บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
อพาร์ทเม้นต์คันนามิโซถึงจะอยู่ค่อนข้างใกล้กับสถานีชิบูยะ แต่ก็เป็นละแวกบ้านที่เงียบสงบแวดล้อมไปด้วยคฤหาสน์หลังใหญ่สง่างาม คันนามิโซเองนั้นแต่เดิมสร้างขึ้นเป็นบ้านไม้ที่สร้างแบบตะวันตกแท้ ๆ สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว แต่เนื่องจากเป็นบ้านที่เปลี่ยนเจ้าของหลายครั้งมากในช่วงสงครามจนหลังสงคราม และไม่ได้รับการบำรุงรักษาจึงทรุดโทรมลงจนมีสภาพเหมือนบ้านผีสิง พอดีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของในปัจจุบันเห็นเข้าจึงซื้อมาปรับปรุงเป็นอพาร์ทเม้นต์แบ่งให้เช่าโดยคงรูปทรงภายนอกของอาคารเอาไว้
แม้จะผ่านการปรับปรุงและต่อเติมกี่ครั้งกี่หน แต่บรรยากาศของเรือนฝรั่งแท้ก็ยังคงอยู่อย่างค่อนข้างสมบูรณ์แบบ จึงจูงใจให้ผู้ที่มีรสนิยมแนวนี้เข้ามาอยู่อาศัย โดยเฉพาะห้องของมุราโคชิที่อยู่มุมด้านในสุดของเรือนคงจะเคยเป็นห้องนั่งเล่นหรือไม่ก็ห้องส่วนตัวของเจ้าของบ้าน เพราะการตกแต่งภายในยังทิ้งร่องรอยของความเป็นคนมีรสนิยมอารยธรรมตะวันตกแบบคลาสสิคอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลวดลายการแกะสลักไม้ หรือกระดาษปิดฝาผนังลายดอกไม้ดอกไม้สีซีดไปตามวันเวลาชวนให้ระลึกถึงอดีต หน้าต่างเป็นแบบเก่าชนิดดันเปิดขึ้นไปข้างบน หน้าเล็ก ๆ เพียงสามบานไม่เพียงพอกับการรับแสงสำหรับห้องกว้างขนาดสิบเสื่อหรือประมาณสิบแปดสิบเก้าตารางเมตร ความสลัวทำให้บรรยากาศในห้องดูขรึมซึ่งคงถูกกับรสนิยมของมุราโคชิ
คืนวันที่ 13 ธันวาคม ถูกใครคนหนึ่งยิงที่หน้าอกและขาดใจตายหลังกลับจากบริษัทและเก็บตัวอยู่ภายในห้อง
คนข้างห้องของมุราโคชิคือสามีภรรยาวัยหนุ่มสาวชื่อทาคาฮาชิซึ่งเป็นพนักงานบริษัททั้งคู่ ทั้งสองไม่มีความสำคัญอะไรกับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่นี้ นอกเหนือไปจากการเป็นผู้พบศพคนแรกในคดีฆาตกรรมคันนามิโซ
คืนนั้นรายการวิทยุที่นักฟังดนตรีคลาสสิครอคอยเริ่มขึ้นตั้งแต่สองทุ่มสี่สิบนาที ซากางุจิ จูโซ ผู้ได้ชื่อว่านักไวโอลินอัจฉริยะจากปารีสจะมาเล่นให้ฟังทางวิทยุเป็นครั้งแรกหลังกลับจากฝรั่งเศส ชื่อของซากางุจิเด่นดังมากทันทีที่กลับถึงบ้านเกิด หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันครึกโครม มีการจัดงานต้อนรับการกลับสู่มาตุภูมิอย่างเอิกเกริก บัตรเข้าชมการแสดงไวโอลินครั้งแรกของเขาที่หอประชุมประชาคมฮิบิยะกลายเป็นของมีค่าหายากมาก ผู้สื่อข่าวติดตามความเคลื่อนไหวของศิลปินยอดนิยมผู้นี้อย่างใกล้ชิดและนำเสนอเรื่องราวเป็นข่าวเด่นบนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน ซากางุจิ จูโซพุ่งขึ้นมาเป็นดาราดวงเด่นสุดยอดแห่งความนิยมในวงการบันเทิงแห่งปีเลยทีเดียว และเมื่อเป็นนักดนตรีระดับนี้มาเล่นออกรายการวิทยุเป็นครั้งแรก นักนิยมดนตรีคลาสสิคทั้งหลายจึงพลาดไม่ได้แน่นอน ใครมีธุระอะไรสำคัญแค่ไหนต้องพักไว้ก่อน แล้วนั่งจับจ้องคอยเวลาออกอากาศอยู่หน้าเรื่องรับวิทยุ
นายทาคาฮาชิและภรรยาที่อยู่ข้างห้องมุราโคชิไม่ได้เป็นคนนิยมดนตรีคลาสสิคอะไรนัก แต่เมื่อวงสังคมแตกตื่นกันขนาดนี้ก็เลยคิดว่าไม่ควรพลาดและนั่งคอยฟังรายการกับเขาด้วยเหมือนกัน ทั้งสองนั่งจิบกาแฟที่ภรรยาเป็นคนชง นั่งคอยเวลาออกอากาศอยู่หน้าวิทยุ
พอได้เวลาสองทุ่มสี่สิบนาทีพิธีกรก็ประกาศเริ่มรายการมีเสียงไวโอลินแว่วออกมาแผ่ว ๆ จากลำโพง
ถึงจะไม่ใช่นักฟังดนตรีตัวยง แต่เสียงดนตรีจากฝีมือนักไวโอลินอัจฉริยะผู้นี้มีพลังจูงใจให้สองสามีภรรยาเคลิบเคลิ้มไปอย่างน่าอัศจรรย์ อพาร์ตเม้นต์ทั้งหลังสงบเงียบมีแต่เสียงไวโอลินกังวานไพเราะราวกับอยู่ในห้องแสดงดนตรี ดูเหมือนทุกห้องจะเปิดวิทยุฟังกัน และการที่ไม่มีเสียงอื่นแปลกปลอมออกมาเลยนั้นแสดงว่าไม่มีใครฟังรายการอื่นนอกจากการแสดงไวโอลินของซากางุจิ จูโซ
ยี่สิบนาทีผ่านไปช่วงเวลาแห่งความสุนทรีย์สิ่นสุดลงด้วยเสียงไวโอลินอันบรรเจิดค่อย ๆ แผ่วลงและจางหายราวเส้นไหมบางเบาลิ่วลอยจากไป ตามมาด้วยเสียงพิธีกรและสัญญาณบอกเวลาสามทุ่ม วินาทีนั้นเองมีเสียงดังปังเหมือนใครปิดประตูแรง ๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่งกลบทับเสียงบอกเวลา ไม่ใช่เสียงจากวิทยุแน่นอน หรือว่ารถยนต์ที่แล่นผ่านถนนด้านหน้าจะยางระเบิดแต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะมันชวนให้ขนลุกชอบกล ทาคาฮาชิกับภรรยาสบตากันอย่างหวาด ๆ
สามีเอื้อมมือไปปิดวิทยุ
“เสียงอะไรคุณ ฟังดูชอบกล”
“ห้องข้าง ๆ ละมัง รู้สึกว่าจะดังมาจากห้องข้างเรานี่แหละ”
ห้องของมุราโคชิกับห้องนี้อยู่ติดกันก็จริงแต่มีผนังหนากั้นไว้อีกทั้งเป็นหน้าหนาวจึงต่างก็ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเสียงมาจากไหนแน่ ได้แต่คิดว่าอาจมาจากห้องข้าง ๆ ทั้งสองไม่เคยได้ยินเสียงปืนมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกขวัญหายขึ้นมาเมื่อคิดว่านั่นอาจเป็นเสียงปืน
“ไปดูกันดีกว่า”
