xs
xsm
sm
md
lg

รหัสรักจากอเวจี ตอนที่ 18 หลุมหลบภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี

คุณนายสาวบันทึกต่อไปอีกว่า...ความลึกลับของคดีนายฮิเมดะกับนายมูราโคชิคลี่คลายลงเป็นส่วนใหญ่แล้ว เหลือแต่คดีจิตรกรสติเฟื่องเพื่อนของนายมูราโคชิที่จมน้ำตายเท่านั้น คิดว่าเรื่องนี้ท่านไม่ได้วางกลอุบายที่แยบคายอะไรเอาไว้เพราะอยู่ในภาวะเร่งด่วนไม่มีเวลาคิดแผน กรณีของจิตรกรสติเฟื่องคิดได้สองทางคือ ทางแรกฉันวาดภาพว่าเมื่อคืนวันที่ ๑๒ (คืนก่อนที่นายมูราโคชิเองจะถูกฆ่า) ท่านได้ใช้จุดอ่อนของนายมูราโคชิที่กำเอาไว้ขู่ให้เขาฆ่า จิตรกรด้วยการผลักตกแม่น้ำหลังโรงงานแถวสะพานเซ็นจูโอฮาชิที่เปลี่ยวผู้คน ขณะที่นายนั่นกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น แต่คิดแล้วการขู่ให้นายมูราโคชิทำเช่นนั้นน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะเสี่ยงกับการที่จะทำให้นายมูราโคชิรู้ตัวว่าตนเป็นเหยื่อรายต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องเป็นท่านเองที่ไปถึงเซ็นจูแล้วผลักจิตรกรสติเฟื่องตกน้ำตาย

ที่แน่ ๆ คือท่านต้องรู้เรื่องราวของจิตรกรอย่างละเอียดจากนายมูราโคชิแม้อาจไม่เคยพบกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ชักชวนให้นายนั่นออกมาจากที่พักโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น แล้วพาไปแถวสะพานเซ็นจูโอฮาชิที่เขาชอบไปมาก

แล้วคืนวันที่ ๑๒ ท่านมีพยานยืนยันหรือไม่ว่าอยู่ที่ไหน...ตรงนี้ก็มีเหตุบังเอิญอย่างประหลาดอีกแล้ว คือ วันนั้นคนขับรถขอหยุดงานบอกว่าปวดท้อง ท่านจึงขับรถออกไปด้วยตนเอง ตามปกติท่านเป็นคนชอบขับรถอยู่แล้วและยังภาคภูมิใจในความ สามารถของตนเองด้วย พอรู้ว่าคนขับรถป่วยก็กระวีกระวาดขับรถออกไปเองเหมือนรอโอกาสอยู่แล้ว ความชอบเช่นนี้ของท่าน บางครั้งดูแล้วใกล้เคียงกับการที่จะบอกว่าเป็นรสนิยมประหลาดได้เลยทีเดียว

คืนวันที่ ๑๒ ท่านมีนัดไปงานเลี้ยงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูที่ยานางิบาชิกลับบ้านเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ฉันดูแผนที่พบว่ายานางิบาชิอยู่ใกล้สะพานชินจูโอฮาชิกว่าที่คิด ขับรถไปแค่ ๑๕ หรือ ๒๐ นาทีเท่านั้น ท่านมีเวลามากพอที่จะแวะไปทำธุระตามเป้าหมายที่เซ็นจูให้เสร็จหลังกลับจากงานเลี้ยง ถ้านัดให้จิตรกรไว้ล่วงหน้าหรือรู้ว่าคืนนั้นจิตรกรจะมาเตร็ดเตร่อยู่แถวสะพานพอดี ท่านมีเวลาเผื่อไว้ไม่ถึงชั่วโมงก็พอถมเถ ขากลับบ้านก็ตรงมามาทางอาโอยามะเลยไม่ต้องย้อนกลับไปที่ยานางิบาชิ คือจะกลับเซ็นจูหรือกลับจากยานางิบาชิก็ใช้เวลาพอ ๆ กัน

ทั้งหมดนั้นคือการสันนิษฐานที่ฉันตั้งใจบันทึกเอาไว้ทั้งหมด อาจมีรายละเอียดบางช่วงตอนขาดหายไปบ้าง แต่ก็เหนื่อยมากเขียนต่อไม่ไหวแล้ว

