xs
xsm
sm
md
lg

ระดับของอวัยวะสืบพันธ์ชายญี่ปุ่นทั้ง 5 !! : เรื่องเล่าในวงเหล้า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว

ถ้าพูดถึงชีวิตการทำงานของพนักงานบริษัทญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่หนีไม่พ้นก็คือเรื่องการปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงานครับ สำหรับคนที่ไม่ดื่มเหล้าก็สามารถไปร่วมสนุกสนานกับคนอื่นๆ ได้เหมือนกันเพราะอาจจะไปนั่งคุย ทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์อื่นๆ ก็ได้ งานเลี้ยงหลังเลิกงานเรียกว่า 飲み会 (nomikai ) โนมิไกครับ ก็คือไปกินดื่มหลังเลิกงานนั่นแหละครับส่วนใหญ่ก็จะพากันไปหมด หรือแล้วแต่กลุ่มใครกลุ่มมันก็ได้ อาจจะมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง รวมทั้งหัวหน้าตามระดับต่างๆ ตามไปด้วย

โนมิไก (nomikai ) ส่วนใหญ่มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้รุ่นน้องกับรุ่นพี่ในสำนักงานได้ทำความรู้จักและเกิดความสนิทสนมกันซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการกระชับความสัมพันธ์นั่นเอง หรือจะพูดว่าเป็นหน้าที่ในการงานอีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ในงานเลี้ยงสังสรรค์นี้จะหนักไปทางดื่มครับส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดที่ร้านอาหาร และร้านอิซากายะหรือร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นครับ

ถ้าต้องไปงานเลี้ยงโนมิไก สังสรรค์หลังเลิกงานนั้นถ้าไปกับคนหนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกันก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันมากนักก็เพื่อนๆ กัน แต่ถ้าไปกับหัวหน้าหรือรุ่นพี่ที่อายุมากสักหน่อยนี่มีเรื่องให้ระวังหลายเรื่องครับ ที่จริงเรื่องมารยาทหรือธรรมเนียมปฏิบัติในวงเหล้าก็เคยเล่าไปบ้างจากบทความก่อนหน้า แต่วันนี้จะคุยประเด็นเรื่องที่เขามักจะพูดกันในวงเหล้าครับ และถ้ามีประเด็นที่ไม่ควรพูดควรจะเลี่ยงอย่างไรจึงจะดี

ในวงเหล้าที่มีแต่ผู้ชาย อาจจะมีรุ่นพี่และหัวหน้าไปด้วย สิ่งที่คนเมาจะคุยกันก็มีไม่กี่เรื่องหรอกครับ เช่นเรื่องเม้าท์มอย ( คือการพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยไม่มีสาระ อาจจะพูดบ่นนู้นนี่นั่น พูดนินทาคนอื่นคนที่ทำงาน ) , และคุยเรื่องไร้สาระใต้สะดือ , เรื่องสุขภาพ เพราะเขาทำเราก็ต้องทำเป็นเหมือนวัฒนธรรมการทำงานอย่างหนึ่งของสังคมญี่ปุ่น เรียกว่า 同調圧力 มีแรงกดดันจากเพื่อนมากมาย คือต้องทำในรูปแบบแนวทางเดียวกัน แบบเพื่อนทำก็ต้องทำด้วย ในวงเหล้าเขานินทากันก็ต้องทำด้วย ถ้าไม่ทำก็จะโดนกดดัน ลักษณะเช่นนี้ถ้าเป็นเรื่องดีก็ดีไปเพราะต่างก็พากันทำดี ร่วมมือร่วมใจ แต่ถ้าเรื่องไม่ดีก็แย่เลย

* คุยเรื่อยเปื่อย เรื่องเม้าท์มอย เรื่องนินทากาเล

เป็นปกติของคนที่ทำงานหนักมาทั้งวันพอเหล้าเข้าปากก็พูดพร่ำไม่หยุด ต่างคนต่างคุยนู้นนี่นั่นมากมายเพ้อเจ้อกันไป ได้ปลดปล่อยก็เวลานี้นี่เอง แต่ถ้ามีหัวหน้างานไปด้วยประเด็นหนึ่งที่เขาจะถามพวกลูกน้องคือ คิดว่าสาวคนนั้นคนนี้เป็นยังไง คิดว่าหัวหน้าใหญ่เป็นคนยังไง แล้วถ้าหัวหน้าถามว่าหัวหน้าใหญ่เป็นอย่างไร ทางออกที่ดีที่สุดเราจะตอบอย่างไรดี เป็นเพื่อนๆ จะตอบอย่างไรครับ

