xs
xsm
sm
md
lg

ผู้หญิงญี่ปุ่นกับโอกาสที่ยังน้อยนัก (1)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน สังคมญี่ปุ่นนั้นดูเผิน ๆ แล้วก็เหมือนผู้หญิงจะมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าแต่ก่อน แต่เมื่อดูในบริบทต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้ว บทบาทและสถานะของผู้หญิงญี่ปุ่นยังคงถูกจำกัดเอาไว้ด้วยค่านิยมของสังคมอยู่มากทีเดียว

สมัยเด็กตอนฉันเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ไม่นาน อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าพนักงานบริษัทที่เป็นผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าไปทำงานในบริษัทก็มีหน้าที่เพียงแค่ชงชาให้พนักงานผู้ชาย ถ่ายเอกสาร ทำงานจิปาถะไป พอถึงวัยอันควรแต่งงานก็จะโดนนายซึ่งเป็นผู้ชายสะกิดให้รู้ตัวว่าถึงเวลาแต่งงานและลาออกไปจากบริษัทได้แล้ว สมัยนี้จะยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่คาดว่าน่าจะยังมีแล้วแต่วัฒนธรรมองค์กรของแต่ละบริษัท

อาจารย์อุเอโนะ จิซุโกะ ซึ่งเป็นนักรณรงค์สิทธิสตรีที่มีชื่อเสียง ได้กล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคมระหว่างหญิงชายไว้หลายแง่ในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยโตเกียว (หรือที่เรียกกันในนาม “โทได”) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

สำหรับท่านที่ไม่คุ้นกับความเด็ดดวงของมหาวิทยาลัยนี้ ขออนุญาตเล่าคร่าว ๆ ว่ามันเป็นมหาวิทยาลัยสุดยอดแห่งความใฝ่ฝันของนักเรียนญี่ปุ่น (ถ้าเรียกให้ถูกน่าจะเป็นความใฝ่ฝันของพ่อแม่มากกว่า) กว่าจะเข้าได้เลือดตาแทบกระเด็น บางครอบครัวถึงขนาดเตรียมตัวติวลูกกันตั้งแต่ประถม ส่วนคนที่สอบเข้าไม่ได้ก็จะรอสอบใหม่ปีถัดไป บางคนพยายามแล้วพยายามอีกหลายปี เพราะเชื่อว่าถ้าสอบติดเมื่อไหร่ ชื่อมหาวิทยาลัยนี้ก็จะเป็นใบเบิกทางสู่อนาคตอันสดใสให้ตัวเองได้

อาจารย์อุเอโนะเอ่ยถึงสาเหตุที่จำนวนผู้หญิงซึ่งศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นมีน้อยกว่าผู้ชาย ส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อแม่มีค่านิยมว่า “ลูกชายให้เรียนถึงมหาวิทยาลัย ส่วนลูกสาวให้เรียนถึงวิทยาลัย” บางกรณีอาจเป็นเพราะการเลือกปฏิบัติของบางมหาวิทยาลัยที่ต้องการนักศึกษาชายมากกว่าหญิง ซึ่งประเด็นหลังนี้เดี๋ยวจะเล่าต่อไปนะคะ

เธอกล่าวว่าแม้ผู้ชายจะสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจต่อสาว ๆ ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอย่างโทได แต่ผู้หญิงจะไม่ค่อยกล้าบอกผู้ชายว่าตนเป็นนักศึกษาโทได อย่างในรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่ฉันดูเมื่อไม่นานมานี้ มีนักศึกษาหญิงโทไดเล่าว่าเคยมีหนุ่มมาจีบและโอ้อวดว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง พอฝ่ายหญิงบอกว่าตนเป็นนักศึกษาโทไดปุ๊บ ฝ่ายชายก็หน้าเสียไปก่อนจะหลุดปาก “ขอโทษครับ” ออกมาอย่างหมดท่า

อาจารย์อุเอโนะอธิบายว่าผู้หญิงถูกสังคมคาดหวังให้ทำตัวให้น่ารัก ด้วยการเป็นฝ่ายรับ เป็นฝ่ายถูกรัก ถูกเลือก และได้รับการปกป้อง จากคำพูดนี้ก็น่าจะตีความได้ว่า สังคมไม่ต้องการให้ผู้หญิงมีในฐานะเหนือกว่าหรือทัดเทียมผู้ชาย

อย่างเมื่อราว 50 ปีก่อนตอนที่อาจารย์ยังเป็นนักศึกษา ก็มีบางชมรมที่มีนักศึกษาชายเป็นใหญ่และยอมให้นักศึกษาหญิงเฉพาะจากสถาบันการศึกษาอื่นที่ไม่ใช่โทไดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าชมรมได้ ปัจจุบันชมรมลักษณะนี้ก็ยังมีอยู่ ฉันได้ยินคนใกล้ตัวเล่าว่าชมรมพวกนี้มีไว้เพื่อเปิดโอกาสในการหาคู่ จึงอาจไม่แปลกหากผู้ชายจะไม่ค่อยอยากมีแฟนสาวที่อยู่ในฐานะเลิศกว่าตน และในขณะที่ผู้ชายที่จบโทไดยังมีโอกาสมากกว่าที่จะเลือกคู่จากมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ แต่เป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงจบโทไดจะได้คู่ที่จบจากมหาวิทยาลัยซึ่งมีสถานะต่ำกว่า ส่วนมากจึงได้คู่เป็นโทไดเหมือนกัน
ภาพจาก http://www.chubuh.johas.go.jp/
สำหรับเรื่องการเลือกปฏิบัติของมหาวิทยาลัยเพื่อลดจำนวนนักศึกษาหญิงนั้น เมื่อปีก่อนมีข่าวใหญ่ว่ามหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังลดคะแนนสอบเข้าของผู้สอบหญิงและเพิ่มคะแนนให้ผู้สอบชาย ส่งผลให้ผู้สอบหญิงจำนวนหนึ่งที่ควรจะสอบผ่านต้องพลาดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาราวสิบปีแล้ว เมื่อกรณีอื้อฉาวนี้ถูกเปิดโปงขึ้น จึงมีการตรวจสอบคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย 81 แห่งเป็นการด่วน และพบว่ามีอีก 9 แห่งที่เลือกปฏิบัติเช่นเดียวกัน

ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่ตกเป็นข่าวให้เหตุผลว่า ที่ทำแบบนี้ก็เพราะบรรดาแพทย์หญิงมักออกจากงานไปกลางคันเมื่อแต่งงานมีลูก ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ บ้างก็ว่าเพราะผู้หญิงเก่งในการสื่อสารมากกว่าและอาจได้เปรียบผู้ชายในการสอบสัมภาษณ์ และที่ผ่านมาก็คิดว่าการแทรกแซงคะแนนสอบเพื่อลดจำนวนนักศึกษาหญิงเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล

ไม่เพียงแค่มหาวิทยาลัยแพทย์เท่านั้น จากผลสำรวจความเห็นของกลุ่มตัวอย่างแพทย์ทั่วประเทศญี่ปุ่นจำนวน 103 คนโดยบริษัทจัดหาบุคลากรทางการแพทย์แห่งหนึ่งพบว่า ร้อยละ 65 ของแพทย์เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ มีผู้แสดงความเห็นว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการทำงานเอื้อต่อผู้ชายมากกว่า บ้างก็ว่าไม่มีมาตรการอุดช่องโหว่ยามแพทย์ไม่พอเพียงเพราะแพทย์หญิงตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร นอกจากนี้ ยังมีแพทย์หญิงจำนวนมากที่โดนที่ทำงานเตือนไม่ให้ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้แพทย์คนอื่นมีภาระหนักขึ้น
ภาพจาก https://www.ichigojyutsu.com/
โดยทั่วไปแล้ว หน้าที่เลี้ยงลูกและดูแลงานบ้านในญี่ปุ่นยังคงตกเป็นภาระของผู้หญิงฝ่ายเดียวอยู่มาก อีกทั้งการขาดแคลนสถานเลี้ยงเด็กที่เพียงพอ ขาดคนช่วยเลี้ยงลูก และการขาดความยืดหยุ่นของชั่วโมงการทำงานก็ทำให้ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าเลือกที่จะเติบโตในการทำงานก็อาจจำต้องเลือกที่จะไม่แต่งงานหรือไม่มีลูก ถ้าเลือกจะสร้างครอบครัวก็อาจจำต้องสละโอกาสในหน้าที่การงาน เวลาสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในญี่ปุ่น หลายแห่งจะถามผู้เข้าสอบหญิงไว้ก่อนเลยว่าถ้าแต่งงานหรือมีลูกแล้วจะลาออกจากงานหรือไม่? 

อันที่จริงสวัสดิการลาคลอดของญี่ปุ่นถือว่าดีมากนะคะ คือกฎหมายญี่ปุ่นให้สิทธิ์ทั้งผู้หญิงและผู้ชายในการลาเลี้ยงบุตรได้ถึงหนึ่งปี แถมยังได้รับเงินเดือนส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ได้ข่าวว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็โดนกดดันให้ลาออกไปตั้งแต่ตอนที่ตั้งครรภ์แล้ว ส่วนผู้ชายมีเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้นที่ยอมใช้วันลา ที่ส่วนใหญ่ไม่ยอมลาก็เพราะกลัวแรงกดดันทางสังคมที่ไม่ค่อยยอมรับบทบาทของผู้ชายในลักษณะนี้ สามีฉันบอกว่าเพราะพวกผู้ชายไม่ยอมลาหยุดไปเลี้ยงลูกกัน ฝ่ายบุคคลของบริษัทเขาเลยต้องใช้วิธีบังคับให้ลาทันทีที่ภรรยาคลอดลูก แต่กระนั้นผู้ชายก็ยังขืนจะทำงานกันอยู่ดี ไม่ใช่เพราะนายสั่ง แต่รู้สึกว่ามันดูดีกว่า

ปัจจุบันมีผู้หญิงที่ไม่อยากทิ้งหน้าที่การงานเพื่อครอบครัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงแต่งงานหรือมีลูกน้อยลง อย่างปีหลัง ๆ มานี้เด็กเกิดใหม่แต่ละปีมีไม่ถึงล้านคนเลย ได้ยินว่าต่อให้ผู้หญิงจะอยากกลับมาทำงานเมื่อลูกโตแล้วก็หางานประจำยากอยู่ดี แม้ว่าจะมีคุณสมบัติดีทั้งการศึกษาและความสามารถก็ตาม และถึงแม้จะใช้วันลาคลอดหมดแล้ว ถ้ายังหาสถานเลี้ยงเด็กไม่ได้หรือไม่มีพ่อแม่ช่วยเลี้ยง ก็ต้องเลี้ยงเอง ทำให้ต้องลาออกจากงานไปในที่สุด

ไว้สัปดาห์หน้าฉันจะเล่าถึงสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งกฎหมายให้วันลาคลอดน้อยกว่าญี่ปุ่นมาก แต่ผู้หญิงกลับยังมีหน้าที่การงานที่ดีได้ รวมทั้งยังมีเรื่องราวของผู้หญิงญี่ปุ่นในบริบทอื่น ๆ ที่น่าสนใจมาฝากอีก แล้วอย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ.




"ซาระซัง"
สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์


กำลังโหลดความคิดเห็น