คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ฉันเพิ่งได้อ่านหนังสือ “อย่าให้หมอฆ่าคุณ” ของนานมีบุ๊คส์ ซึ่งเขียนโดยคุณหมอชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Kondo Makoto แล้วก็นึกถึงสิ่งที่พบเจอเวลาไปหาหมอ ความรู้เรื่องการแพทย์ ยา และสุขภาพ ทั้งที่ได้จากการค้นหาข้อมูลเองและจากเพื่อนที่เป็นหมอ ทำให้แน่ใจอีกคราวว่านอกจากหมออาจจะไม่ใช่ผู้ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับโรคและอาการป่วยของเราแล้ว บางทีก็ตรงกันข้ามอีกด้วย
ในวงการแพทย์หลายสาขา กระทั่งในวงการสัตวแพทย์ ก็มีหมอหลายคนที่เห็นด้านมืดของการรักษาแบบที่เป็นแนวปฏิบัติกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการให้ยาบางตัว หรือการผ่าตัด เพราะไม่มีความจำเป็น หรือเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงมากมาย จึงมีหมอบางคนที่คัดค้านวิธีรักษาเหล่านั้น จนบางคนถูกกดดันให้ออกจากวงการแพทย์ไป เพราะพยายามนำเสนอความจริงอีกด้านหนึ่งแก่สาธารณะ ซึ่งเป็นการขัดผลประโยชน์วงการแพทย์ อย่างนี้ก็มี
หนังสือ “อย่าให้หมอฆ่าคุณ” จะเน้นแนวคิดว่า “ไม่รักษามะเร็งจะทำให้มีชีวิตยืนยาวได้มากกว่า” และยังกล่าวถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ที่นอกจากการหาหมอจะไม่ได้ทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นแล้ว ยังกลับเป็นโทษอีกด้วย
คนส่วนมากจะคิดว่าหากเป็นมะเร็งต้องรีบรักษา ไม่อย่างนั้นจะเสียชีวิต แต่ความคิดนี้เป็นความจริงแน่หรือ? เดิมทีตัวคุณหมอเองก็รักษาคนไข้มะเร็งด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด แต่จากการเฝ้าสังเกตคนไข้มาหลายรายจึงฉุกคิดได้ว่าการรักษาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หายมะเร็งเลย แต่ยิ่งทำให้ทรมาน และสรุปว่ามะเร็งไม่ได้เป็นตัวทำให้เราเสียชีวิต แต่เป็นเพราะกระบวนการรักษามะเร็งต่างหาก
คุณหมอบอกว่ามะเร็งปลอมมีเยอะ แต่ยากจะแยกออกจากมะเร็งจริง และถ้าเป็นมะเร็งจริง ผ่าตัดไปก็อาจจะเปล่าประโยชน์เพราะมันแพร่กระจายไปทั่วก่อนจะตรวจเจอนานแล้ว หรือกระทั่งแพร่กระจายอีกหลังผ่าตัดด้วยซ้ำ คุณหมอจะบอกคนไข้ว่าถ้ามะเร็งกระจายไปแล้ว หากไม่มีอาการเจ็บป่วยจะไม่เสียชีวิตทันทีหรอก แต่ถ้าทำเคมีบำบัดหรือผ่าตัดสิจะมีสิทธิ์เสียชีวิตทันที มีคนไข้หลายรายที่ถูกหมอคนอื่นบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่เดือนถ้าไม่ผ่าตัดหรือทำเคมีบำบัด แต่พอเลือกไม่รักษากลับอยู่ได้ยาวกว่านั้นอีก
นอกจากนี้ คุณหมอยังให้ความรู้ที่สำคัญอีกหลายอย่าง เช่น “การไปหาหมอบ่อย ๆ ยิ่งทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร” “ไม่มีโรคใด ‘วินิจฉัยผิด’ ได้เท่ามะเร็ง” “อย่าเชื่อใจหมอที่สั่งยาปฏิชีวนะให้กับอาการเป็นหวัดเล็กน้อย” “อย่ารับยาจากหมอจนติดเป็นนิสัย” “90% ของมะเร็ง ยิ่งรักษา ยิ่งอายุสั้น ปล่อยทิ้งไว้จะดีที่สุด” อีกทั้งยังมีมะเร็งหลายชนิดที่ไม่ทำให้เจ็บปวด แต่การรักษาที่ไม่จำเป็นจะทำให้คนไข้เสียชีวิตอย่างทรมาน ยังมีรายละเอียดอีกมากที่น่าสนใจ ถ้ายังไม่เคยอ่าน แนะนำให้ลองหามาอ่านดูค่ะ
สมัยก่อนฉันเป็นหวัดง่าย และโดนพาไปหาหมอทุกที หมอมักจะสั่งยาเดิม ๆ หรือไม่ก็ให้ยาแรงขึ้น จนหลัง ๆ ฉันชักจะรู้สึกว่ากินยาแก้เจ็บคอเท่าไหร่ก็ไม่หาย และนึกไปถึงสิ่งที่เคยได้ยินมาว่าจริง ๆ แล้วไม่มียาอะไรรักษาโรคหวัดได้ เพียงระงับอาการเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงไม่ยอมกินยาแก้เจ็บคออีก และต่อมาก็ไม่ยอมกินยาแก้หวัดทุกชนิดด้วย เปลี่ยนมาใช้วิธีดูแลสุขภาพเอา เช่น ดื่มน้ำอุ่น กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ กินอาหารที่มีสารอาหารหลายชนิด พักผ่อนให้เพียงพอ พอร่างกายแข็งแรงขึ้นมันก็หายเอง ฉันอยากให้เพื่อนผู้อ่านที่มักไปหาหมอทุกครั้งที่เป็นหวัดลองอดทนดูก่อน ไม่หาหมอ ไม่กินยา แต่ให้ดูแลตัวเองเอา แล้วจะรู้ด้วยตัวเองว่ามันก็หายได้ และดีกว่ากันอย่างไรด้วย
