
ว่าด้วยผักชี
แม้บางเมนูก็ดูสร้างสรรค์ แต่ฉันก็แอบเรียกในใจว่าวัฒนธรรมการกินผักชีของญี่ปุ่นเป็น “หายนะแห่งการผสมผสานวัฒนธรรม” เพราะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกช็อคยามเห็นคนญี่ปุ่นรับประทานผักชีกันจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะเอาผักชีเป็นหลักของอาหารจานนั้น ๆ แทนที่จะแค่โรย เช่น สลัดผักชี ที่จริงการใส่ผักชีนิดหน่อยคลุกลงไปในสลัดที่มีผักหลากหลายนั้นอร่อยอยู่ แต่ถ้าทั้งจานเน้นผักชีนี่ แม้จะชอบผักชีแค่ไหน ฉันก็คงต้องขอเวลาทำใจชั่วชีวิต
ว่าด้วยข้าวหน้าไข่ดิบ
บ้านเราถ้าจะหาอะไรรับประทานง่าย ๆ ก็อาจจะเจียวไข่โปะข้าวสวยร้อน ๆ หน่อยก็อร่อยแล้ว แต่ญี่ปุ่นง่ายกว่านั้น ขอมีไข่ดิบสักฟอง ข้าวสวยสักถ้วย และโชยุนิดหน่อยก็อร่อยแล้วสำหรับพวกเขา ฉันเห็นสามีบางทีก็รับประทานกับนัตโต(ถั่วเน่าญี่ปุ่น) คือเอาไข่ดิบกับนัตโตคนเข้าด้วยกันแล้วราดบนข้าวสวย ฉันว่าเมนูนี้เอาไปให้คนฝรั่งรับประทานคงมีคนขอยอมตายแน่เลย เพราะพวกเขารับไม่ได้กับอาหารที่ยืด ๆ เละ ๆ เหลวๆ
ว่าแต่ดูเหมือนคนญี่ปุ่นจะยอมรับประทานไข่ดิบเฉพาะเวลาอยู่ญี่ปุ่นนะคะ เพราะเชื่อมั่นว่าไข่สดใหม่ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นในต่างประเทศจะไม่ค่อยกล้ารับประทาน
ว่าด้วยเนื้อดิบ
สมัยที่อาหารญี่ปุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในไทยขนาดนี้ ฉันเคยลองรับประทานข้าวหน้าปลาดิบดูเป็นครั้งแรกจากร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยที่ชาวญี่ปุ่นพาไป จำได้ว่ารู้สึกพะอืดพะอมมากยามเคี้ยวเนื้อปลาดิบ ๆ แต่ก็รับประทานจนหมดเพราะสั่งมาเอง เดี๋ยวนี้แม้จะรับประทานปลาดิบได้เป็นปกติ แต่เนื้อสัตว์ดิบอื่น ๆ นี่อย่างไรก็ไม่อยากลองเลยค่ะ
ฉันเคยรับประทานซูชิที่ร้านแห่งหนึ่งกับเพื่อน ๆ โดยเราสั่งแบบ “โอมากาเสะ” (おまかせ)ซึ่งก็คือแล้วแต่ว่าพ่อครัวซูชิจะทำซูชิแบบไหนมาให้ มีซูชิอยู่ชิ้นหนึ่งที่ฉันนึกว่าเป็นท้องปลาทูน่าส่วนที่มีไขมันเยอะที่สุด พอใส่ปากเคี้ยวด้วยความดีใจไปสักพักก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะกลิ่นมันไม่ใช่กลิ่นปลา เคี้ยวไปเคี้ยวมาพอนึกได้ว่ามันคือเนื้อวัวดิบก็ตกใจ ยิ่งเคี้ยวไม่ขาดยิ่งชวนให้ใจจะขาดแทน จนในที่สุดฉันก็ต้องคายทิ้ง แม้วันนั้นซูชิปลาอื่น ๆ จะเลิศรสแค่ไหน พอมาจบลงที่เนื้อวัวดิบซึ่งถือเลิศเลอที่สุดและแพงที่สุด ความประทับใจทุกอย่างก็มลายหายสิ้น จำได้เพียงความสยดสยองที่พกกลับบ้านไปแทน
อันที่จริงฉันเคยรับประทานเนื้อดิบอย่างอื่นมาก่อนแล้วอย่างเสียมิได้ ชนิดแรกคือ “เนื้อม้าดิบ” (ซาชิมิเนื้อม้า) หรือที่เรียกภาษาญี่ปุ่นว่า “บะซะฉิ” (馬刺し)คือเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่พาฉันไปทานข้าวเสนอด้วยความหวังดีว่า “มาญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องกินอะไรที่หาในประเทศอื่นไม่มีสิ” แล้วก็สั่งเนื้อม้าดิบมาให้ฉันลองโดยไม่ถามความสมัครใจ
ฉันหน้าเจื่อนเพราะรู้สึกว่าม้าเป็นสัตว์เลี้ยงและน่ารัก ไม่ควรเอามาเป็นอาหารแบบนี้ แถมยังให้รับประทานดิบ ๆ อีก พอคีบใส่ปากก็เคี้ยวอยู่นานสองนานเท่าไหร่ก็ไม่ขาดเสียที มันเหนียวมากเสียจนชวนให้รู้สึกถึงกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ของม้า ทั้งยังได้กลิ่นสาบอ่อน ๆ ของม้าอีก แค่ชิ้นแรกฉันก็ไม่ไหวแล้ว จึงไม่ยอมแตะมันอีกเลย
อย่างที่สองที่เพื่อนผู้หวังดีอีกคนคะยั้นคะยอให้รับประทานคือ เนื้อไก่ดิบ เธอบอกว่าเมนูไก่ดิบเป็นของขึ้นชื่อของร้าน ฉันปฏิเสธ แต่เธอก็ยังยืนยันว่ามันรสหวานและสดมาก ถ้าร้านเขากล้าเอามาทำแสดงว่ากินได้ไม่เป็นไรหรอกน่า อุตส่าห์พามาร้านนี้โดยเฉพาะแล้วจะไปสั่งอย่างอื่นทำไมกัน แล้วเธอก็สั่งมาให้ฉันจนได้ แม้เนื้อไก่ดิบนั่นจะหวานจริง แต่ฉันก็รับประทานได้เพียงสองคำเท่านั้นก็จอด
ไว้มีโอกาสฉันน่าจะพาเพื่อนพวกนี้ไปรับประทานลาบเลือดเสียบ้างคงดีนะคะ
แล้วสัปดาห์หน้าจะเล่าเรื่อง culture shock ที่คนญี่ปุ่นมีต่ออาหารการกินของไทยให้ฟัง อย่าลืมติดตามอ่านต่อนะคะ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.