สามีเดินออกไปเคาะห้องของมุราโคชิแต่ไม่มีเสียงตอบ ภายในเงียบกริบอย่างประหลาด เขาลองหมุนลูกบิดประตูดูแต่ปรากฏว่าติดล็อกอยู่ มีแสงลอดออกมาเล็กน้อยแสดงว่าเจ้าของห้องไม่น่าไปไหน และเมื่อครู่ก่อนได้ยินเสียงวิทยุยังคิดเลยว่าห้องข้าง ๆ ก็เปิดฟังเหมือนกัน แต่คงปิดไปแล้วเพราะตอนนี้เงียบกริบ ใช่...เขาต้องอยู่ในห้องเพราะไม่ใช่นั้นใครจะเป็นคนปิดวิทยุ
ทาคาฮาชิหันไปสบตากับภรรยาที่ย่องตามมาเงียบ ๆ
“ชักจะไม่ค่อยดีนะคุณ เราอ้อมไปทางสวนแล้วมองเข้าไปดูทางหน้าต่างดีไหม”
ระหว่างทางทั้งสองพบผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์เดินสวนมาบนระเบียงทางเดินท่าทางดูแปลก ๆ
“คุณได้ยินเสียงนั่นหรือเปล่า”
ทาคาฮาชิเอ่ยถาม
“เสียงนั่นน่ะเสียงอะไรครับ ผมฟังวิทยุอยู่...”
“ตอนวิทยุบอกเวลาสามทุ่มหลังรายการวิทยุจบ ผมได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากห้องข้าง ๆ พยายามจะเปิดประตูเข้าไปดูแต่มันล็อกอยู่ก็เลยอ้อมมาทางสวนกะว่าจะมองเข้าไปดูทางหน้าต่าง”
“ห้องคุณมุราโคชิใช่ไหมครับ ถ้าเป็นห้องนั้นละก็มีกุญแจอยู่ที่ผมอีกดอกหนึ่ง”
“ดีครับ แต่เรามาถึงตรงนี้แล้ว เราไปดูทางหน้าต่างกันสักนิดนึง อาจไม่มีอะไรก็ได้”
ทาคาฮาชิกับคนดูแลเดินลงไปที่สวนด้วยกันแล้วอ้อมไปทางด้านนอกของห้องมุราโคชิ ส่วนภรรยาไม่ได้ตามลงไปด้วย
ภายในห้องเปิดไฟสว่างอยู่ ชายทั้งสองย่องเข้าไปที่หน้าต่างด้วยท่าทางราวกับนักย่องเบา หน้าต่างติดผ้าม่านแต่พอมีรอยแยกให้มองผ่านเข้าไปได้ ทาคาฮาชิหากล่องไม้มาได้อันหนึ่งจึงเอามาต่อตัวขึ้นไปดูก่อน
“เป็นไงครับ มีใครอยู่ไหม”
คนดูแลอพาร์ตเม้นต์กระซิบถามมาจากข้างหลัง
ทาคาฮาชิไม่ตอบแต่กวักมือเรียก ปลายนิ้วของเขาสั่นน้อย ๆ
คนถามยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบกล่องไม้โหนตัวตามขึ้นไป ทั้งสองกอดบ่ายึดกันไว้ไม่ให้ตกลงไปจากกล่องไม้ขณะมองลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้าไปภายใน และจ้องมองอยู่นาน
ภายในห้องมีม่านกั้นแบ่งส่วนที่วางเตียงนอนอยู่อีกชั้นหนึ่งซึ่งตอนนี้แหวกอยู่ครึ่ง ๆ เผยให้เห็นมุราโคชินอนหงายอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดสูทที่แต่งไปทำงาน เสื้อกั๊กไม่ได้กลัดกระดุมเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตแดงฉานไปด้วยเลือดสด ๆ และเมื่อมองให้ดีก็เห็นพื้นพรมที่ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่ชุ่มเลือดแดงก่ำ
“ปืนครับ เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงปืนนั่นเอง”
ปืนพกขนาดเล็กสีดำกระบอกหนึ่งตกอยู่ข้างมือของทาคาฮาชิ
“ฆ่าตัวตายหรือครับ”
ที่ทำให้ต้องคิดเช่นนั้น เพราะหน้าต่างทุกบานปิดสนิทพยายามเปิดเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ประตูทางเข้าห้องก็ล็อกกุญแจจากภายใน ไม่มีทางที่ฆาตกรจะหนีออกไปได้
“ผมว่าเราเอากุญแจที่คุณมีอยู่อีกดอกหนึ่งไขเข้าไปดูกันดีกว่า ไม่ได้...เราต้องแจ้งตำรวจก่อน คุณโทร.ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ทาคาฮาชิสติก่อนและไหวตัวอย่างเร่งรีบจนเกือบหล่นลงมาจากกล่องไม้ทั้งคู่ เขารุนหลังคนดูแลที่ยังงงอยู่ไปทางขึ้นเรือนโดยเร็ว
เพียงครู่สั้น ๆ หลังจากนั้นรถยนต์เกือบสิบคันก็ทยอยตามกันมาจอดเต็มหน้าประตูทางเข้าอพาร์ตเม้นต์คันนามิโซ มีทั้งรถจากสถานีตำรวจเจ้าของพื้นที่ รถของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 ของสำนักงานตำรวจโตเกียว รถเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รถตำรวจลาดตระเวนสีขาว และรถนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทันทีที่ได้รับแจ้งว่าผู้ตายคือ มุราโคชิ ฮิโตชิ ผู้กองมิโนอุระตำรวจสายสืบกระดูกเหล็กก็รีบออกจากบ้านมาร่วมทีมตำรวจจากแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1โดยไม่รั้งรอ
พอผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์ไขกุญแจเปิดห้องที่เกิดเหตุ ตำรวจสายสืบและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็เข้าไปปฏิบัติงาน ส่วนพวกนักข่าวถูกกันให้อยู่ภายนอกปะปนกับคนในอพาร์ตเม้นต์ที่ออกมามุมดูเหตุการณ์จนแน่นระเบียงทางเดิน
แพทย์นิติเวชทำการชันสูตรศพในขั้นแรกพบว่าสาเหตุการตายคือถูกยิงทะลุหัวใจด้วยปืนพกที่ตกอยู่ข้างมือศพ ปืนพกขนาดเล็กกระบอกนั้นยี่ห้อวอลเธอร์ของเยอรมันที่เข้ามาในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากช่วงก่อนสงคราม
เจ้าหน้าที่พิสูจน์ลายมือตรวจดูลายมือบนปืนพกกระบอกนั้นทันที ณ ที่เกิดเหตุและเทียบกับลายมือของผู้ตายแล้วพบแต่ลายมือของผู้ตายคนเดียวไม่มีของคนอื่นติดอยู่เลย และเมื่อถามผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์ผู้อยู่อาศัยที่นั่นก็ไม่มีใครรู้มาก่อนว่ามุราโคชิมีปืนพก มาภายหลังจึงรู้ว่ามุราโคชิไม่มีใบอนุญาตพกอาวุธปืน ดังนั้นถ้าปืนกระบอกนี้เป็นของเขาจริงก็หมายความว่ามุราโคชิได้มาจากช่องทางที่ผิดกฎหมาย