สาเหตุที่ไม่ต้องกินยาแก้หวัดแต่หวัดก็หายเองได้นั้นเป็นเพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว เรื่องนี้หลายคนก็รู้ แต่ก็ยังติดความเคยชินที่จะไปหาหมอ เวลาเป็นหวัดจะมีอาการไอ จาม เจ็บคอ นั่นเพราะร่างกายกำลังพยายามขับเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย แต่การกินยาเพื่อระงับอาการเหล่านี้เท่ากับไปกดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกายไว้ไม่ให้ทำงาน
นอกจากนี้ ยาปฏิชีวนะก็มีไว้เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่อาการเจ็บคอส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัส เพราะฉะนั้นหากกินยาปฏิชีวนะไป นอกจากจะไม่หายเจ็บคอแล้ว ร่างกายยังได้รับผลข้างเคียงจากยาอีกหลายอย่าง ไม่เชื่อลองไปสืบค้นชื่อยาสักตัวจากในอินเทอร์เน็ตดูสิคะ จะเห็นเลยว่ายาแต่ละชนิดอาจใช้เพื่อระงับอาการหรือฆ่าเชื้ออะไรได้อยู่ แต่ผลข้างเคียงจากยาชนิดนั้นจะระบุไว้ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว เห็นแล้วจะขยาดว่ากินยาแล้วอาจจะได้ไม่คุ้มเสียอย่างร้ายแรง
ฉันสังเกตว่ายาซึ่งได้จากหมอที่เมืองไทยส่วนมากจะแรงเกินจำเป็น โดยเฉพาะพวกยาแก้หวัด ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ ไม่นานมานี้ฉันไปหาหมอตาเพราะตาบวม หมอบอกว่าเป็นตากุ้งยิง ฟังแล้วก็แอบเขินทั้งที่รู้ว่าโรคนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับถ้ำมอง หมอให้ยาล้างตากับยาฆ่าเชื้อมา ตอนได้ยินคำว่า “ยาฆ่าเชื้อ” ฉันก็ขมวดคิ้วแล้วเพราะไม่อยากกิน พอลองสืบค้นชื่อยาในอินเทอร์เน็ตดูก็พบว่า จริง ๆ แล้วยาชนิดนี้เขาให้กินแค่ไม่เกิน 250 มก. ก็พอ แต่หมอจัดให้แบบ 500 มก. ถือว่าเกินความจำเป็นไปมาก
แล้วที่สำคัญคือพอมาสืบค้นเรื่องโรคตากุ้งยิง ก็พบว่ามันหายเองได้โดยไม่ต้องกินยาเลย แต่อาจจะบรรเทาด้วยการประคบอุ่น 10-15 นาทีบ่อย ๆ เพื่อขับน้ำมันออกมา จะว่าไปตอนเด็ก ๆ เวลาเป็นตากุ้งยิง ฉันก็จำได้ว่าไม่เคยต้องกินยาอะไรเลย เดี๋ยวมันก็หายเอง แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะนานมากแล้ว สรุปแล้วนับว่าเสียรู้หมอโดยแท้
บางทีเวลาหมอแนะนำยาอย่างนี้ ๆ ก็ไม่ได้แปลว่ายาตัวนี้ดี แต่อาจเป็นเพราะหมอได้เปอร์เซ็นต์จากบริษัทยา เคยมีที่อเมริกา หมอบางคนโดนตรวจสอบว่าทำไมจ่ายยาชนิดหนึ่งมากผิดปกติ แล้วก็พบว่าเพราะหมอได้ผลประโยชน์จากการขายยาชนิดนี้ให้คนไข้นี่เอง หมอคนนี้ก็เลยโดนระงับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ไปเลย
พูดถึงเรื่องนี้นึกได้ว่าเมื่อก่อนฉันปวดคอปวดไหล่บ่อย ๆ จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งในเมืองไทย หมอฟันธงทันที “ฉีดโบท็อกซ์จะได้หายเจ็บ” ฉันตกใจ “ฉีดแล้วมันทำให้กล้ามเนื้อตายไม่ใช่หรือคะหมอ” หมอทำไก๋ ยิ้มถามว่า “อะไรนะ” ฉันถามต่อว่า “ถ้าฉีดแล้วหายเลย ไม่เป็นอีก หรือว่าต้องมาฉีดอีก” หมอบอกว่าสามสี่เดือนก็มาฉีดทีเรื่อย ๆ ส่วนค่าโบท็อกซ์ครั้งละ 6 พันบาท จ่ายกับหมอโดยตรง ฉันฟังแล้วรู้สึกว่าหมอได้ผลประโยชน์โดยตรงจากการฉีดโบท็อกซ์แน่นอน และชักสงสัยเรื่องจรรยาบรรณแพทย์ของหมอ
