คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
ปัจจุบันภาพคนไทยจำนวนไม่น้อยใส่หน้ากากอนามัยเดินออกนอกบ้าน เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกแปลกตา เพราะเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองฉันยังรู้สึกกระดากกับการใส่หน้ากากอนามัยนอกประเทศญี่ปุ่นอยู่เลย เกรงว่าขืนใส่ก็จะมีแต่โดนมองด้วยสายตาประหลาดเท่านั้นเอง แต่ในญี่ปุ่นนั้นการใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปกติธรรมดามากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และหลายครั้งก็ไม่ได้ใส่ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพเสียด้วยสิคะ
ได้ยินว่าคนญี่ปุ่นคุ้นเคยกับการใส่หน้ากากอนามัยมาแต่เด็ก ๆ แล้ว คงเพราะได้รับการปลูกฝังเรื่องการป้องกันหวัดว่าต้องล้างมือ กลั้วคอ สวมหน้ากาก จึงไม่มีความรู้สึกต่อต้านการสวมหน้ากาก โดยทั่วไปแล้วคนญี่ปุ่นใส่หน้ากากอนามัยด้วยเหตุผลหลักคือ เพื่อป้องกันละอองเกสร เพื่อป้องกันไม่ให้หวัดแพร่กระจายไปสู่คนอื่นโดยเฉพาะจากการไอ จาม น้ำมูกไหล และป้องกันไม่ให้ตัวเองไปรับเชื้อหวัดมาจากคนอื่น หรือบางทีอากาศหนาวมาก ๆ พอใส่หน้ากากเอาไว้มันก็ช่วยให้อุ่นดีเหมือนกัน
ฉันเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นบ่นให้ฟังว่า คนที่ไม่ได้เป็นหวัดแต่ใส่หน้ากากอนามัยเพราะกลัวติดหวัดจากคนอื่นนี่ไร้มารยาทมาก ทำเสมือนคนอื่นรอบตัวเป็นตัวเชื้อโรคอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนช่วงนั้นจะมีเพื่อนร่วมงานในห้องเธอคนหนึ่งที่ใส่หน้ากากเพื่อป้องกันหวัด ฉันฟังแล้วก็นิ่งเฉย เพราะเคยอยู่ในฐานะของคนที่เคยไม่ยอมใส่หน้ากากป้องกันตัวเพราะรู้สึกเสียมารยาทกับคนรอบข้าง และในฐานะคนที่เคยต้องเปลี่ยนใจมาใส่หน้ากากป้องกันเพราะติดเชื้อหวัดง่ายและหายยาก เลยเข้าใจความรู้สึกทั้งของคนทั้งสองฝ่าย เพียงแต่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเพราะเคยคิดว่าคนญี่ปุ่นเห็นเป็นเรื่องธรรมดากับการป้องกันหวัดแบบนี้ เธอจึงทำให้ฉันได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นที่ไม่พอใจกับเรื่องอย่างนี้ก็มี
ผู้ใหญ่คนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นมาระยะหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ตอนเธอเป็นหวัดอยู่ที่เมืองไทยก็เคยใส่หน้ากากอนามัยไว้เพราะกลัวคนอื่นจะติดหวัดจากตน แต่ช่วงนั้นเมืองไทยยังไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยออกนอกบ้านกัน เธอจึงต้องเจอสายตาแปลก ๆ หลายคู่ที่มองมา ทำให้รู้สึกอึดอัด สุดท้ายเธอจึงบ่นด้วยความเซ็งว่าอุตส่าห์ทำเพื่อไม่ให้คนอื่นเดือดร้อนติดหวัดไปด้วย แต่เจอมองแง่ลบแบบนั้นก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน เลยเลิกใส่ บางคนก็ไม่ทราบว่าหน้ากากอนามัยต้องทิ้งทุกวัน กลับใส่ชิ้นเดิมอยู่หลายวันทีเดียว
ถ้าเป็นที่อเมริกาแล้ว หากมีคนใส่หน้ากากอนามัยเดินอยู่ทั่วไปตามท้องถนนก็คงได้เกิดความอลหม่านกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งคล้ายกับเมืองไทยในช่วงนั้น เพราะคนจะมองว่าหากบุคคลนี้ไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ก็ต้องเป็นโรคติดต่อชนิดร้ายแรง ไม่ก็เป็นพวกเดียวกับไอ้โม่งแน่นอน
