ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
ตอนนี้ญี่ปุ่นอยู่ในบรรยากาศเฉลิมฉลองการเข้าสู่สมัยเรวะหลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ตามปกติญี่ปุ่นมีช่วงหยุดยาวปลายเดือนเมษายนต่อต้นเดือนพฤษภาคม 5-6 วันอยู่แล้วทุกปี เรียกทับศัพท์ว่า “โกลเดนวีก” หรือ “สัปดาห์ทอง” แต่ในปีนี้เนื่องจากมีพระราชพิธีสละราชสมบัติและพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ต่อกัน คนญี่ปุ่นจึงได้หยุดเพิ่มเป็น 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน ถึง 6 พฤษภาคม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
ในบรรดาวันหยุดประจำปีช่วงนี้ มีวันสำคัญ 1 วันซึ่งเป็นวันหยุดราชการด้วย คือ “วันรำลึกรัฐธรรมนูญ” ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม และเหตุที่นำเรื่องนี้มาขยายความก็เพราะ “รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น” มีบทบาทอย่างสูงต่อสถาบันจักรพรรดิ และเป็นสิ่งที่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน (พระนามนารูฮิโตะ) มีพระราชดำรัสถึง เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ผู้ที่ไม่ทราบภูมิหลังโดยละเอียดอาจฟังแล้วเลยผ่านโดยไม่สะดุดใจ แต่ประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจทันทีว่ามีที่มาที่เกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์สงคราม อันนำมาสู่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ในเบื้องแรกควรพิจารณาพระปฐมบรมราชโองการในสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบันฉบับเต็มดังนี้ (บทแปลภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการ โดยโฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์)
“ข้าพเจ้าสืบทอดราชบัลลังก์จักรพรรดิตามที่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นและกฎหมายพิเศษว่าด้วยกฎมณเฑียรบาลบัญญัติ
เมื่อนึกถึงภารกิจสำคัญยิ่งที่รับไว้ก็รู้สึกได้ถึงความใหญ่หลวงและเข้มงวด
หากมองย้อนกลับไป ย่อมเห็นได้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงทุ่มเทพระราชหฤทัย ทรงมุ่งมั่นดำเนินพระราชกรณียกิจแต่ละประการด้วยพระวิริยอุตสาหะมายาวนานไม่ต่ำกว่าสามสิบปี พร้อมทั้งมีพระราชปรารถนาให้บังเกิดสันติภาพแก่โลกและความผาสุกแก่ประชาชน ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนมาโดยตลอดไม่ว่าเวลาใด ข้าพเจ้าขอคารวะและขอแสดงความซาบซึ้งจากใจแด่สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวง ที่ทรงดำรงพระองค์ในฐานะสัญลักษณ์ (ของประเทศ) ดังที่ประจักษ์
ในโอกาสนี้ เมื่อสืบทอดราชบัลลังก์จักรพรรดิแล้ว ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะรำลึกถึงรอยพระยุคลบาทแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงที่ทรงพระดำเนินมาจวบจนบัดนี้ อีกทั้งจะคำนึงถึงแนวทางแห่งบูรพจักรพรรดิทั้งหลาย และพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนาตนเอง พร้อมกันนี้จะนึกถึงประชาชนและอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอ จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ บรรลุความรับผิดชอบในฐานะสัญลักษณ์แห่งญี่ปุ่นและเอกภาพแห่งปวงประชาญี่ปุ่น ข้าพเจ้าตั้งความปรารถนาแรงกล้า ขอให้ประชาชนประสบความผาสุก ขอให้ประเทศพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป และขอให้บังเกิดสันติภาพแก่โลก”