หลักฐานและภาวะแวดล้อมชี้ชัดว่ามุราโคชิยิงตัวตาย ลายมือที่ปรากฏบนปืนเป็นของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย อีกทั้งไม่ปรากฏร่องรอยว่ามีใครมาที่ห้องของเขาในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ ผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์บอกว่าไม่เห็นมีใครมาส่วนนายทาคาฮาชิกับภรรยาก็ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ยินเสียงใครมาที่ห้องนายมุราโคชิซึ่งอยู่ติดกัน แต่ที่ชัดเจนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือการที่ห้องของผู้ตายอยู่ในสภาพของห้องปิดตาย คือกุญแจประตูถูกล็อกและหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิทจากภายในไม่มีช่องทางให้ใครเล็ดลอดออกไปได้
ห้องพักของมุราโคชิเป็นห้องแบบฝรั่งกว้างประมาณสิบเสื่อ อยู่ชั้นล่างริมสุดด้านตะวันออกของอาคาร ด้านเหนือและด้านตะวันออกติดกับสวน ห้องข้างเคียงมีห้องของครอบครัวทาคาฮาชิที่อยู่ด้านตะวันตกแค่ห้องเดียว ส่วนทางใต้ติดกับระเบียงทางเดินโดยมีประตูห้องเพียงประตูเดียวที่เปิดออกไปได้ ผนังห้องทางด้านเหนือและด้านตะวันออกของที่ติดกับสวนเป็นผนังหนา มีหน้าต่างกระจกบานแคบ ๆ ดันเปิดขึ้นไปข้างบนแบบบ้านฝรั่งสมัยเก่ารวมสามบาน คือบานหนึ่งที่ด้านเหนือ และอีกสองบานที่ด้านตะวันออก ภายในห้องจึงไม่สว่างมากนักแม้ในตอนกลางวัน
ห้องนี้นอกจากประตูหนึ่งบานและหน้าต่างสามบานนี้แล้ว ไม่มีหน้าต่างที่เป็นบานหมุนเหนือประตูสำหรับระบายอากาศ ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่นแบบเก่าที่ต้องมีปล่องระบายควันไฟ และไม่มีช่องทางอื่น ๆ ที่คนภายนอกจะเข้าออกได้แม้แต่ช่องเดียว ห้องอยู่ในสภาพห้องปิดตายอย่างสมบูรณ์ เพราะกุญแจห้องถูกล็อกจากภายในโดยที่ลูกกุญแจยังคาอยู่ที่รู หน้าต่างทั้งสามบานถูกใส่กลอนจากภายในเช่นกัน จะว่ามีการถอดกระจกออกลอบเข้ามาแล้วใส่คืนเข้าไปหลังออกไปแล้วก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีร่องรอยของการกระทำเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาทางด้านเหตุจูงใจ การฆ่าตัวตายของมุราโคชิไม่ได้เป็นการกระทำอย่างหุนหันพลันแล่น แต่อาจมีเหตุจูงใจให้เขาต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น ผู้การยาซุอิหัวหน้าแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 และตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกสองสามคนคิดว่าผู้กองมิโนอุระน่าจะรู้เรื่องนี้ดี เพราะได้ยินว่าติดตามสะกดรอยมุราโคชิมาตลอด ถ้ามุราโคชิเป็นคนผลัก ฮิเมดะ โกโรตกหน้าผาที่อาตามิจริง และถูกผู้กองมุราโคชิใช้กลยุทธ์สะกดรอยอย่างกระชั้นชิดไม่ยอมให้คลาดสายตาเช่นนั้น อาจเป็นไปได้ที่มุราโคชิจะรู้สึกถูกกดดันอย่างรุนแรงจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย
แม้ว่าหลักฐานซึ่งได้แก่ลายมือบนปืนพก ห้องปิดตาย และแรงจูงใจจะครบถ้วนพอให้ชี้ชัดได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ผู้กองมุราโคชิและตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1ก็ยังลังเลที่จะวินิจฉัยฟันธงลงว่าเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุผลหนึ่งก็คือผู้ตายไม่ได้ทิ้งจดหมายลาตายหรือสั่งเสียอะไรไว้ เจ้าหน้าที่ตรวจดูจนทั่วทั้งห้องแล้วแต่ก็ไม่พบเอกสารอะไรที่มีลักษณะเช่นว่านั้น สมุดบันทึกประจำวันหรือข้อเขียนอื่น ๆ ที่ค้นพบก็ไม่เห็นมีใจความที่จะช่วยให้สาวไปถึงการฆ่าตัวตายได้เลย การที่คนฆ่าตัวตายกรณีเช่นนี้ไม่ทิ้งข้อความใด ๆ เอาไว้เลยนั้นนับเป็นเรื่องผิดปกติ คิดได้อีกทางหนึ่งว่าบางทีผู้ตายส่งจดหมายเปิดความในใจไปถึงใครสักคน แต่เมื่อมาสืบดูในวันต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีการส่งอะไรถึงใคร
ความผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่ทีมพิสูจน์หลักฐานพบทันทีที่เข้ามายังที่เกิดเหตุก็คือ ขนนกสีขาวคล้ายขนห่านเปื้อนเลือดเสียบอยู่ที่อกเสื้อกั๊กของผู้ตาย คิดได้อย่างเดียวว่าจะต้องมีใครเอามาเสียบไว้หลังจากมุราโคชิสิ้นใจแล้วหายตัวไป ขนนกนั้นเหมือนกันไม่มีผิดกับที่ฮิเมดะ โกโรได้รับสองครั้งก่อนตายอย่างลึกลับ ซึ่งในตอนแรกทีมสืบสวนสอบสวนสันนิษฐานกันว่าเป็น “ลูกธนูขนนกขาว” ที่สมาคมลึกลับส่งมาเป็นสัญญาณเตือนการลอบสังหาร แต่หลังจากที่ได้สืบจนถี่ถ้วนแล้วไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงกับสมาคมลับหรืออะไรเลยสักแห่งเดียว จึงสรุปว่าเป็นการกระทำของฆาตกรที่ต้องการให้ดูเป็นปริศนาลึกลับ และถ้ามุราโคชิเป็นฆาตกรเขาก็จะต้องเป็นคนส่งขนนกสีขาวนั้นไปให้ฮาเมดะแน่ แต่ในเมื่อครั้งนี้ขนนกแบบเดียวกันนั้นกลับมาเสียบอยู่ที่อกของมุราโคชิผู้ต้องสงสัยเสียเองและเขาก็ได้ตายไปแล้วด้วย ย่อมหมายความว่าต้องมีคนอื่นที่เป็นคนส่งขนนกสีขาวมาตั้งแต่ต้นและคน ๆ นั้นต้องเป็นคนฆ่าทั้งฮาเมดะและมุราโคชิทั้งสองคนแน่
การที่ผู้ตายไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ และขนนกสีขาวที่เสียบไว้กับเสื้อกั๊กของมุราโคชิ ทำให้วินิจฉัยรูปคดีว่าเป็นอัตวินิบาตกรรมไม่ได้ง่าย ๆ