๑๗ ฉันเขียนบันทึกติดต่อกันเป็นเวลานานพอควร โดยเริ่มเขียนตั้งแต่เช้าวันที่ ๑๗ ซึ่งเป็นวันถัดจากที่นักสืบอาเกจิมาที่บ้าน จากนั้นก็เขียน ๆ หยุด ๆ เท่าที่จะหาเวลาได้ จนขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มของวันที่ ๑๘ ใช้เวลาเกือบสองวัน เขียนเต็มหน้ากระดาษสมุดไดอารี่กินที่ในส่วนของห้าสิบวัน ท่านไม่อยู่บ้านทั้งสองวันฉันจึงมีเวลาเขียนเต็มที่ แต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรได้มากมายขนาดนี้ คิดว่านี่เป็นครั้งแรกหลังแต่งงานที่ฉันนั่งลงเขียนอะไรยาว ๆ ทีเดียวจบ หรือว่าวิญญาณนักสืบจะเข้าสิง และวิญญาณนั้นบังคับมือให้ฉันเขียนลงไป

คิดว่าการถอดรหัสคดีเช่นนี้คงไม่มีใครทำได้นอกจากฉันซึ่งเป็นภรรยาของนายโองาวาระ ท่านเป็นคนชอบอ่านนิยายสืบสวนและบันทึกคดีอาชญากรรมทั้งยังจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ และเป็นคนชอบพวกมายากลมากซึ่งฉันพลอยได้รับอิทธิพลมาด้วยจึงคุ้นเคยกับเทคนิคเหล่านั้นไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นในฐานะที่เป็นภรรยาฉันจึงรู้นิสัยและรู้แนวความคิดของท่านดีกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงพูดได้เต็มปากว่านอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครเข้าใจพฤติกรรมที่ประหลาดเหนือเมฆและเด็ดขาดฉับพลันของท่าน

ถึงจะบอกว่าคุ้นชินแต่ก็อดตื่นตะลึงไปกับความอาจหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใดของท่านไม่ได้ ความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมานั้นกลับทำให้ดูเป็นอะไรที่เหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง โฉมหน้าหนึ่งของท่านเป็นคนที่ยึดมั่นความเป็นจริงที่สุดอย่างไม่มีอะไรจะเหนือไปกว่านั้นซึ่งดีต่อการเป็นนักธุรกิจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งอยู่ในโลกแห่งจินตนาการของนิยายสืบสวนและหลงใหลมายากล ในการก่อฆาตกรรมของท่านครั้งนี้มีสองอุปนิสัยปนเปกันอยู่ ท่านฆ่าผู้ชายที่เล่นรักกับฉันด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญราวเหล็กกล้า ทั้ง ๆ ที่ยังรักฉันไม่เสื่อมคลาย นั่นคือนิสัยการยึดมั่นกับความเป็นจริงของท่าน ส่วนการฆ่าด้วยวิธีที่ผูกเป็นปริศนาซับซ้อนที่ดูเหมือนกับเงื่อนตาย ทำความเป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมาเกิดจากอุปนิสัยความเป็นคนชอบเรื่องลึกลับและมายากล

แต่ถึงจะค้นพบความเป็นจริงถึงขั้นนี้แล้ว ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เกลียด ไม่กลัวท่าน แต่กลับรู้สึกเกรงขามต่อความเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญราวเหล็กกล้า และเข้าใจความเอาแต่ใจตัวเหมือนเด็ก ๆ ของท่าน ทำไมฉันไม่โกรธเมื่อผู้ชายที่ฉันรักและยังรักแม้จนทุกวันนี้ถูกฆ่า ฉันไม่โกรธสักนิดเดียว หรือว่าฉันไม่รู้ความหมายแท้จริงของความรักอย่างที่คนทั่วไปรู้ หรือว่าฉันเป็นคนวิปริตที่รักผู้ชายได้ทีเดียวหลายคนโดยมีท่านเป็นคนที่ฉันรักที่สุด และรักพวกหนุ่ม ๆ แต่เพียงกาย

