บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่เขาทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
นายโองาวาระส่องกล้องมองไปอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นแค่ส่วนหนึ่งของหน้าต่าง และมองไม่เห็นยุมิโกะ เมื่อวานตอนเกิดเหตุ ถึงจะมีใครสักคนผลักฮิเมดะตกลงไปจากหน้าผาจริง แต่ถึงคน ๆ นั้นจะอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่อาจมองเห็นมาได้จากหน้าต่างบ้านพักตากอากาศ
“จุดนี้เป็นชัยภูมิที่เหมาะเจาะจริง ๆ เหมาะเจาะเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วยิ่งได้กลิ่นฆาตกรชัดขึ้น เธอบอกว่าฮิเมดะมีท่าทีหวาดกลัวสมาคมลับอะไรสักอย่างใช่ไหม ถ้ามองว่ากรณีนี้เป็นการฆาตกรรมแล้วละก็ ฉันว่าแผนแนบเนียนขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกสมาคมลับแน่”
ขณะที่นายโองาวาระพึมพำอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตท่าทางเป็นคนท้องถิ่นโผล่ออกมาจากแนวหมู่ไม้ข้างทางพร้อมกับเสียงแกรกกราก เจ้าหนุ่มมองมาทางคนทั้งสองอย่างเขิน ๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้คล้ายกับมีธุระอะไรสักอย่าง พอนายโองาวาระเห็นเข้าก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงร้องทัก
“เธอคงเป็นคนแถวนี้ซีนะ”
“ใช่ครับ” เจ้าหนุ่มตอบห้วน ๆ
“ถ้างั้นก็คงรู้เรื่องเมื่อวานนี้”
“รู้ซิครับถึงได้เดินตามมาเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก”
นายโองาวาระหัวเราะชอบใจ
“เธอคิดว่าเราจะกระโดดลงไปอย่างนั้นรึ”
“อ้าว...อ๋อท่านคือเจ้าของบ้านพักตากอากาศโองาวาระนั่นเอง ออกมาตรวจสอบอะไรแถวนี้หรือครับ”
เจ้าหนุ่มพูดจาสุภาพขึ้นเมื่อรู้ว่าใครเป็นใคร
“ใช่น่ะซี ฉันคือนายโองาวาระคนนั้นนั่นแหละ ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรดี ๆ นะ คนที่ตกหน้าผาเมื่อวานนี้คือนาย ฮิเมดะคนสนิทของฉันเอง ถ้าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วยบอกฉันด้วย อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ผมเองก็บอกไม่ได้หรอกครับว่ารู้อะไรบ้าง เพียงแต่ว่าสงสัย”
“สงสัย สงสัยอะไรรึ”
“คือสงสัยว่าไม่ใช่ฆ่าตัวตาย แต่อาจถูกใครผลักตกลงไป”
“อะไรนะ เธอเห็นอะไรอย่างนั้นรึ ช่วยเล่ารายละเอียดหน่อยได้ไหม”
นายโองาวาระและทาเคฮิโกะหน้าเครียดไปทั้งสองคน
“หลังหมู่ไม้ตามแนวทางเดินมาตรงนี้มีโพรงที่คล้ายถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ถ้าเข้าไปหลบอยู่ในนั้นจะไม่มีใครเห็น เป็นที่สว่างแสงแดดส่องถึง เมื่อเย็นวานผมอยู่ตรงนั้นครับ”
“อ้อ ไปนั่งผึ่งแดดอย่างนั้นรึ ดูไม่สมกับวัยหนุ่มเลยนะเธอ แล้วนี่ก็ออกมาจากตรงนั้นรึ”
“ก็...เอ้อ ครับ”
เจ้าหนุ่มอึกอัก หน้าแดงเรื่อ
“เธอจะเข้าไปทำอะไรในโพรงถ้ำก็ช่างเธอ แต่ฉันอยากรู้ว่าเมื่อเย็นวานนี้เธอเห็นอะไร”