เมื่อวิเคราะห์เชิงการปกครอง คำสำคัญที่ปรากฏ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ และสัญลักษณ์ จุดนี้สะท้อนค่านิยมที่ต่างจากของไทยด้วย กล่าวคือ ญี่ปุ่นหลังสงคราม จักรพรรดิไม่ใช่สมมุติเทพอีกต่อไป และหลักยึดเหนี่ยวในการปกครองประเทศไม่ได้อิงบารมีหรืออิทธิพลของศาสนา (ชินโต) แต่อิงรัฐธรรมนูญที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิก็ทรงประกาศชัดว่าทรงอยู่ในฐานะตามที่ตัวอักษรกำหนดเช่นเดียวกับประชาชนและจะทรงยึดหลักการตามนั้น ในขณะที่ของไทยแม้มีรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่มีอิทธิพลทางจารีตเข้ามาเกี่ยวข้องสูง โดยเฉพาะจากศาสนาพุทธ ในพระปฐมบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ไทยทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 จึงมีประโยค “...ครองแผ่นดินโดยธรรม” อันหมายถึงทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นหลักธรรมข้อใหญ่ข้อหนึ่งในพุทธศาสนา การเลือกใช้คำเช่นนี้สะท้อนความตระหนักที่แตกต่างกันของสถาบันนี้ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์
คำว่า “รัฐธรรมนูญ” กับ “(จักรพรรดิในฐานะ) สัญลักษณ์” มีบทบาทสูงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อย้อนดูรัฐธรรมนูญ จะพบว่าญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญ (ตามแบบที่เข้าใจกันทั่วไปในปัจจุบัน) ไม่มาก แต่ก็เป็นหัวข้อที่มีการศึกษาวิจัยหนักมากทั้งในและต่างประเทศ มีนักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะจำนวนไม่น้อย และมีหลายประเด็นว่าด้วยรัฐธรรมนูญที่ยังเถียงกันไม่เสร็จทั้งในรัฐสภาและในวงวิชาการ สาเหตุหลัก คือ 1) ญี่ปุ่นคือประเทศที่ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นได้ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงได้ยาก, และ 2) คำสำคัญบางคำในรัฐธรรมนูญไม่มีนิยามชัดเจน นำไปสู่การตีความได้หลากหลาย
ญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญครั้งแรกในสมัยเมจิ (1868-1912) หรือประมาณรัชกาลที่ 5 ของไทย สมัยเมจิเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง ระบอบโชกุนที่เคยรุ่งเรืองในสมัยเอโดะก่อนหน้านั้นถูกโค่นล้มไป และพระราชอำนาจของจักรพรรดิได้รับการเชิดชูกลับขึ้นมา “รัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิญี่ปุ่น” (大日本帝国憲法;Dai Nihon Teikoku Kenpō) หรือบางทีเรียกสั้น ๆ ว่า “รัฐธรรมนูญเมจิ” เกิดขึ้นในสมัยนี้โดยอิงต้นแบบจากปรัสเซีย (พื้นที่ครึ่งบนของเยอรมนีในปัจจุบัน) และอังกฤษ ประกาศเมื่อต้นปี 1889 และเริ่มมีผลเมื่อปลายปี 1890 (พ.ศ. 2433) ประกอบด้วย 7 หมวด หมวดแรกว่าด้วยจักรพรรดิ มี 17 มาตรา
ส่วนที่ถูกยกขึ้นมาอภิปรายบ่อย ๆ คือ “มหาจักรวรรดิญี่ปุ่นปกครองโดยจักรพรรดิวงศ์ผู้ทรงสืบสายต่อเนื่องตลอดกาล (1)”, “จักรพรรดิทรงไว้ซึ่งสถานะศักดิ์สิทธิ์อันละเมิดมิได้ (3)”, “จักรพรรดิทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจปกครองสูงสุด และทรงใช้พระราชอำนาจนั้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ (4)” จะเห็นได้ว่าการใช้คำว่า “ตลอดกาล” (萬世一系) , หรือ “ศักดิ์สิทธิ์” (神聖) , หรือ “ประมุข” (元首) ล้วนแต่เป็นการเชิดชูพระเกียรติของจักรพรรดิประดุจเทพ และจุดนี้ถูกมองว่ามากเกินไปจนนำไปสู่ความก้าวร้าวของญี่ปุ่นต่อเพื่อนบ้าน แต่สถานะนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามในปี 1945 (พ.ศ. 2488) อเมริกามีส่วนอย่างมากในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลังจากนั้น