วันหนึ่งฉันไปทำงานอาสาสมัครตามปกติ เห็นคุณลุงชาวจีนฮ่องกงที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันสวมหน้ากากอนามัยเพราะเป็นหวัด ฉันก็แอบคิดว่าเดี๋ยวใครต่อใครเห็นเข้าจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ แล้วก็เป็นเรื่องดังคาด วันนั้นมีสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งมารับอาหารบริจาคตามจำนวนคนในครอบครัว เธอเห็นคุณลุงสวมหน้ากากแล้วก็มีท่าทีตกใจลนลาน สุดท้ายเธอก็อดรนทนไม่ได้โพล่งถามว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาจะหยาบคายกับคุณนะ แต่คุณเป็นโรคติดต่ออะไรร้ายแรงหรือเปล่า ฉันไม่อยากกลับบ้านไปแล้วเอาโรคร้ายไปแพร่ต่อ แม่ฉันแก่แล้วด้วย ฉันกลัว”
เธอทำท่าจะรีบเผ่นกลับบ้านเดี๋ยวนั้นทันที แต่คุณลุงก็ปลอบเธอว่าแค่เป็นหวัดเท่านั้นแหละ แต่เธอก็ไม่ยอมเชื่อโดยง่าย สุดท้ายพอสาวคนนั้นจากไปแล้ว คุณลุงก็ตัดสินใจถอดหน้ากากอนามัยออกเพราะกลัวเดี๋ยวจะมีคนไม่สบายใจแบบนี้อีก แต่พอคุณลุงเอาหน้ากากออก กลับกลายเป็นฉันไม่สบายใจแทน เพราะถ้าติดหวัดฉันจะเป็นไข้ทุกที แล้วต้องนอนซมไม่เป็นอันทำอะไรไปอีก 2-3 วันเต็ม
ถ้าถามว่าคนอเมริกันเขาทำอย่างไรเมื่อเป็นหวัด เท่าที่ฉันเห็นในที่ทำงานของตัวเอง และได้อ่านมาเพิ่มเติมก็คือ เขาจะหยุดงานกันไปเลย หรือไม่ก็ทำงานจากบ้านแทน เพราะทำงานในออฟฟิศมันติดต่อกันง่ายและเร็ว จะทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนกันไปหมด การหยุดงานเพราะเป็นหวัดจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้สึกไม่ดีกับคนลาหยุด กลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และเป็นที่สนับสนุนด้วย
ที่จริงถ้าเรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันได้ในทุกที่ก็คงจะดีนะคะ เพราะร่างกายอ่อนแอควรจะรีบพักผ่อนแต่เนิ่น ๆ จะหายเร็วกว่าและไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นด้วย แต่อย่างญี่ปุ่นนี่การลางานเป็นเสมือนเรื่องคอขาดบาดตาย เป็นเหมือนความชั่วร้ายอย่างไรบอกไม่ถูก แถมวันลาต่อปีก็นับว่าน้อยมาก ยืดหยุ่นยาก ป่วยอย่างไรก็ต้องไปทำงาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่รู้ว่าที่บริษัทจะรู้สึกอย่างไรกับคนเป็นหวัดงอมแงมที่มาทำงาน ระหว่าง “มีความรับผิดชอบหน้าที่การงานจนน่ายกย่อง” กับ “ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะอาจเอาโรคมาติดไปด้วย”
นอกจากเหตุผลทางด้านสุขภาพแล้ว บางทีคนญี่ปุ่นก็ใส่หน้ากากกันด้วยเหตุผลทางด้านจิตใจ กล่าวคือ รู้สึกปลอดภัยที่คนอื่นไม่เห็นหน้าตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าไม่ได้แต่งหน้า หรือรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาไม่ดีเลยไม่อยากให้ใครเห็น หรืออยากเลี่ยงการพูดคุยกับใครต่อใคร ฉันเคยจะออกจากบ้านไปทำธุระนิดหน่อยแต่วันนั้นหน้าโทรมมาก ถ้าเป็นที่เมืองไทยหรืออเมริกาฉันก็คงออกจากบ้านไปทั้งอย่างนั้น แต่ผู้หญิงที่ญี่ปุ่นแต่งหน้าออกจากบ้านกันเป็นส่วนใหญ่ ฉันเลยพลอยไม่สบายใจ แต่วันนั้นก็ขี้เกียจแต่งหน้าแต่งตาเพื่อไปธุระใกล้ ๆ บ้าน ก็เลยใส่หน้ากากปิดเอา ง่าย สะดวก สบายใจดี ไปไหนมาไหนอย่างมั่นใจ คิดดูแล้วมันก็ตลกดีเหมือนกันค่ะ...ใส่หน้ากากเพื่อความมั่นใจ (เนี่ยนะ)
