xs
xsm
sm
md
lg

จาก Animal Farm ถึง เกาะลิง ... กว่าจะรู้ตัวว่าถูกขัง (จบ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


ความเดิมตอนที่แล้ว

“ฉัน” รู้สึกตัวขึ้นมาและเริ่มเดิน ในที่สุดก็พบว่าทางเดินในนั้นวนเป็นวง จึงหวนกลับมาสู่ที่เดิม ระหว่างนั้นก็ได้เจอสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่น ทีแรกดูท่าไม่เป็นมิตร แต่แล้วก็คุยกัน เจ้าถิ่นผู้มาอยู่ก่อนอธิบายเรื่องลิงโหยหวนให้ผู้มาเยือนได้รู้ อีกทั้งยังพูดเชิงปลอบประโลมด้วย ความรู้สึกซับซ้อนในตัว “ฉัน” คลายลงบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด และแล้วความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น “ฉัน” กับ “เขา” กำลังจะเผชิญกับความจริงบางอย่างที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญ

-------------------------


“เกาะลิง”


ฉันยังคงยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น ไม่ว่ายอดเขาไหนก็มีแต่ลิงเต็มไปหมด พวกนั้นค้อมตัวอาบแสงอาทิตย์

“ทั้งหมดนี่ลิงหรือ”

ราวกับฉันฝันไป

“ใช่แล้ว แต่ไม่เหมือนกับพวกเราหรอก บ้านเกิดอยู่คนละที่”

ฉันมองลิงพวกนั้นทีละตัวอย่างจดจ่อ มีแม่ลิงที่กำลังให้นมลิงลูกอ่อนขณะขนปุย ๆ สีขาวของแม่ลิงต้องกระแสลม ลิงจมูกใหญ่และแดงที่เชิดขึ้นฟ้ากำลังร้องเพลง ลิงที่กำลังเกี้ยวคู่ของตัวเองท่ามกลางแสงอาทิตย์ขณะกระดิกหางลายสวย ลิงที่กำลังเดินไปโน้นทางนี้ท่าทางยุ่งขณะขมวดคิ้วไปด้วย

ฉันกระซิบถามเขา “ที่นี่ ที่ไหนกันล่ะ”

ดวงตาเขาเต็มตื้นไปด้วยแววโอบเอื้อพลางตอบ

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าท่าทางคงจะไม่ใช่ญี่ปุ่น”
“อย่างนั้นรึ” ฉันถอนใจ “แต่ต้นไม้นี่คงจะเป็นต้นโอ๊กคิโซะ”

เขาหันไปที่ต้นไม้แห้งเฉา เคาะลำต้นเบา ๆ แล้วมองกราดขึ้นไปถึงยอด

“ไม่ใช่หรอก ลักษณะการงอกของกิ่งก็ไม่เหมือน แล้วไหนยังกษณะการสะท้อนแสงของเปลือกไม้ก็ยังทื่อ ๆ อีกด้วยไม่ใช่รึ แต่ถ้าแตกตาออกมาก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน”

ฉันยืนอยู่อย่างนั้น ขยับเข้าใกล้ต้นไม้แห้งเหี่ยว แล้วถามเขา

“แล้วทำไมตาไม่แตกออกมาล่ะ”
“มันแห้งเหี่ยวตลอดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ตอนที่ข้ามาที่นี่ มันก็เฉาอยู่แล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เดือนเมษา พฤษภา มิถุนา...ผ่านมาสามเดือนแล้ว มันมีแต่แห้งเอาแห้งเอา การที่มันอยู่ตรงนี้ มันอาจจะเป็นแค่ต้นปักชำ คงไม่มีรากแน่ ๆ ต้นไม้ตรงโน้นน่ะแย่ยิ่งกว่านี้อีก มีแต่ขี้ของไอ้พวกนั้น”

พอพูดแล้ว เขาก็ชี้ไปที่ลิงโหยหวนฝูงนั้น ลิงโหยหวนหยุดร้องแล้ว เกาะจึงคืนสู่ความสงบมากทีเดียว

หมอกสลายกลายเป็นความแจ่มใสหมดแล้ว ที่ประจักษ์อยู่เบื้องหน้าสายตาของพวกเราคือภาพอันแสนพันลึกที่ปรากฏขึ้น ใบเขียวของต้นไม้...นั่นคือสิ่งแรกที่ฉันเห็นก่อนอื่นใด ฉันรู้ชัดแล้วว่าตอนนี้ฤดูอะไร ที่บ้านเกิดนี่คือช่วงที่ใบต้นโอ๊กกำลังสวยสด ฉันพยักหน้าขึ้นลง มองดูใบเขียวของต้นไม้ที่เรียงกันเหล่านี้ แต่เพียงชั่วพริบตา ความชื่นมื่นก็สลายลง