1 ถามแบบนี้ คุณน่ะเก่งมากกว่าหรือไง( ಠωಠ)σ

2 โหดมาก ตายไปซะก็ดี( ゚д゚)、ペッ

3 หัวหน้าใหญ่เป็นคนดีมาก อย่าพูดนินทาเขาน่ะ(●˃̶͈̀ロ˂̶͈́)੭ꠥ⁾⁾

4 ก็ไม่ใช่เป็นคนแย่น่ะ แต่ก็นะ...(  ̄__> ̄)

ข้อที่ถูกควรพูดคือ ข้อที่ 4 และหลังจากที่คำตอบออกไป ก็จะเม้าวท์มอยเรื่องคนที่พูดถึงไปเป็นสิบๆ นาที เพราะว่าการตอบคำถามประมาณข้อที่ 4 “ ก็ไม่ใช่เป็นคนแย่น่ะ แต่ก็นะ...” จะไม่แสดงออกให้เห็นว่าเราคิดเห็นอย่างไรมากเกินไป เพราะว่าถ้ามีคนเอาไปพูดต่อว่าเรานินทาหัวหน้าอย่างนั้นอย่างนี้เราเองอาจจะซวยได้ในภายหน้า แต่ก็เป็นการเปิดประเด็นให้คนที่อยากนินทาได้เริ่มเรื่องที่เขาอยากเม้าวท์มอยกันต่อไป เราก็จะคอบเก็บข้อมูลได้ในวงเหล้าด้วย

* คุยเรื่องไร้สาระใต้สะดือ เรื่องลามก

ส่วนหัวข้อพูดในวงเหล้าข้ออื่นๆ ก็เช่นเรื่องลามก ผู้ชายปกติก็ทะลึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ในวงเหล้าที่มีผู้ชายล้วน 5-6 คนนี่ยิ่งคุยกันสนุกสนาน แต่เท่าที่ผมเคยไปกับบริษัทที่ผมเคยทำงานนั้นก็ไม่เชิงคุยทะลึ่งอะไรมากมาย แต่เคยฟังมาจากวงเหล้าอื่น เช่นวงเหล้าของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับก่อสร้าง ที่ทำงานต่างจังหวัดไกลๆ ชนบท ต้องทำงานหนักตลอด ไม่ค่อยมีแหล่งผ่อนคลายมากนัก เดือนหนึ่งจึงไปร้านเที่ยวผู้หญิงสักครั้งเพื่อผ่อนคลาย แล้วแถวนั้นก็มีแค่ร้านเดียว ใครไปเที่ยวก็เที่ยวอยู่ร้านนั้นร้านเดียว แล้วเล่าต่อว่า ถ้าหัวหน้าเป็นโรคติดต่อทางเพศจนทำให้สาวบริการติดโรค และเมื่อลูกน้องคนใดไปเที่ยวสาวบริการแล้วติดโรคจากหัวหน้าไปด้วย จะทำให้หัวหน้าชอบมาก เป็นใหญ่เป็นโตได้ต่อไป แต่ผมฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่ไหวน่ะแบบนี้ (*ノωノ)!! แต่เรื่องในวงเหล้าก็คงต้องคุยในวงเหล้า จะคุยที่อื่นก็ไม่ได้มันสาธารณะเกินไป ใช่ไหมครับ

* คุยเรื่องสุขภาพ

นอกจากเรื่องเรื่อยเปื่อยนินทาคน เรื่องที่ไม่หนักจนเกินไปเช่นเรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องที่ถูกยกมาคุยครับ การพูดเรื่องสุขภาพเป็นประเด็นที่ปลอดภัยกับตัวเองที่สุด เพราะใครๆ ก็แก่ลงทุกวันเอาอาการที่เกิดมาคุยกันก็สนุกไปอีกแบบ