เจ้าหนุ่มฝืนใจตอบทั้ง ๆ ที่หน้ายังแดง
“คือ มันมีพงไม้บังอยู่เลยเห็นอะไรไม่ค่อยถนัดนัก แต่ผมเห็นผู้ชายสองคนเดินตามทางแคบ ๆ มาตรงนี้ คิดว่าคนหนึ่งคงใช่นายฮิเมดะแน่ ๆ “
พอได้ยินเช่นนั้น นายโองาวาระกับทาเคฮิโกะก็สบตากันด้วยความตื่นระทึกที่ได้มาพบกับพยานปากสำคัญโดยไม่ได้คาดหมาย
“ทำไมเธอถึงรู้ว่าเป็นฮิเมดะ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าเห็นไม่ค่อยถนัด”
“ผมไม่เห็นหน้า แต่เห็นลวดลายของเสื้อผ้าชัดเจนครับ เป็นลวดลายทันสมัยผมเลยจำได้แม่น เมื่อคืนตอนเขากู้ศพขึ้นมาที่ชายหาด ผมมองข้ามหัวไหล่คนที่มามุงกันอยู่ เห็นคนตายใส่เสื้อนอกลายเดียวกันกับคนที่ผมเห็น คิดว่าไม่มีใครใส่เสื้อลายเดียวกันสองคนแน่ครับ ผมเห็นคนใส่เสื้อลายนั้นโดดลงไปจากหน้าผา เอ๊ะ...ไม่ใช่ซิ ถูกผลักตกลงไปจากหน้าผาครับ”
“แล้วชายอีกคนหนึ่งล่ะ ลักษณะยังไง”
“ชายคนนั้นใส่หมวกสีเทาหลุบหน้า ใส่เสื้อโค้ตสีเทาที่รู้สึกว่ายาวมาก ๆ ผมไม่เห็นหน้าชัดแต่รู้สึกว่าจะใส่แว่นตาครับ”
“มีหนวดรึเปล่า”
ทาเคฮิโกะถามแทรกขึ้น เพราะนึกถึงคำบอกเล่าของสาวใช้ที่ร้านน้ำชาขึ้นมาได้
“อาจมีก็ได้ครับ แต่ผมเห็นไม่ค่อยชัด”
“แล้วผู้ชายในชุดสีเทาถือกระเป๋ามาด้วยหรือเปล่า กระเป๋าสี่เหลี่ยมใบใหญ่”
“ไม่นะครับ ไม่ได้ถืออะไรมาเลย ไม่ได้ถืออะไรมาแน่ ๆ ครับ”
“แน่นะ”
“แน่ครับ เพราะผมมองเห็นด้านหลังของคนสองคนที่เดินเคียงกันมาถนัดมาก แต่ละคนไม่ได้ถืออะไรติดมือมาเลย ไม่มีแม้แต่กระเป๋าใบเล็ก ๆ “
ชายคนนั้นอาจวางกระเป๋าไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อจะได้เดินตัวเบาไปยังที่เกิดเหตุ ชายคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่เข้าไปนั่งพักที่ร้านน้ำชาหรือไม่ก็ไม่รู้
“แล้วยังไงต่อไป เธอได้ยินเสียงสองคนนั่นทะเลาะกันรึ”
“ไม่ครับ ไม่ได้ยินอะไร ที่ที่ผมยืนอยู่ห่างจากที่นี่มาก เลยไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน”
“แล้วเธอทำยังไงต่อไป”
“ผมก็กลับบ้านซีครับ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนั้นขึ้นมา นี่ถ้าผมรู้ว่าชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาจะผลักอีกคนตกลงไปผมก็คงตามไปขัดขวาง นี่ก็ได้แต่มาเสียใจในภายหลัง”
“อ้อ วันนี้เธอก็เลยตามเราสองคนมา เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อวานละซี”
“ใช่ครับ”
“แล้วหลังจากนั้นเธอไม่เห็นหรือว่าผู้ชายใส่เสื้อโค้ตสีเทานั้นหายไปไหน”
“ไม่เห็นครับ เพราะผมกลับบ้านไปก่อน”
น่าเสียดาย...และหลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากเจ้าหนุ่มชาวท้องถิ่นคนนี้อีก