ฉันจับสายตาจ้องเขม็งด้วยความตะลึงอีกครั้ง ภายใต้ใบเขียว ๆ ของต้นไม้ ที่นั่น...บนทางที่เป็นกรวดซึ่งมีละอองน้ำพรมอยู่ เหล่ามนุษย์ลูกตาสีฟ้าที่สวมชุดสีขาวกำลังเดินติด ๆ กันราวกับไหล มีผู้หญิงสวมหมวกขนนกสดใสอยู่ด้วย มีชายที่แกว่งไม้เท้าอ้วน ๆ ทำจากหนังงูพลางส่งยิ้มซ้ายทีขวาทีอยู่ด้วย

เขากอดฉันซึ่งกำลังตัวสั่นเทิ้ม แล้วกระซิบอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องตกใจ เป็นอย่างนี้ทุกวันแหละ”
“จะเป็นยังไงต่อไป ทุกคนกำลังมุ่งจะมาทำอะไรพวกเรา” ฉันหวนระลึกถึงประสบการณ์สาหัสทั้งปวง ตั้งแต่ติดอยู่ที่ภูเขากระทั่งตอนมาถึงเกาะนี้ ฉันขบริมฝีปากล่างของตัวเอง
“เป็นการแสดงให้ดูเท่านั้นเอง เป็นแค่การแสดงให้พวกเราดู เงียบ ๆ แล้วก็ดูซะ มีอะไรที่น่าสนใจด้วยนะ”

เขารีบบอกเช่นนั้น พลางเลื่อนแขนข้างหนึ่งมาโอบฉันไว้ อีกข้างหนึ่งก็ชี้มนุษย์ตรงโน้นตรงนี้ แล้วเล่าเรื่องราวให้ฉันฟังด้วยเสียงแผ่วเบา ตรงนั้นเรียกว่าภรรยา...เขาเริ่ม...เธอเป็นผู้หญิงที่รู้วิธีมีชีวิตอยู่แค่สองทางคือ เป็นของเล่นของสามี หรือไม่ก็เป็นผู้ควบคุมสามี บางทีมนุษย์ที่เรียกว่าสะดือ...อาจมีรูปแบบเป็นอย่างนั้นก็ได้ นั่นเรียกว่านักวิชาการ เป็นพวกแปลกพิกลที่ได้ข้าวกินด้วยการอุตส่าห์ตีความแบบกวนใจพวกอัจฉริยะที่ตายไปแล้ว แล้วก็ตำหนิพวกอัจฉริยะที่ยังมีชีวิตอยู่ พอดูพวกนั้นทีไร ก็ไม่รู้ยังไง...พานง่วงเอาทุกที ตรงโน้นเรียกว่านักแสดงหญิง เป็นพวกที่เวลาอยู่กับโฉมหน้าแท้จริงจะเล่นละครเก่งกว่าเวลาอยู่บนเวทีเสียอีก แล้วก็...นั่นเรียกว่าเจ้าของที่ดิน เป็นพวกขี้ขลาดที่ดีแต่บ่นว่าตัวเองทำงานหนักหนาขนาดไหน พอเห็นพวกนั้นละก็ รู้สึกระคายเคืองเหมือนมีเห็บคลาน ๆ เดิน ๆ อยู่แถว ๆ สันจมูก

ฉันฟังคำเล่าของเขาอย่างเห็นเป็นจริงเป็นจังเพราะฉันกำลังจ้องมองบางสิ่งอยู่ ซึ่งก็คือดวงตาสี่ดวงที่ดูราวกับกำลังลุกโชน นั่นคือดวงตาของเด็กที่ส่องเป็นสีฟ้าใส ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เด็กสองคนนี้ยื่นหน้าจากกำแพงกรวดที่สร้างอยู่รอบนอกของเกาะ จ้องมองไปทั่วเกาะราวกับกระหายใคร่จับจอง สองคนนั่นคงเป็นเด็กผู้ชาย ดูผมสีทองสั้น ๆ ที่เต้นระริกในสายลมยามเช้า คนหนึ่งหน้าเป็นกระ จมูกเป็นเส้นตรง เด็กอีกคนหนึ่ง แก้มเป็นสีดอกบ๊วย

ไม่ช้า สองคนก็สุมหัวกันคิด จากนั้นเด็กจมูกดำก็ทำปากตูม กระซิบอะไรบางอย่างอย่างตื่นเต้นที่หูของอีกคนหนึ่ง ฉันเขย่าตัวเขาด้วยสองมือพลางตะโกน

“เขาพูดอะไรกัน บอกหน่อยสิ เด็กพวกนั้นกำลังพูดอะไรกัน”

ดูเหมือนเขาตกใจ หยุดพูดทันใด แล้วมองกลับไปกลับมาที่หน้าฉันกับหน้าเด็ก พอทำเช่นนั้นแล้ว เขาก็ขยับปากงึมงำ ดิ่งลงสู่ความคิดชั่วครู่ ฉันแปลความได้ว่าเขาอยู่ในสภาพลำบากอย่างหนักเสียแล้ว แม้กระทั่งหลังจากเด็กพวกนั้นพ่นคำที่ฟังไม่รู้เรื่องใส่เกาะอย่างทิ่มแทงและพากันหายไปจากบนกำแพงหินแล้วก็ตาม แต่เขายังคงลังเลอย่างหนัก มือข้างหนึ่งตบหน้าผากบ้าง เกาบั้นท้ายบ้าง ผลสุดท้ายมุมปากของเขาก็แย้มอย่างมีเลศนัย แล้วพูดอะไรต่อมิอะไรออกมา