ฉันไม่คิดที่จะเปิดเผยพฤติกรรมอันเป็นบาปหนักของท่านให้ใครรู้ในขณะนี้ โดยจะอยู่ข้างท่านและปิดบังความจริงไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ ยิ่งรู้ว่าท่านเป็นฆาตกรใจเด็ดราวเหล็กกล้าฉันก็ยิ่งรักท่านยิ่งกว่าแต่ก่อนมาก จิตใจฉันทำไมถึงได้ประหลาดพิสดารอย่างนี้

ถึงจะเป็นสมุดไดอารี่ติดกุญแจ การเขียนอะไรอย่างนั้นลงไปย่อมเป็นการเสี่ยงต่ออันตรายแน่นอน ฉันตั้งใจไว้ว่าถ้าเกิดกังวลขึ้นมาฉันจะเผามันทิ้งเสีย

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากบันทึกเอาไว้แต่เหนื่อยแล้ว ความที่รีบเขียนนิ้วกลางเลยเสียดสีกับปากกาพองออกมาแล้วแตกด้วย เจ็บมากเขียนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องจบแต่เพียงเท่านี้

โชจิ ทาเคฮิโกะ อ่านข้อความอันน่าตื่นระทึกที่บันทึกไว้ในไดอารี่เล่มนั้นจนจบด้วยความงงงันอย่างบอกไม่ถูก และความที่เป็นเรื่องสำคัญมากเขาจึงนั่นคิดอยู่นานหลายชั่วโมงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ไม่รู้ว่าจะคิดไปในแนวใดดี ที่แน่ ๆ คือกลัวการประจันหน้ากับคุณนายยูมิโกะ เย็นวันนั้นนายโองาวาระกับคุณนายที่ไปทำธุระกันคนละแห่งทยอยกันกลับเข้ามา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องพบกันที่โต๊ะอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทาเคฮิโกะอยากเลี่ยงจึงบอกกับเจ้าหนุ่มโกโรไว้ว่าจะออกไปทำธุระส่วนตัว แล้วก็ออกไปเดินเตร่อย่างไม่มีจุดหมายอยู่แถวนั้น โดยเหน็บสมุดไดอารีที่เขาห่อด้วยกระดาดหนังสือพิมพ์หลายชั้นติดตัวไปด้วย เพราะคิดว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายหากทิ้งไว้ห่างตัวแม้เพียงอึดใจเดียว

ทาเคฮิโกะเดินเรื่อยเปื่อยไป มารู้สึกตัวอีกทีปรากฏว่ากำลังเดินอยู่แถวจิงงูไกเอ็น ค่ำมากแล้วเห็นคนที่เดินอยู่ใต้เงาไม้เป็นเงาตะคุ่ม ชายหนุ่มเดินวนเวียนไปตามทางลาดยางมะตอยที่ตัดลดเลี้ยวเป็นเส้นโค้งงดงามภายในสวนจนมืด ไฟถนนที่แฝงอยู่ในเงาไม้ส่องแสงชวนให้เหงาใจ

ชายหนุ่มเดินไม่หยุดอยู่เกือบสองชั่วโมง แต่ความคิดก็ยังสับสนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ถ้าจะเคารพความตั้งใจของคุณนายเขาก็ควรขยี้ความจริงที่เขียนไว้ในไดอารี่ทิ้งไปให้หมด แต่ทาเคฮิโกะไม่มีความกล้าพอที่จะทำเช่นนั้น คนที่ได้รับการสั่งสอนมาให้เกรงกลัวกฎหมายและศีลธรรมอย่างเขาไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้วนอกจากไปปรึกษาใครสักคน และคน ๆ นั้นก็คืออาเกจิ โคโงโร

นักสืบเอกชนที่ชื่ออาเกจิเป็นมิตรกับกฎหมายแต่ไม่ได้เป็นทาสกฎหมายอย่างพวกข้าราชการ คงจะช่วยหาทางคลี่คลายปัญหาอย่างเหมาะสมที่สุดโดยคำนึงถึงจิตใจและเหตุผล แต่การที่จะไปปรึกษากับนักสืบอาเกจินั้น เขาไม่อาจปกปิดความสัมพันธ์ที่เขามีกับยูมิโกะในครึ่งแรกของไดอารี่เอาไว้ได้ เขาจำเป็นต้องสารภาพแม้จะอับอายเพียงใด แต่นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงความสำคัญของคดีที่ยิ่งใหญ่กว่ามากนัก