แต่ถ้ากลัวว่าจะเป็นประเด็นเขาก็จะพูดเลี่ยงๆ ไม่โอ้อวดว่าตัวเองแมน สุขภาพเยี่ยม ตึงฟิตอะไรทำนองนี้ กลับกันเพราะมักจะถ่อมตัวว่าสุขภาพไม่ค่อยดีซะมากกว่า เช่นคุยเรื่องความดันโลหิต 血圧 (ความดันที่เกิดจากเลือดหมุนเวียน ความดันในหลอดเลือดเมื่อหัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดเข้าสู่หลอดเลือด ความดันโลหิตปกติ ประมาณ 90 - 110 / 70 - 80 มม. ปรอท ความดันโลหิตในผู้มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง คือ 120 - 139 / 90 มม.ขึ้นไป ถ้ามากกว่านี้ก็น่าอันตรายแล้วครับ) แต่เราจะบอกว่าความดันเราดีมาก ปกติมากก็ไม่ได้อีก ต้องบอกช่วงนี้ความดันสูง หมอสั่งให้ดูแลสุขภาพ นั่นมีแบบนี้ด้วยนะคนในวงเหล้าญี่ปุ่น

เรื่องสุขภาพอีกเรื่องที่ฮิตพูดกันมากคือ พูดเรื่องห้านิ้ว ハメマラ Hamemara เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของร่างกาย ความชราภาพโดยเฉพาะของผู้ชาย Hamemara เรียกย่อถึงอวัยวะที่ปรากฏเป็นอาการในผู้ชายที่แก่ชรา คือ

* Ha (ハ、歯) ฟัน โรคเกี่ยวกับฟัน เหงือกอักเสบ ต่างๆ อาการที่เกิดเช่น ปวดเหงือก ปวดฟัน กัดเคี้ยวของแข็งไม่ได้

* Me (メ、目) ตา อาการที่เกิดเช่น สูญเสียการมองเห็น สายตาสั้น สายตายาว อ่านใกล้ๆ ไม่ชัด ตาพล่ามัว เบลอ เป็นต้น

* Mara (マラ、魔羅) มะระ (เป็นศัพท์เก่าและความหมายแรงเป็นคำที่ห้ามพูด ห้ามออกสื่อ ถ้าพูดก็ต้องมีเซนเซอร์ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าพูดคำนี้กับคนญี่ปุ่นนะครับเพื่อนๆ ) หมายถึงอวัยวะสืบพันธุ์ชาย มีเรื่องโจ๊กว่าระดับของอวัยวะสืบพันธ์ชายมี 5 ระดับตามนิ้วมือทั้ง 5 นิ้ว ตามช่วงอายุ คือ

นิ้วโป้ง = หนุ่มๆ ช่วงอายุ 10 ปี ยังเด็กน้อยนัก

นิ้วชี้ = หนุ่มๆ ช่วงอายุ 20 ปี เริ่มโต

นิ้วกลาง = หนุ่มๆ ช่วงอายุ 30 ปี พุ่งสุด พีคมาก

นิ้วนาง= หนุ่มๆ ช่วงอายุ 40 ปี เริ่มแผ่ว

นิ้วก้อย = หนุ่มๆ ช่วงอายุ 50 ปี กำลังตก หย่อน

ถ้าตา (*_* ;) และ マラ Mara (・ω・`) เสื่อมลง คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกเป็นเรื่องธรรมชาติ ช่วยไม่ได้ แต่สำหรับฟันถ้าเสื่อมหรือผุจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก อยากจะให้คงอยู่ในสภาพที่ดีนานๆ นะครับ