“มาเมื่อไร ดูเมื่อไร ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ บ้าชะมัด”

เหมือนเดิม? ฉันเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว สิ่งที่ฉันสงสัยนั้นตรงเผงเลย เหมือนเดิม... นี่คือคำวิจารณ์ สิ่งที่เป็นการแสดงให้ดูก็คือพวกเรานั่นเอง

“อย่างนั้นหรือ งั้นแกก็โกหกฉันน่ะสิ” ฉันคิดว่าจะฆ่าเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

มือข้างหนึ่งของเขารัดเอวของฉันแน่น แล้วตอบว่า “ก็...แกน่าสงสารนี่”

ฉันแนบตัวเข้าที่หน้าอกกว้างของเขา รู้สึกอับอายในความเขลาของตัวเองมากกว่าที่จะรู้สึกเคืองแค้นความใจดีอันไม่น่าพึงปรารถนาของเขา

“หยุดร้องไห้เสียที ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”

เขาตบหลังฉันเบา ๆ แล้วพึมพำเสียงเปลี้ย

“บนกำแพงหินนั้นมีกระดานไม้บาง ๆ ยาว ๆ ตั้งอยู่ใช่ไหม ด้านหลังหันมาทางพวกเรา เป็นไม้สีออกน้ำตาลแดงบาง ๆ สกปรกหน่อย ๆ ที่ด้านหน้ามีอะไรเขียนอยู่ด้วย พวกมนุษย์จะอ่านที่เขียนอยู่ตรงนั้น เขียนไว้ว่า...หูส่องแสงคือลิงญี่ปุ่น แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ามีอะไรที่ดูแคลนร้ายแรงกว่านั้นก็ได้นะ”

ฉันไม่อยากได้ยินอีกแล้ว ฉันผละออกจากหน้าอกเขา แล้วหุนหันไปที่ใต้ต้นไม้เหี่ยวแห้ง ปีนจนถึงยอด ฉันเกาะกิ่งแล้วมองออกไปจนทั่วเกาะ พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว แผงหมอกก่อตัวอ่อนนุ่มอยู่ตรงส่วนโน้นส่วนนี้ของเกาะ ภายใต้ฟ้าคราม อย่างน้อยลิงตั้งร้อยตัวก็เพลินแดดอย่างสงบ พาเล่นกันอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ฉันส่งเสียงเรียกเขาซึ่งยังคงนั่งยอง ๆ อยู่นิ่ง ๆ ข้างปากน้ำตก

“ไม่มีใครรู้เลยหรือไง”

เขาตอบฉันมาจากข้างล่าง โดยไม่มองหน้า

“จะรู้อะไร ที่รู้ก็อาจจะมีแค่ข้ากับแกแค่นั้นแหละ”
“ทำไมถึงไม่หนีล่ะ”
“คิดจะหนีงั้นสิ”
“หนี”

ไม้ใบสีเขียว ทางหินกรวด คลื่นมนุษย์

“ไม่กลัวรึไง”

ฉันหลับตาทันที เขาพูดคำที่ห้ามพูดไปแล้ว

ในสายลมที่ชโลมหูของฉัน มีเสียงลอยมาด้วย เป็นเพลงเสียงต่ำ ๆ สะท้อนมา เขากำลังร้องเพลงกระนั้นหรือ ดวงตาของฉันร้อน เมื่อครู่ตอนที่ฉันตกลงมาจากต้นไม้ก็เพลงนี้นี่ ฉันหลับตาแล้วฟัง

“นี่ นี่ ลงมานี่สิ ที่นี่ดีนะ แสงอาทิตย์ส่องถึงด้วย มีต้นไม้ด้วย ได้ยินเสียงน้ำด้วย แล้วยังมีสิ่งที่ดีที่สุดด้วย...คือไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน”

ฉันได้ยินราวกับเป็นเสียงตะโกนของเขาจากที่ไกลห่าง แล้วก็ยังมีเสียงหัวเราะต่ำ ๆ โอ...ช่างน่าหลงใหล และช่างเหมือนความจริงเสียนี่กระไร หรืออาจจะเป็นความจริงก็ได้ บางสิ่งบางอย่างเกือบจะพังทลายลงในตัวฉัน แต่...แต่เลือด...เลือดโง่ที่เติบใหญ่ขึ้นด้วยภูเขา ใช่...มันยังคงกู่ตะโกนอย่างดึงดันต่อไป

ไม่อยู่แล้ว

กลางเดือนมิถุนายน ปี 2439 มีรายงานจากสำนักงานสวนสัตว์ประจำพิพิธภัณฑ์ลอนดอนว่า ลิงญี่ปุ่นหลบหนีไปและไร้ซึ่งเบาะแส นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่เป็นสองตัว

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com



กำลังโหลดความคิดเห็น