การตายของมุราโคชิที่เขาสะกดรอยตามติด ๆ ในฐานะผู้ต้องสงสัยทำให้แผนสืบสวนของผู้กองมุราโคชิพลิกผันไป สายสืบกระดูกเหล็กไม่มีเวลาผิดหวังที่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นตามการสันนิษฐาน เพราะต้องเร่งสืบหาฆาตกรตัวจริงต่อไป
ครางนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นในกรุงโตเกียว เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 จึงต้องเคลื่อนไหวกันเต็มที่ โดยมีผู้การฮานะดะหัวหน้าฝ่ายที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้กองมิโนอุระเป็นหัวหน้าทีมสืบสวน และเนื่องจากผู้กองมิโนอุระเป็นผู้รู้รายละเอียดทั้งที่เกี่ยวกับคดีฮิเมดะและคดีมุราโคชิที่เพิ่งเกิดขึ้น ความคิดเห็นของเขาจึงมีความสำคัญมากต่อการทำงานของทีม อีกทั้งทางด้านการปฏิบัติงานเขาก็ได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งที่สำคัญด้วย
ความยากของคดีมุราโคชิอยู่ที่ปริศนาห้องปิดตาย ถ้าเจ้าหน้าที่สามารถยืนยันได้ว่าห้องปิดตายในกรณีนี้เป็นห้องที่ไม่มีทางออกเลยจริง ๆ ไม่มีการวางกลอุบายตบตาเจ้าหน้าที่อะไรทั้งสิ้น ก็จะสิ้นข้อสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม แต่ตำรวจสมัยใหม่ไม่มีใครเชื่อเรื่องห้องปิดตายง่าย ๆ เมื่อใดที่ต้องเผชิญกับปริศนาห้องปิดตายสิ่งแรกที่ทุกคนคิดก็คือ “กลอุบาย” ที่ฆาตกรใช้ตบตาให้เห็นเป็นเช่นนั้น ปริศนาห้องปิดตายที่เจ้าหน้าที่พบในคดีฆาตกรรมนั้นมีอยู่น้อยมาก เรียกได้ว่านานทีจึงจะมีสักครั้ง นักสืบผู้มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่งดีรวบรวมกลอุบายการทำห้องปิดตายลักษณะต่าง ๆ เอาไว้ถึงร้อยชนิด ซึ่งเป็นใช้เป็นตำราสอนตำรวจยุคใหม่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การไม่เชื่อว่าจะมีห้องปิดตายที่สมบูรณ์แบบได้กลายเป็นเรื่องปกติในวงการตำรวจสืบสวน ดังนั้นบรรดาตำรวจในทีมสืบสวนคดีมุราโคชิจึงทำการสืบสวนโดยสันนิษฐานรูปคดีว่าเป็นการฆาตกรรม แม้เหตุจะเกิดขึ้นภายในภาวะแวดล้อมที่เป็นห้องปิดตายก็ตาม
การสืบสวนคดีมุราโคชิในแนวฆาตกรรมเริ่มขึ้นจากการสำรวจรายชื่อคนที่มีความสัมพันธ์กับนายมุราโคชิ ซึ่งได้แก่ เพื่อร่วมงานและคนอื่น ๆ ในบริษัท และผู้คนที่อยู่อาศัยในอพาร์ตเม้นต์เดียวกัน และแน่นอนว่าต้องรวมถึงคนในครอบครัวของนายโองาวาระด้วย
แต่คนแรกที่ผู้กองมิโนอุระนึกถึงก็คือคินุกิ โจคิชิ จิตรกรสติเฟื่อง เพื่อนผู้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดของมุราโคชิคนนั้น และอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่านายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เขาคิดถึงกับว่าถ้าจำเป็นอาจต้องเรียกตัวมาสืบสวนที่สำนักงานตำรวจโตเกียวด้วยซ้ำ ดังนั้นวันที่ 14 ธันวาคมซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุผู้กองมิโนอุระจึงไปที่ห้องใต้หลังคาของจิตรกรสติเฟื่องที่นิปโปริตั้งแต่เช้าแต่ไม่พบตัวเจ้าของห้อง ถามคนแถวนั้นได้ความว่าเห็นออกไปตั้งแต่วันที่ 12 แล้วไม่กลับมาอีกเลย “เอ๊ะ หรือว่าหมอนั่นจะเป็นฆาตกร” นายตำรวจฉุกคิดขึ้นมาแล้วก็ใจเต้นแรง แต่เมื่อมาตรองดูให้ดีก็ไม่อาจคาดเดาถึงแรงจูงใจให้ฆ่าได้เลย คินุกิเป็นเพื่อนของมุราโคชิและไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่า
วันนั้นทั้งวันจิตรกรสติเฟื่องไม่กลับมา จนกระทั่งเช้าวันที่ 15 มีผู้พบศพคนจมน้ำตายในแม่น้ำซุมิดะห่างจากสะพานเซ็นจูโฮฮาชิไปทางปลายน้ำ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพระบุว่าผู้ตายคือนายคินุกิ โจคิชิ และเมื่อดูลักษณะการตายแล้ววินิจฉันได้ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แม้จะไม่มีขนนกสีขาวอยู่ที่ศพของคินุกิ แต่การตายของเขาทำให้ตำรวจสงสัยว่าเป็นน้ำมือของฆาตกรคนเดียวกันกับสองศพก่อนหน้า
ผู้กองมิอุระรู้สึกหวาดกลัวอย่างประหลาดเมื่อคนที่เขาสะกดรอยดูพฤติกรรมด้วยความสงสัยว่าจะเป็นคนร้าย ถูกฆ่าตายติด ๆ กันเช่นนี้ อย่างนี้หมายความว่าผู้ร้ายเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา พอเขาเอื้อมมือเกือบจะถึงผู้ต้องสงสัยอยู่แล้วมันก็ฆ่าคน ๆ นั้นทิ้งเสีย การผลักฮิเมดะตกหน้าผาเป็นการฆาตกรรมที่ไม่มีความซับซ้อน แต่มาสองคดีหลังนี้ฆาตกรสำแดงความเป็นปีศาจใจโหดกระหายเลือดที่กำลังคุกคามใกล้เหยื่อของมันเข้ามาทุกที
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
อพาร์ทเม้นต์คันนามิโซถึงจะอยู่ค่อนข้างใกล้กับสถานีชิบูยะ แต่ก็เป็นละแวกบ้านที่เงียบสงบแวดล้อมไปด้วยคฤหาสน์หลังใหญ่สง่างาม คันนามิโซเองนั้นแต่เดิมสร้างขึ้นเป็นบ้านไม้ที่สร้างแบบตะวันตกแท้ ๆ สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว แต่เนื่องจากเป็นบ้านที่เปลี่ยนเจ้าของหลายครั้งมากในช่วงสงครามจนหลังสงคราม และไม่ได้รับการบำรุงรักษาจึงทรุดโทรมลงจนมีสภาพเหมือนบ้านผีสิง พอดีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของในปัจจุบันเห็นเข้าจึงซื้อมาปรับปรุงเป็นอพาร์ทเม้นต์แบ่งให้เช่าโดยคงรูปทรงภายนอกของอาคารเอาไว้