ฉันถามต่อว่า “อย่างนี้มันเป็นการรักษาหรือ หรือว่าแค่แก้อาการ มันจำเป็นหรือที่จะต้องฉีด” หมอไม่ตอบคำถามแต่โยนแผ่นพับเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ให้ดู ซึ่งมันแทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลอันใดที่ต้องการ หรือต่อให้มันบอกว่าฉีดแล้วหาย ฉันก็จะไม่ฉีดจนกว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้แน่ใจเสียก่อนว่ามันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายฉันบ้าง
หมอเลยบอกว่า “ตามใจ งั้นเอายาคลายกล้ามเนื้อไปแทน” ฉันถอนหายใจด้วยความผิดหวังและหมดความเคารพในตัวหมออย่างมาก ยาคลายกล้ามเนื้อมันก็แค่แก้อาการเหมือนกัน ไม่ได้ช่วยอะไรในการรักษาเลย แล้วสุดท้ายอาการปวดคอปวดไหล่ของฉันก็บรรเทาลงเพราะการเล่นโยคะ และท่ากายภาพบางท่า ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดอะไรทั้งสิ้น
ส่วนเพื่อนฉันคนหนึ่งเคยเป็นไซนัสมาเป็นสิบ ๆ ปี วันหนึ่งเธอล้มป่วยลงเพราะลำไส้ไม่ทำงาน ซึ่งว่ากันว่าเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด ระหว่างที่เธอกินอะไรไม่ได้เลยและนอนแบ็บอยู่บนเตียงบ่อย ๆ เธอก็คิดทบทวนว่าที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตทรหดเกินไป ทั้งเรียนหมอไปด้วย ทำงานไปด้วย นอนไม่พอ อาหารการกินก็ไม่ใส่ใจ ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ดูแลสุขภาพเลย แถมยาไซนัสก็ไม่เคยช่วยให้เธอหายไซนัสได้จริง ๆ กินมากี่ปีเดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีกเรื่อย ๆ แสดงว่ายาต้องไม่ใช่หนทางที่ถูกในการรักษาโรคแล้ว
เธอใจเด็ดมากเลยค่ะ เธอโยนยาที่มีทั้งหมดทิ้งไป และใช้วิธีรักษาสุขภาพแทน และเนื่องจากเธอเรียนฝังเข็มอยู่ และยังพอลากสังขารไปเรียนได้บ้าง อาจารย์หมอจึงจับเธอฝังเข็มวันนั้น และวันนั้นเองเธอก็เริ่มกินอาหารได้โดยไม่อาเจียน จากนั้นก็รักษาด้วยการฝังเข็มอยู่ระยะหนึ่งพร้อมกับการเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่หมด จากที่ชอบกินแต่น้ำอัดลมก็เลิก หันมากินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ พอร่างกายเธอแข็งแรง จากที่เคยเป็นไซนัสถี่ ๆ ก็พบว่าไซนัสมาเยือนเธอน้อยลง จากสามเดือนครั้งกลายเป็นห้าเดือนครั้ง จากหลายเดือนครั้งกลายมาเป็นปีละครั้ง และพอรู้สึกตัวอีกที เธอก็จำไม่ได้แล้วว่าไซนัสหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และเธอไม่เคยกินยาไซนัสอีกเลยหลังจากโยนมันทิ้งไปจากบ้านตั้งแต่วันนั้น
ฉันอยากบอกกับทุกคนที่ไปหาหมอบ่อย ๆ อย่างเดียวกับที่คุณหมอ Kondo Makoto ลงท้ายไว้ในอารัมภบทของหนังสือว่า “ขอให้ท่านที่เคยเชื่อมั่นว่าเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น ลองเปลี่ยนความคิดเป็น ‘สงสัยในตัวแพทย์สักหน่อย และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง’ ให้ติดเป็นนิสัย” จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของยาและการรักษาที่ไม่จำเป็น เพราะถ้ารักษาแล้วหายจริง เราไม่ควรจะต้องกินยาหรือรักษาอยู่เรื่อย แต่ถ้ามันไม่หาย ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราไม่ได้รักษาโรคกันที่ต้นเหตุหรือรักษาผิดทาง แล้วเราจะยังเชื่อหมอ เชื่อในผลของยาและการรักษาอีกหรือ?
ขอให้เพื่อนผู้อ่านที่รักสุขภาพดีจากการดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนชีวิตให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีขึ้นให้มากที่สุด แล้วจะได้ไม่ต้องใช้ยากันนะคะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.