ญี่ปุ่นประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1946 และ 6 เดือนหลังจากนั้น คือในวันที่ 3 พฤษภาคม 1947 (พ.ศ. 2490) ก็เริ่มมีผล ซึ่งยังอยู่ในสมัยโชวะ และวันดังกล่าวกลายเป็นวันรำลึกรัฐธรรมนูญมาจนถึงสมัยปัจจุบัน (โชวะ-เฮเซ-เรวะ) รัฐธรรมนูญฉบับนี้มี 11 หมวด จุดที่ถูกอภิปรายบ่อยที่สุดคือ หมวด 2 มาตรา 9 ว่าด้วยสงครามและญี่ปุ่นละซึ่งสงคราม แต่หมวดแรกก็ยังคงเป็นเรื่องจักรพรรดิเช่นเดิม คราวนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญเมจิไปมาก ส่วนที่สำคัญคือ “จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศและทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งเอกภาพของประชาชนญี่ปุ่น... (1)” คำสำคัญตรงนี้คือ “สัญลักษณ์”
จักรพรรดิญี่ปุ่นไม่ได้เป็น “ประมุข” ตามรัฐธรรมนูญแล้ว แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ และเนื่องจากไม่ปรากฏคำว่า “ประมุข” (Head of State) ในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ดังนั้น การเทียบเคียงกับประเทศอื่นที่มีสถาบันกษัตริย์อย่างอังกฤษหรือไทย และระบุว่า “...เป็นประมุขของประเทศ” นั้นจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง หรือถ้าว่ากันอย่างเคร่งครัดจริง ๆ ในกรณีของญี่ปุ่นก็ถือว่าระบุเช่นนั้นไม่ได้
“สัญลักษณ์” ฟังดูเหมือนเป็นรูปธรรม แต่ในทางปฏิบัติ สำหรับสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองพระองค์ คำนี้มีความเป็นนามธรรมสูง และจากพระราชดำรัสหลายครั้งของสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวง (พระนาม “อากิฮิโตะ) ที่ทรงระบุว่า “พยายามแสวงหาบทบาทในฐานะสัญลักษณ์ตลอดมา” ก็เห็นได้ว่าพระองค์เองก็มิทรงทราบแน่ชัดว่า “สัญลักษณ์” ในรัฐธรรมนูญนั้นควรครอบคลุมถึงขนาดไหน พระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญ เช่น การเสด็จเยี่ยมราษฎรบ่อยครั้งในพื้นที่ประสบภัย การคารวะดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตจากสงครามโดยเฉพาะที่โอกินาวารวม 11 ครั้ง คือ “การตีความ” ของพระองค์เอง ซึ่งก็ไม่มีใครชี้ชัดได้ว่านั่นคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “สัญลักษณ์” หรือไม่ และขณะเดียวกันก็มีคนญี่ปุ่นบางส่วนคิดว่านั่นอาจเกินขอบข่ายของคำว่า “สัญลักษณ์” ไปแล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นไม่ได้แจกแจง ไม่ได้ขยายความว่า “สัญลักษณ์” หมายถึงอะไร หรือถ้าลองไปถามคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเองก็อธิบายได้ไม่ถนัดปากด้วยซ้ำ อีกทั้งในเมื่อพระราชกรณียกิจที่สะท้อนความห่วงใยประชาชนของพระเจ้าหลวงนั้นเป็นที่สรรเสริญมากกว่าการตกเป็นเป้าของคำวิจารณ์ ดังนั้น ไม่ว่าแก่นแท้ของคำว่า “สัญลักษณ์” ตามตัวอักษรจะอยู่ตรงไหน ก็มีคนมากมายพร้อมที่จะมองข้ามไป
ครั้นสามทศวรรษกับสี่เดือนของสมัยเฮเซสิ้นสุดลง พร้อมกับความซาบซึ้งใจต่อสมเด็จพระจักรพรรดิรัชกาลก่อน นั่นจึงเป็นแนวทางหลักสำหรับสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ในการดำรงพระองค์ภายใต้รัฐธรรมนูญและการตีความคำว่าสัญลักษณ์ สองคำนี้จึงปรากฏออกมา อันเป็นการสะท้อนพระราชปณิธานของพระองค์ ซึ่งก็คงจะเป็นที่ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นเมื่อช่วงเวลาแห่งศักราชเรวะเดินหน้าไปนับจากนี้
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com