แม้จะผ่านการปรับปรุงและต่อเติมกี่ครั้งกี่หน แต่บรรยากาศของเรือนฝรั่งแท้ก็ยังคงอยู่อย่างค่อนข้างสมบูรณ์แบบ จึงจูงใจให้ผู้ที่มีรสนิยมแนวนี้เข้ามาอยู่อาศัย โดยเฉพาะห้องของมุราโคชิที่อยู่มุมด้านในสุดของเรือนคงจะเคยเป็นห้องนั่งเล่นหรือไม่ก็ห้องส่วนตัวของเจ้าของบ้าน เพราะการตกแต่งภายในยังทิ้งร่องรอยของความเป็นคนมีรสนิยมอารยธรรมตะวันตกแบบคลาสสิคอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลวดลายการแกะสลักไม้ หรือกระดาษปิดฝาผนังลายดอกไม้ดอกไม้สีซีดไปตามวันเวลาชวนให้ระลึกถึงอดีต หน้าต่างเป็นแบบเก่าชนิดดันเปิดขึ้นไปข้างบน หน้าเล็ก ๆ เพียงสามบานไม่เพียงพอกับการรับแสงสำหรับห้องกว้างขนาดสิบเสื่อหรือประมาณสิบแปดสิบเก้าตารางเมตร ความสลัวทำให้บรรยากาศในห้องดูขรึมซึ่งคงถูกกับรสนิยมของมุราโคชิ
คืนวันที่ 13 ธันวาคม ถูกใครคนหนึ่งยิงที่หน้าอกและขาดใจตายหลังกลับจากบริษัทและเก็บตัวอยู่ภายในห้อง
คนข้างห้องของมุราโคชิคือสามีภรรยาวัยหนุ่มสาวชื่อทาคาฮาชิซึ่งเป็นพนักงานบริษัททั้งคู่ ทั้งสองไม่มีความสำคัญอะไรกับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่นี้ นอกเหนือไปจากการเป็นผู้พบศพคนแรกในคดีฆาตกรรมคันนามิโซ
คืนนั้นรายการวิทยุที่นักฟังดนตรีคลาสสิครอคอยเริ่มขึ้นตั้งแต่สองทุ่มสี่สิบนาที ซากางุจิ จูโซ ผู้ได้ชื่อว่านักไวโอลินอัจฉริยะจากปารีสจะมาเล่นให้ฟังทางวิทยุเป็นครั้งแรกหลังกลับจากฝรั่งเศส ชื่อของซากางุจิเด่นดังมากทันทีที่กลับถึงบ้านเกิด หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันครึกโครม มีการจัดงานต้อนรับการกลับสู่มาตุภูมิอย่างเอิกเกริก บัตรเข้าชมการแสดงไวโอลินครั้งแรกของเขาที่หอประชุมประชาคมฮิบิยะกลายเป็นของมีค่าหายากมาก ผู้สื่อข่าวติดตามความเคลื่อนไหวของศิลปินยอดนิยมผู้นี้อย่างใกล้ชิดและนำเสนอเรื่องราวเป็นข่าวเด่นบนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน ซากางุจิ จูโซพุ่งขึ้นมาเป็นดาราดวงเด่นสุดยอดแห่งความนิยมในวงการบันเทิงแห่งปีเลยทีเดียว และเมื่อเป็นนักดนตรีระดับนี้มาเล่นออกรายการวิทยุเป็นครั้งแรก นักนิยมดนตรีคลาสสิคทั้งหลายจึงพลาดไม่ได้แน่นอน ใครมีธุระอะไรสำคัญแค่ไหนต้องพักไว้ก่อน แล้วนั่งจับจ้องคอยเวลาออกอากาศอยู่หน้าเรื่องรับวิทยุ
นายทาคาฮาชิและภรรยาที่อยู่ข้างห้องมุราโคชิไม่ได้เป็นคนนิยมดนตรีคลาสสิคอะไรนัก แต่เมื่อวงสังคมแตกตื่นกันขนาดนี้ก็เลยคิดว่าไม่ควรพลาดและนั่งคอยฟังรายการกับเขาด้วยเหมือนกัน ทั้งสองนั่งจิบกาแฟที่ภรรยาเป็นคนชง นั่งคอยเวลาออกอากาศอยู่หน้าวิทยุ
พอได้เวลาสองทุ่มสี่สิบนาทีพิธีกรก็ประกาศเริ่มรายการมีเสียงไวโอลินแว่วออกมาแผ่ว ๆ จากลำโพง
ถึงจะไม่ใช่นักฟังดนตรีตัวยง แต่เสียงดนตรีจากฝีมือนักไวโอลินอัจฉริยะผู้นี้มีพลังจูงใจให้สองสามีภรรยาเคลิบเคลิ้มไปอย่างน่าอัศจรรย์ อพาร์ตเม้นต์ทั้งหลังสงบเงียบมีแต่เสียงไวโอลินกังวานไพเราะราวกับอยู่ในห้องแสดงดนตรี ดูเหมือนทุกห้องจะเปิดวิทยุฟังกัน และการที่ไม่มีเสียงอื่นแปลกปลอมออกมาเลยนั้นแสดงว่าไม่มีใครฟังรายการอื่นนอกจากการแสดงไวโอลินของซากางุจิ จูโซ
ยี่สิบนาทีผ่านไปช่วงเวลาแห่งความสุนทรีย์สิ่นสุดลงด้วยเสียงไวโอลินอันบรรเจิดค่อย ๆ แผ่วลงและจางหายราวเส้นไหมบางเบาลิ่วลอยจากไป ตามมาด้วยเสียงพิธีกรและสัญญาณบอกเวลาสามทุ่ม วินาทีนั้นเองมีเสียงดังปังเหมือนใครปิดประตูแรง ๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่งกลบทับเสียงบอกเวลา ไม่ใช่เสียงจากวิทยุแน่นอน หรือว่ารถยนต์ที่แล่นผ่านถนนด้านหน้าจะยางระเบิดแต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะมันชวนให้ขนลุกชอบกล ทาคาฮาชิกับภรรยาสบตากันอย่างหวาด ๆ
สามีเอื้อมมือไปปิดวิทยุ
“เสียงอะไรคุณ ฟังดูชอบกล”
“ห้องข้าง ๆ ละมัง รู้สึกว่าจะดังมาจากห้องข้างเรานี่แหละ”
ห้องของมุราโคชิกับห้องนี้อยู่ติดกันก็จริงแต่มีผนังหนากั้นไว้อีกทั้งเป็นหน้าหนาวจึงต่างก็ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเสียงมาจากไหนแน่ ได้แต่คิดว่าอาจมาจากห้องข้าง ๆ ทั้งสองไม่เคยได้ยินเสียงปืนมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกขวัญหายขึ้นมาเมื่อคิดว่านั่นอาจเป็นเสียงปืน
“ไปดูกันดีกว่า”
สามีเดินออกไปเคาะห้องของมุราโคชิแต่ไม่มีเสียงตอบ ภายในเงียบกริบอย่างประหลาด เขาลองหมุนลูกบิดประตูดูแต่ปรากฏว่าติดล็อกอยู่ มีแสงลอดออกมาเล็กน้อยแสดงว่าเจ้าของห้องไม่น่าไปไหน และเมื่อครู่ก่อนได้ยินเสียงวิทยุยังคิดเลยว่าห้องข้าง ๆ ก็เปิดฟังเหมือนกัน แต่คงปิดไปแล้วเพราะตอนนี้เงียบกริบ ใช่...เขาต้องอยู่ในห้องเพราะไม่ใช่นั้นใครจะเป็นคนปิดวิทยุ
ทาคาฮาชิหันไปสบตากับภรรยาที่ย่องตามมาเงียบ ๆ
“ชักจะไม่ค่อยดีนะคุณ เราอ้อมไปทางสวนแล้วมองเข้าไปดูทางหน้าต่างดีไหม”
ระหว่างทางทั้งสองพบผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์เดินสวนมาบนระเบียงทางเดินท่าทางดูแปลก ๆ
“คุณได้ยินเสียงนั่นหรือเปล่า”
ทาคาฮาชิเอ่ยถาม
“เสียงนั่นน่ะเสียงอะไรครับ ผมฟังวิทยุอยู่...”