พอตัดสินใจได้ ชายหนุ่มก็รีบจับแท็กซี่ไปยังอพาร์ตเม้นต์ของนักสืบอาเกจิที่โคจิมาจิในตำบลอุเนเมะทันที ทุ่มครึ่งแล้ว โชคดีที่นักสืบเอกอยู่บ้านและเชิญเขาเข้าไปที่ห้องรับแขก
พอนั่งลงทาเคฮิโกะก็แก้ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ หยิบสมุดไดอารีติดกุญแจออกมาวางตรงหน้านักสืบเอก โดยที่ยังไม่อธิบายอะไร

“นี่คือสมุดไดอารี่ของคุณนายโองาวาระที่เขียนข้อความสำคัญมากเอาไว้ กรุณาอ่านตั้งแต่ตรงนี้จนจบดูเถิดครับ”

ชายหนุ่มเปิดที่หน้าประมาณวันที่ ๕ พฤษภาคม

“รู้สึกว่าจะยาวมาก ระหว่างที่ผมอ่านคุณคงเบื่อ ไปหาหนังสือตรงนั้นอ่านคอยดีกว่าไหม”

นักสืบอาเกจิบอกพร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมในท่าสบาย แล้วเริ่มอ่านไดอารี่เล่มนั้น

ทาเคฮิโกะไม่มีอารมณ์ที่จะอ่านหนังสือ จึงได้แต่จ้องมองสีหน้าของนักสืบอาเกจิขณะที่เขากวาดสายตาไปบนหน้ากระดาษ ระหว่างนั้นเจ้าหนุ่มโคบายาชิผู้ช่วยนักสืบเอากาแฟมาเสิร์ฟ ทาเคฮิโกะชอบพอกันดีกับเจ้าหนุ่มหน้าตาน่ารักคนนี้ แต่วันนี้ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ไม่ชวนพูดคุยเช่นเคยเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนนักสืบ อาเกจิ เจ้าหนุ่มโคบายาชิรู้เรื่องราวของคดีนี้ดี จึงจ้องมองสมุดไดอารี่ที่กางอยู่บนตักนักสืบเอกด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกไปจากห้องโดยไม่พูดจาว่ากระไร

อ่านไปได้ราวครึ่งหนึ่ง นักสืบเอกก็เริ่มยกมือขวาขึ้นเกาศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมยุ่ง ๆ ซึ่งรู้จักกันว่าเป็นท่า “นักสืบตื่นเต้น” ทาเคฮิโกะเคยอ่านพบในหนังสือแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริง ดวงตาที่อ่อนโยนและขี้เล่นอยู่เสมอนั้นตอนนี้เป็นประกายคมวาวขึ้นมาอย่างประหลาด ชายหนุ่มคิดว่าเขาเห็นประกายของความตื่นเต้นดีใจแฝงอยู่
นักสืบเอกอ่านไดอารี่เล่มนั้นจนในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วจึงหยิบดินสอกับกระดาษจดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะมาจดข้อความบางช่วงตอนในไดอารี่ลงไปอย่างเร่งรีบ และพอจดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นคุยกับทาเคฮิโกะด้วยใบหน้าที่กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง

“ดูจากโลหะที่หักงอนี่แล้วคุณคงจะเปิดสมุดไดอารี่โดยไม่ใช้กุญแจละซี คือแอบขโมยคุณนายยูมิโกะมาอ่านใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“ทำไมคุณรู้ล่ะว่ามีสมุดไดอารี่เล่มนี้อยู่”

ทาเคฮิโกะเล่าเรื่องที่เขาเข้าไปในห้องของยูมิโกะโดยไม่บอกกล่าวเมื่อวันก่อน และเห็นเธอรีบซ่อนไดอารีเล่มนี้ไว้เพราะกลัวเขาจะเห็น พอได้ยินดวงตาของนักสืบอาเกจิก็เป็นประกายวาววับขึ้นอีก และยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ

“เอาสมุดไดอารี่เล่มนี้ไปคืนไว้ในลิ้นชักตามเดิมดีกว่า ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่การทำเช่นนั้นเป็นมารยาทของเรานะ”