หน้ากากอนามัยที่ญี่ปุ่นนี่ก็มีหลากแบบให้เลือกใช้กันอย่างไม่หวั่นไม่ไหวเหมือนกันนะคะ ไม่ว่าจะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขายทั่วไปหรือรูปทรงที่ปรับให้เข้ากับโครงหน้า ซึ่งต่างก็มีคุณสมบัติและคุณภาพที่หลากหลาย บางแบบใส่แล้วหายใจสะดวกกว่า บางชนิดก็ช่วยให้ไอร้อนจากลมหายใจไม่ไปทำให้แว่นตาที่สวมพลอยขมุกขมัวไปด้วย บางอย่างใส่สบาย ไม่เจ็บหู บางแบบมีกลิ่นหอมด้วย แรก ๆ ฉันเห็นคนใส่หน้ากากทรงที่ปรับเข้ากับโครงหน้าแล้วรู้สึกตลกมากเพราะมันดูเหมือนอุลตร้าแมนหรือไม่ก็ยอดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่อะไรสักอย่าง พอลองใส่ดูบ้างก็พบว่ามันใส่สบายดี แต่บางยี่ห้อก็ใส่แล้วสายรัดทำเอาเจ็บหูจนต้องถอดออกเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน
หรือมีกระทั่งหน้ากากอนามัยที่ใส่แล้วเครื่องสำอางค์ไม่หลุดง่าย คือทำให้รองพื้นหรือลิปสติกไม่ติดเลอะหน้ากากอนามัยที่ตัวเองสวมอยู่ ก็แอบคิดเหมือนกันค่ะว่าถ้าจะใส่หน้ากากอนามัยแล้วจะแต่งหน้าไปทำไม อย่างน้อยลิปสติกก็ไม่น่าจะต้องทาเพราะไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว แต่อาจเป็นไปได้ว่าเพราะคนญี่ปุ่นรู้สึกไม่มั่นใจถ้าไม่แต่งหน้า หรือถ้าไปทำงานอย่างไรก็ต้องแต่งหน้าเพื่อรักษามารยาทที่ดีก็เป็นได้ ทีนี้จะทาแค่ครึ่งหน้าเฉพาะส่วนที่ไม่โดนหน้ากากปิดก็คงไม่ใช่วิสัยคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยจะทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือผักชีโรยหน้ากันสักเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ยังมีหน้ากากอนามัยแบบใส่แล้วหน้าดูเรียวเล็ก เพราะครึ่งล่างของหน้ากากซึ่งเป็นบริเวณคางเขาตัดให้เว้าเข้า มีทั้งไซส์เล็ก ธรรมดา และใหญ่ ไซส์ใหญ่นี่ดูเหมือนจะสำหรับผู้ชายใช้เสียด้วย จะว่าไปแล้วหน้ากากอนามัยก็อาจเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ย้ำว่าคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องความดูดีจริง ๆ ว่าแต่มันจะมีคนที่ชื่นชมคนใส่หน้ากากอนามัยทำนองว่า “คุณใส่หน้ากากนี้แล้วหน้าเล็กลง ดูดีขึ้นนะ” ด้วยหรือ ถ้ามีก็ไม่แน่ใจว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีเหมือนกันนะคะเนี่ย
โดยสรุปแล้ว หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์และมีความหมายต่อชีวิตคนญี่ปุ่นในหลายด้านจนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันคนญี่ปุ่น และปัญหามลพิษทางอากาศในระดับน่าเป็นห่วงที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งก็น่าจะทำให้คนญี่ปุ่นยิ่งให้ความสำคัญกับการใส่หน้ากากอนามัยยิ่งขึ้นไปอีก
ในส่วนของบ้านเรา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง การสวมหน้ากากให้ถูกวิธีเพื่อป้องกันฝุ่นหรือเชื้อโรคน่าจะเป็นการช่วยชะลอปัญหาสุขภาพได้ไม่มากก็น้อย หากยังละเลยก็อยากให้หามาใส่กัน ป้องกันไว้ย่อมง่ายกว่าแก้ไขแน่นอนค่ะ
ก่อนลาจากกันไปในวันนี้ อยากแนะนำแอพลิเคชันเช็คมลพิษทางอากาศที่ดีมาก ๆ ตัวหนึ่งชื่อ AirVisual เป็นแอพฯ ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทั้งกับ Apple, Google Play และ Android นอกจากเช็คได้แบบ real time แล้วยังพยากรณ์ล่วงหน้าได้ 7 วัน จะมีแนะนำว่ามลพิษปริมาณนี้ควรทำตัวอย่างไร สามารถเช็คมลพิษได้ทั่วโลกแล้วแต่เราจะเลือกค้นหา อาจจะลองพิมพ์คำว่า Bangkok, Ayutthaya, Thonburi อะไรอย่างนี้ ลองใช้ดูนะคะ
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.