“ตอนวิทยุบอกเวลาสามทุ่มหลังรายการวิทยุจบ ผมได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากห้องข้าง ๆ พยายามจะเปิดประตูเข้าไปดูแต่มันล็อกอยู่ก็เลยอ้อมมาทางสวนกะว่าจะมองเข้าไปดูทางหน้าต่าง”
“ห้องคุณมุราโคชิใช่ไหมครับ ถ้าเป็นห้องนั้นละก็มีกุญแจอยู่ที่ผมอีกดอกหนึ่ง”
“ดีครับ แต่เรามาถึงตรงนี้แล้ว เราไปดูทางหน้าต่างกันสักนิดนึง อาจไม่มีอะไรก็ได้”
ทาคาฮาชิกับคนดูแลเดินลงไปที่สวนด้วยกันแล้วอ้อมไปทางด้านนอกของห้องมุราโคชิ ส่วนภรรยาไม่ได้ตามลงไปด้วย
ภายในห้องเปิดไฟสว่างอยู่ ชายทั้งสองย่องเข้าไปที่หน้าต่างด้วยท่าทางราวกับนักย่องเบา หน้าต่างติดผ้าม่านแต่พอมีรอยแยกให้มองผ่านเข้าไปได้ ทาคาฮาชิหากล่องไม้มาได้อันหนึ่งจึงเอามาต่อตัวขึ้นไปดูก่อน
“เป็นไงครับ มีใครอยู่ไหม”
คนดูแลอพาร์ตเม้นต์กระซิบถามมาจากข้างหลัง
ทาคาฮาชิไม่ตอบแต่กวักมือเรียก ปลายนิ้วของเขาสั่นน้อย ๆ
คนถามยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบกล่องไม้โหนตัวตามขึ้นไป ทั้งสองกอดบ่ายึดกันไว้ไม่ให้ตกลงไปจากกล่องไม้ขณะมองลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้าไปภายใน และจ้องมองอยู่นาน
ภายในห้องมีม่านกั้นแบ่งส่วนที่วางเตียงนอนอยู่อีกชั้นหนึ่งซึ่งตอนนี้แหวกอยู่ครึ่ง ๆ เผยให้เห็นมุราโคชินอนหงายอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดสูทที่แต่งไปทำงาน เสื้อกั๊กไม่ได้กลัดกระดุมเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตแดงฉานไปด้วยเลือดสด ๆ และเมื่อมองให้ดีก็เห็นพื้นพรมที่ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่ชุ่มเลือดแดงก่ำ
“ปืนครับ เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงปืนนั่นเอง”
ปืนพกขนาดเล็กสีดำกระบอกหนึ่งตกอยู่ข้างมือของทาคาฮาชิ
“ฆ่าตัวตายหรือครับ”
ที่ทำให้ต้องคิดเช่นนั้น เพราะหน้าต่างทุกบานปิดสนิทพยายามเปิดเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ประตูทางเข้าห้องก็ล็อกกุญแจจากภายใน ไม่มีทางที่ฆาตกรจะหนีออกไปได้
“ผมว่าเราเอากุญแจที่คุณมีอยู่อีกดอกหนึ่งไขเข้าไปดูกันดีกว่า ไม่ได้...เราต้องแจ้งตำรวจก่อน คุณโทร.ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ทาคาฮาชิสติก่อนและไหวตัวอย่างเร่งรีบจนเกือบหล่นลงมาจากกล่องไม้ทั้งคู่ เขารุนหลังคนดูแลที่ยังงงอยู่ไปทางขึ้นเรือนโดยเร็ว
เพียงครู่สั้น ๆ หลังจากนั้นรถยนต์เกือบสิบคันก็ทยอยตามกันมาจอดเต็มหน้าประตูทางเข้าอพาร์ตเม้นต์คันนามิโซ มีทั้งรถจากสถานีตำรวจเจ้าของพื้นที่ รถของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 ของสำนักงานตำรวจโตเกียว รถเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รถตำรวจลาดตระเวนสีขาว และรถนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทันทีที่ได้รับแจ้งว่าผู้ตายคือ มุราโคชิ ฮิโตชิ ผู้กองมิโนอุระตำรวจสายสืบกระดูกเหล็กก็รีบออกจากบ้านมาร่วมทีมตำรวจจากแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1โดยไม่รั้งรอ
พอผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์ไขกุญแจเปิดห้องที่เกิดเหตุ ตำรวจสายสืบและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็เข้าไปปฏิบัติงาน ส่วนพวกนักข่าวถูกกันให้อยู่ภายนอกปะปนกับคนในอพาร์ตเม้นต์ที่ออกมามุมดูเหตุการณ์จนแน่นระเบียงทางเดิน
แพทย์นิติเวชทำการชันสูตรศพในขั้นแรกพบว่าสาเหตุการตายคือถูกยิงทะลุหัวใจด้วยปืนพกที่ตกอยู่ข้างมือศพ ปืนพกขนาดเล็กกระบอกนั้นยี่ห้อวอลเธอร์ของเยอรมันที่เข้ามาในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากช่วงก่อนสงคราม
เจ้าหน้าที่พิสูจน์ลายมือตรวจดูลายมือบนปืนพกกระบอกนั้นทันที ณ ที่เกิดเหตุและเทียบกับลายมือของผู้ตายแล้วพบแต่ลายมือของผู้ตายคนเดียวไม่มีของคนอื่นติดอยู่เลย และเมื่อถามผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์ผู้อยู่อาศัยที่นั่นก็ไม่มีใครรู้มาก่อนว่ามุราโคชิมีปืนพก มาภายหลังจึงรู้ว่ามุราโคชิไม่มีใบอนุญาตพกอาวุธปืน ดังนั้นถ้าปืนกระบอกนี้เป็นของเขาจริงก็หมายความว่ามุราโคชิได้มาจากช่องทางที่ผิดกฎหมาย
หลักฐานและภาวะแวดล้อมชี้ชัดว่ามุราโคชิยิงตัวตาย ลายมือที่ปรากฏบนปืนเป็นของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย อีกทั้งไม่ปรากฏร่องรอยว่ามีใครมาที่ห้องของเขาในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ ผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์บอกว่าไม่เห็นมีใครมาส่วนนายทาคาฮาชิกับภรรยาก็ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ยินเสียงใครมาที่ห้องนายมุราโคชิซึ่งอยู่ติดกัน แต่ที่ชัดเจนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือการที่ห้องของผู้ตายอยู่ในสภาพของห้องปิดตาย คือกุญแจประตูถูกล็อกและหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิทจากภายในไม่มีช่องทางให้ใครเล็ดลอดออกไปได้