คำพูดที่เป็นปริศนาของอาเกจินั้นต่อมาภายหลังจึงรู้ว่ามีความหมายที่สำคัญมากแฝงอยู่ แต่ตอนนั้นทาเคฮิโกะไมมีสติปัญญาจะคิดไปถึงขั้นนั้น เขาไม่เข้าใจว่า “ไม่จำเป็น” กับ “มารยาทของเรา” ในคำพูดของนักสืบเอกหมายความว่าอย่างไรแต่ไม่มีเวลาซักถาม เพราะมัวแต่คิดว่าจะทำอย่างไรกับกุญแจที่ชำรุด

“นี่มันบิดไปเท่านั้นไม่มีอะไรฉีกขาด ก็แค่ทำให้เหมือนเดิม ผมจะทำให้ดู”

นักสืบเอกอ่านสีหน้าของทาเคฮิโกะออกทันที ว่าพลางลุกขึ้นไปที่ห้องทำงานข้าง ๆ แล้วกลับมาพร้อมกับกล่องเครื่องมือสารพัดนึก บรรจุเครื่องมือขนาดจิ๋วครบครัน มีทั้งเลื่อย ค้อน สว่าน คีม และอีกหลายอย่าง นักสืบอาเกจิหยิบออกมาวางเรียงบนโต๊ะ แล้วเริ่มลงมือทำงานด้วยท่าทางราวกับช่างใหญ่

นิ้วยาวเรียวของนักสืบเอกเคลื่อนไหวคล่องแคล่วอย่างน่าฉงน เขาใช้คีมดัดส่วนที่งอให้คืนตัว เอาแผ่นโลหะรองก่อนใช้ค้อนค่อย ๆ ทุบให้เรียบ และทำอะไร ๆ อีกหลายขั้นตอน ไม่นานกุญแจที่บิดไปก็คืนรูปเดิมอย่างแนบเนียน

“เอาละ ใช้ได้แล้ว ถ้ามองดี ๆ ก็คงจะรู้ แต่ถึงรู้ก็ไม่เป็นไร เราซ่อมแล้วแอบเอาไปคืนที่ตามเดิม ทำตามมารยาทแล้วเป็นดี”

นักสืบอาเอจิพูดอะไรที่ฟังแล้วไม่เข้าใจอีกครั้ง ก่อนส่งสมุดไดอารี่ที่ติดกุญแจเรียบร้อยตามเดิมคืนทาเคฮิโกะ

“เอาไปคืนไว้แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ต้องทำอะไรอีกหรือครับ”

ทาเคฮิโกะทำหน้ายุ่ง ท่าทางเป็นกังวล

“คุณต้องปรับความรู้สึกเป็นว่าไม่ได้อ่านอะไรในนี้ อาจยากสำหรับคุณ แต่ก็ต้องพยายาม นอกจากนั้นก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของผม ผมไม่บอกตำรวจแต่จะจัดการด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องหาหลักฐานให้ได้ ยูมิโกะสันนิษฐานได้อย่างเฉียบแหลม แต่มันก็เป็นเพียงคำสันนิษฐาน เพราะไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างเดียว ผมยังมีแรง นาน ๆ ทีก็อยากลิ้มรสความตื่นเต้นระทึกใจบ้าง”

นักสืบอาเกจิพูดเหมือนกับว่ากำลังจะออกไปผจญภัย

“งั้น คืนนี้ผมจะเอาสมุดไดอารี่เล่มนี้ไปคืนไว้ในลิ้นชักของคุณนาน แล้วทำหน้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น จะทำได่
แนบเนียนไหมนะ”

“พยายามเล่นละครเท่าที่จะทำได้ แล้วก็พบปะกับคุณนายต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”

ทาเคฮิโกะหน้าแดง ความอายแอบซ่อนอยู่ขณะที่ต้องสนใจกับเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า กลับมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มกลับจากอพาร์ตเม้นต์ของนักสืบอาเกจิมาถึงบ้านราวสามทุ่มครึ่ง คอยจนกระทั่งสามีภรรยาเข้าห้องนอนแล้วจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปในห้องนั่งเล่นของคุณนาย แล้ววางสมุดไดอารี่คืนไว้ในลิ้นชักตามเดิม


กำลังโหลดความคิดเห็น