เพราะเรื่องฟันเป็นอีกเรื่องที่คนญี่ปุ่นกังวล โดยเฉพาะเรื่องจะถอนฟันกรามซี่ในสุดดีไหม เมื่อพูดถึงฟันกรามซี่ในสุดของคนเรานั้นที่ญี่ปุ่นเรียกว่า 親知らず Oyashirazu หรือ ฝรั่งเรียกฟันชุดนี้ว่า wisdom teeth (ถ้าฟันขึ้นก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้วมีความฉลาดเต็มขั้น) ฟันกรามซี่ที่ 3 ในแต่ละข้างของขากรรไกรบนและล่าง คือฟันที่งอกขึ้นมาชุดสุดท้าย เป็นฟันที่ขึ้นมาหลังสุดในบรรดาฟันแท้ 32ซี่ คนสมัยก่อนนั้นกว่าฟันซี่ที่ 32 จะขึ้นก็อายุ 32 ปี ตอนนั้นพ่อแม่ก็จะแก่เฒ่าชราภาพและจากไปกันหมดจึงชื่อว่า 親知らず Oyashirazu แต่สมัยนี้คนสุขภาพดีขึ้น อายุยืนขึ้น อายุเยอะแล้วพ่อแม่ก็ยังอยู่ไม่จากไปไหนเหมือนสมัยก่อน ทุกคนคงจะเคยผ่านการถอนฟันมาแล้วใช่ไหมครับ ที่คนญี่ปุ่นมักจะกังวลว่าจะถอนฟันกรามซี่ในดีไหม เพราะบางคนแก่แล้วฟันกรามซี่ในก็ยังไม่ขึ้น ขึ้นมาแล้วก็เกิดปัญหาช่องปาก

ตอนเด็กๆ เมื่อฟันน้ำนมหลุด เด็กๆ แถวบ้านผมจะดีใจและอยากให้ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่เร็วๆ เด็กๆ จะเอาฟันน้ำนมที่หักนั้นไปอธิษฐานที่แม่น้ำครับ โดยถ้าฟันบนหักจะเอาฟันน้ำนมซี่นั้นไปโยนลงน้ำ ถ้าฟันล่างหักจะโยนขึ้นฟ้าก่อนแล้วให้ฟันตกลงในน้ำเอง แต่เมื่อฟันแท้ขึ้นมาจริงๆ แล้วนี่ก็ถือว่าเริ่มเติบโตล่ะ เมื่อเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ฟันกรามซี่สุดท้ายจะงอกแต่ก็จะไม่พร้อมกันในแต่ละคน ฟันจะขึ้นมาเมื่ออายุเท่าไหร่บอกไม่ได้ครับ แต่ฟันกรามซี่ในสุดนี่มักจะขึ้นมาได้ไม่เต็มที่นักเพราะไม่มีพื้นที่เพียงพอหรืออะไรก็แล้วแต่ สมัยก่อนคนที่มีใบหน้าใหญ่ๆ กรามคางกว้างๆ จะเป็นที่นิยมมาก แต่วิวัฒนาการของมนุษย์ที่ไม่ต้องใช้ฟันกรามขบเคี้ยวของแข็งอะไรมากมายเหมือนสมัยก่อน รวมทั้งอาหารการกินก็อ่อนนุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสวย ผัก ขนมปัง แฮมเบอร์เกอร์ต่างๆ เป็นต้น ก็ล้วนแต่เป็นอาหารที่เคี้ยวง่ายๆ ทำให้ใบหน้าและกรามคางของคนก็ค่อยๆ เล็กลงๆ จนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ฟันกรามซี่สุดท้ายขึ้นมาได้ และบางคนก็มีปัญหาฟันคุด ฟันผุต่างๆ และคนญี่ปุ่นจะกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือ จะถอนฟันกรามซี่ในสุดนี้ดีหรือไม่ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะถอนออกนะครับเพราะว่า ซี่ในสุดดูแลยาก แปรงฟันก็เข้าไม่ค่อยถึง เกิดผุขึ้นมาก็ปวดทรมานมาก สำหรับคนที่ไม่ถอนก็มีเหตุผลของเขา คือ บางคนมีความเชื่อว่าฟันเปรียบเสมือนพลังชีวิต ถ้าถอนออกหนึ่งซี่จะสูญเสียพลังชีวิตไป 3% เลยทำให้ไม่ยอมถอนฟันออก และถ้าถอนออกอาจจะทำให้ความสามารถการเคี้ยวอาหารลดลง

สรุปว่าในวงเหล้าต่างก็ชวนกันมากินดื่มเพื่อผ่อนคลาย จบแล้วก็มึน อ้วก หลับไป พอวันรุ่งขึ้นก็เครียดกับหน้าที่การงานต่อเป็นวงจรไปแบบนี้ ก็ให้เค้าล่ะ อาทิตย์หนึ่งอาจจะไปได้กินดื่มสักครั้งสองครั้ง หรือบางคนก็มากกว่านี้ อย่างไรก็ต้องรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ วันนี้สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น