ห้องพักของมุราโคชิเป็นห้องแบบฝรั่งกว้างประมาณสิบเสื่อ อยู่ชั้นล่างริมสุดด้านตะวันออกของอาคาร ด้านเหนือและด้านตะวันออกติดกับสวน ห้องข้างเคียงมีห้องของครอบครัวทาคาฮาชิที่อยู่ด้านตะวันตกแค่ห้องเดียว ส่วนทางใต้ติดกับระเบียงทางเดินโดยมีประตูห้องเพียงประตูเดียวที่เปิดออกไปได้ ผนังห้องทางด้านเหนือและด้านตะวันออกของที่ติดกับสวนเป็นผนังหนา มีหน้าต่างกระจกบานแคบ ๆ ดันเปิดขึ้นไปข้างบนแบบบ้านฝรั่งสมัยเก่ารวมสามบาน คือบานหนึ่งที่ด้านเหนือ และอีกสองบานที่ด้านตะวันออก ภายในห้องจึงไม่สว่างมากนักแม้ในตอนกลางวัน
ห้องนี้นอกจากประตูหนึ่งบานและหน้าต่างสามบานนี้แล้ว ไม่มีหน้าต่างที่เป็นบานหมุนเหนือประตูสำหรับระบายอากาศ ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่นแบบเก่าที่ต้องมีปล่องระบายควันไฟ และไม่มีช่องทางอื่น ๆ ที่คนภายนอกจะเข้าออกได้แม้แต่ช่องเดียว ห้องอยู่ในสภาพห้องปิดตายอย่างสมบูรณ์ เพราะกุญแจห้องถูกล็อกจากภายในโดยที่ลูกกุญแจยังคาอยู่ที่รู หน้าต่างทั้งสามบานถูกใส่กลอนจากภายในเช่นกัน จะว่ามีการถอดกระจกออกลอบเข้ามาแล้วใส่คืนเข้าไปหลังออกไปแล้วก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีร่องรอยของการกระทำเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาทางด้านเหตุจูงใจ การฆ่าตัวตายของมุราโคชิไม่ได้เป็นการกระทำอย่างหุนหันพลันแล่น แต่อาจมีเหตุจูงใจให้เขาต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น ผู้การยาซุอิหัวหน้าแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 และตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกสองสามคนคิดว่าผู้กองมิโนอุระน่าจะรู้เรื่องนี้ดี เพราะได้ยินว่าติดตามสะกดรอยมุราโคชิมาตลอด ถ้ามุราโคชิเป็นคนผลัก ฮิเมดะ โกโรตกหน้าผาที่อาตามิจริง และถูกผู้กองมุราโคชิใช้กลยุทธ์สะกดรอยอย่างกระชั้นชิดไม่ยอมให้คลาดสายตาเช่นนั้น อาจเป็นไปได้ที่มุราโคชิจะรู้สึกถูกกดดันอย่างรุนแรงจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย
แม้ว่าหลักฐานซึ่งได้แก่ลายมือบนปืนพก ห้องปิดตาย และแรงจูงใจจะครบถ้วนพอให้ชี้ชัดได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ผู้กองมุราโคชิและตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1ก็ยังลังเลที่จะวินิจฉัยฟันธงลงว่าเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุผลหนึ่งก็คือผู้ตายไม่ได้ทิ้งจดหมายลาตายหรือสั่งเสียอะไรไว้ เจ้าหน้าที่ตรวจดูจนทั่วทั้งห้องแล้วแต่ก็ไม่พบเอกสารอะไรที่มีลักษณะเช่นว่านั้น สมุดบันทึกประจำวันหรือข้อเขียนอื่น ๆ ที่ค้นพบก็ไม่เห็นมีใจความที่จะช่วยให้สาวไปถึงการฆ่าตัวตายได้เลย การที่คนฆ่าตัวตายกรณีเช่นนี้ไม่ทิ้งข้อความใด ๆ เอาไว้เลยนั้นนับเป็นเรื่องผิดปกติ คิดได้อีกทางหนึ่งว่าบางทีผู้ตายส่งจดหมายเปิดความในใจไปถึงใครสักคน แต่เมื่อมาสืบดูในวันต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีการส่งอะไรถึงใคร
ความผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่ทีมพิสูจน์หลักฐานพบทันทีที่เข้ามายังที่เกิดเหตุก็คือ ขนนกสีขาวคล้ายขนห่านเปื้อนเลือดเสียบอยู่ที่อกเสื้อกั๊กของผู้ตาย คิดได้อย่างเดียวว่าจะต้องมีใครเอามาเสียบไว้หลังจากมุราโคชิสิ้นใจแล้วหายตัวไป ขนนกนั้นเหมือนกันไม่มีผิดกับที่ฮิเมดะ โกโรได้รับสองครั้งก่อนตายอย่างลึกลับ ซึ่งในตอนแรกทีมสืบสวนสอบสวนสันนิษฐานกันว่าเป็น “ลูกธนูขนนกขาว” ที่สมาคมลึกลับส่งมาเป็นสัญญาณเตือนการลอบสังหาร แต่หลังจากที่ได้สืบจนถี่ถ้วนแล้วไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงกับสมาคมลับหรืออะไรเลยสักแห่งเดียว จึงสรุปว่าเป็นการกระทำของฆาตกรที่ต้องการให้ดูเป็นปริศนาลึกลับ และถ้ามุราโคชิเป็นฆาตกรเขาก็จะต้องเป็นคนส่งขนนกสีขาวนั้นไปให้ฮาเมดะแน่ แต่ในเมื่อครั้งนี้ขนนกแบบเดียวกันนั้นกลับมาเสียบอยู่ที่อกของมุราโคชิผู้ต้องสงสัยเสียเองและเขาก็ได้ตายไปแล้วด้วย ย่อมหมายความว่าต้องมีคนอื่นที่เป็นคนส่งขนนกสีขาวมาตั้งแต่ต้นและคน ๆ นั้นต้องเป็นคนฆ่าทั้งฮาเมดะและมุราโคชิทั้งสองคนแน่
การที่ผู้ตายไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ และขนนกสีขาวที่เสียบไว้กับเสื้อกั๊กของมุราโคชิ ทำให้วินิจฉัยรูปคดีว่าเป็นอัตวินิบาตกรรมไม่ได้ง่าย ๆ
การตายของมุราโคชิที่เขาสะกดรอยตามติด ๆ ในฐานะผู้ต้องสงสัยทำให้แผนสืบสวนของผู้กองมุราโคชิพลิกผันไป สายสืบกระดูกเหล็กไม่มีเวลาผิดหวังที่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นตามการสันนิษฐาน เพราะต้องเร่งสืบหาฆาตกรตัวจริงต่อไป
ครางนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นในกรุงโตเกียว เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของแผนกสืบสวนสอบสวนที่ 1 จึงต้องเคลื่อนไหวกันเต็มที่ โดยมีผู้การฮานะดะหัวหน้าฝ่ายที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้กองมิโนอุระเป็นหัวหน้าทีมสืบสวน และเนื่องจากผู้กองมิโนอุระเป็นผู้รู้รายละเอียดทั้งที่เกี่ยวกับคดีฮิเมดะและคดีมุราโคชิที่เพิ่งเกิดขึ้น ความคิดเห็นของเขาจึงมีความสำคัญมากต่อการทำงานของทีม อีกทั้งทางด้านการปฏิบัติงานเขาก็ได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งที่สำคัญด้วย
ความยากของคดีมุราโคชิอยู่ที่ปริศนาห้องปิดตาย ถ้าเจ้าหน้าที่สามารถยืนยันได้ว่าห้องปิดตายในกรณีนี้เป็นห้องที่ไม่มีทางออกเลยจริง ๆ ไม่มีการวางกลอุบายตบตาเจ้าหน้าที่อะไรทั้งสิ้น ก็จะสิ้นข้อสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม แต่ตำรวจสมัยใหม่ไม่มีใครเชื่อเรื่องห้องปิดตายง่าย ๆ เมื่อใดที่ต้องเผชิญกับปริศนาห้องปิดตายสิ่งแรกที่ทุกคนคิดก็คือ “กลอุบาย” ที่ฆาตกรใช้ตบตาให้เห็นเป็นเช่นนั้น ปริศนาห้องปิดตายที่เจ้าหน้าที่พบในคดีฆาตกรรมนั้นมีอยู่น้อยมาก เรียกได้ว่านานทีจึงจะมีสักครั้ง นักสืบผู้มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่งดีรวบรวมกลอุบายการทำห้องปิดตายลักษณะต่าง ๆ เอาไว้ถึงร้อยชนิด ซึ่งเป็นใช้เป็นตำราสอนตำรวจยุคใหม่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การไม่เชื่อว่าจะมีห้องปิดตายที่สมบูรณ์แบบได้กลายเป็นเรื่องปกติในวงการตำรวจสืบสวน ดังนั้นบรรดาตำรวจในทีมสืบสวนคดีมุราโคชิจึงทำการสืบสวนโดยสันนิษฐานรูปคดีว่าเป็นการฆาตกรรม แม้เหตุจะเกิดขึ้นภายในภาวะแวดล้อมที่เป็นห้องปิดตายก็ตาม
การสืบสวนคดีมุราโคชิในแนวฆาตกรรมเริ่มขึ้นจากการสำรวจรายชื่อคนที่มีความสัมพันธ์กับนายมุราโคชิ ซึ่งได้แก่ เพื่อร่วมงานและคนอื่น ๆ ในบริษัท และผู้คนที่อยู่อาศัยในอพาร์ตเม้นต์เดียวกัน และแน่นอนว่าต้องรวมถึงคนในครอบครัวของนายโองาวาระด้วย
แต่คนแรกที่ผู้กองมิโนอุระนึกถึงก็คือคินุกิ โจคิชิ จิตรกรสติเฟื่อง เพื่อนผู้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดของมุราโคชิคนนั้น และอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่านายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เขาคิดถึงกับว่าถ้าจำเป็นอาจต้องเรียกตัวมาสืบสวนที่สำนักงานตำรวจโตเกียวด้วยซ้ำ ดังนั้นวันที่ 14 ธันวาคมซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุผู้กองมิโนอุระจึงไปที่ห้องใต้หลังคาของจิตรกรสติเฟื่องที่นิปโปริตั้งแต่เช้าแต่ไม่พบตัวเจ้าของห้อง ถามคนแถวนั้นได้ความว่าเห็นออกไปตั้งแต่วันที่ 12 แล้วไม่กลับมาอีกเลย “เอ๊ะ หรือว่าหมอนั่นจะเป็นฆาตกร” นายตำรวจฉุกคิดขึ้นมาแล้วก็ใจเต้นแรง แต่เมื่อมาตรองดูให้ดีก็ไม่อาจคาดเดาถึงแรงจูงใจให้ฆ่าได้เลย คินุกิเป็นเพื่อนของมุราโคชิและไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่า
วันนั้นทั้งวันจิตรกรสติเฟื่องไม่กลับมา จนกระทั่งเช้าวันที่ 15 มีผู้พบศพคนจมน้ำตายในแม่น้ำซุมิดะห่างจากสะพานเซ็นจูโฮฮาชิไปทางปลายน้ำ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพระบุว่าผู้ตายคือนายคินุกิ โจคิชิ และเมื่อดูลักษณะการตายแล้ววินิจฉันได้ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แม้จะไม่มีขนนกสีขาวอยู่ที่ศพของคินุกิ แต่การตายของเขาทำให้ตำรวจสงสัยว่าเป็นน้ำมือของฆาตกรคนเดียวกันกับสองศพก่อนหน้า
ผู้กองมิอุระรู้สึกหวาดกลัวอย่างประหลาดเมื่อคนที่เขาสะกดรอยดูพฤติกรรมด้วยความสงสัยว่าจะเป็นคนร้าย ถูกฆ่าตายติด ๆ กันเช่นนี้ อย่างนี้หมายความว่าผู้ร้ายเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา พอเขาเอื้อมมือเกือบจะถึงผู้ต้องสงสัยอยู่แล้วมันก็ฆ่าคน ๆ นั้นทิ้งเสีย การผลักฮิเมดะตกหน้าผาเป็นการฆาตกรรมที่ไม่มีความซับซ้อน แต่มาสองคดีหลังนี้ฆาตกรสำแดงความเป็นปีศาจใจโหดกระหายเลือดที่กำลังคุกคามใกล้เหยื่อของมันเข้ามาทุกที