นายโองาวาระไม่ลืมที่จะถามข้อมูลส่วนตัวของพยานปากเอกผู้นี้ เจ้าหนุ่มชื่อคินุตะ อิซซากุ อายุ 24 ปีเป็นลูกเป็นลูกเกษตรกรในละแวกนี้ หลังเรียนจบมัธยมต้นได้เดินทางเข้าไปทำงานในร้านขายส่งของเล่นที่โตเกียว แต่ตอนนี้ตกงานจึงเดินทางกลับบ้านเกิดมาช่วยงานเกษตรของครอบครัว และเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากคำของเจ้าหนุ่มผู้นี้นายโองาวาระและทาเคฮิโกะก็ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ
เมื่อเสร็จจากการพูดคุย นายโองาวาระเดินไปตรงชะง่อนผาแล้วนอนพังพาบมองลงไปจากหน้าผาที่สูงลิ่วขึ้นมาจากพื้นน้ำทะเล และเนื่องจากหน้าผาสูงชันจนทำให้ตาลายได้ ทาเคฮิโกะจึงปราดเข้ามาจับขาทั้งสองข้างของนาย โองาวาระเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง แล้วก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากตนไม่จับขาทั้งสองตรึงเอาไว้ แต่กลับยกขาทั้งสองขึ้นแล้วละก็ ร่างของขุนนางสูงศักดิ์ผู้นี้จะต้องหัวทิ่มดิ่งลงไปจากหน้าผา เช่นเดียวกับฮิเมดะเมื่อคืนนี้แน่ ทาเคฮิโกถึงกับคิดแปลก ๆ ...หรือว่าเราจะยกขาทั้งสองของท่านขึ้นมาดี

นายโองาวาระยืดคอมองลงไปจากหน้าผา แล้วพูดอะไรที่เหมือนได้ยินมาจากไกลโพ้น
“สูงอย่างน่าทึ่งมาก เยี่ยมมากที่มองไม่เห็นอะไรข้างล่างเลย เธอลองชะโงกออกไปดูซิ ถ้าตกลงไปจากตรงนี้รับรองร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี จุดนี้เหมาะมากสำหรับทั้งฆ่าตัวตายและฆาตกรรม”
ผู้พูดลุกขึ้นยืนแล้วหลีกทางให้ทาเคฮิโกะลงนอนพังพาบยืดคอออกไปดูบ้างโดยคราวนี้เขาเป็นคนช่วยตรึงขาของอีกฝ่ายเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกเกรงใจที่ต้องให้จุนนางผู้สูงศักดิ์มาทำเช่นนั้นให้ตน แต่เจ้าตัวดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรขณะใช้ฝ่ามือใหญ่และอบอุ่นกดแก้มก้นเลขานุการหนุ่มของเขาเอาไว้มั่น
ด้านล่างของหน้าผาว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ล่างลงไปคือหน้าผาที่ชันดิ่งมองเห็นฟองคลื่นลิบ ๆ ที่ตีนผา จากบนหน้าผาลงไปประมาณหนึ่งในสามจองความสูงทั้งหมด มีโขดหินใหญ่ยื่นออกไป ใครก็ตามที่ตกลงไปจากหน้าผาจะต้องกระทบกับโขดหินนี้ก่อนที่จะดิ่งลงไปเบื้องล่าง บาดแผลสังหารที่ศีรษะของฮิเมดะต้องเกิดจากการกระทบกับโขดหินนี้แน่นอน จากจุดนั้นลงไปจะไม่เห็นผนังหินของหน้าผา มีแต่โขดหินใหญ่น้อยที่ถูกคลื่นซัดเป็นฟองกระจายไม่รู้หยุด ความสูงดิ่งลงไปเบื้องล่างทำเอาทาเคฮิโกะเกร็งฝ่าเท้าจนถึงกับเป็นตะคริว เขาได้ยินเสียงหัวเราะของนายโองาวาระดังอยู่ข้างหลัง
“เมื่อวานนี้คนสองคนคงทำเหมือนเราอย่างนี้ และอีกฝ่ายอาจผลักฮิเมดะลงไปจากตรงนี้ก็ได้นะ มันไม่ได้ยากอะไรเลย แค่ยกขาเขาขึ้นเท่านั้นเอง”
ทาเคฮิโกะขนลุกซู่เมื่อคิดได้ว่านายโองาวาระอาจยกขาเขาขึ้นเมื่อไรก็ได้ แล้วรีบผลีผลามลุกขึ้นยืนทันที ไม่นึกว่าขุนนางสูงศักดิ์จะคิดเหมือนกับที่เขาคิดเมื่อครู่ก่อน พอคิดว่าการฆ่าคนนั้นช่างง่ายดายจริง ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม และถอยร่นออกมาจากริมหน้าผาโดยเร็ว
จากนั้นทั้งสองช่วยกันค้นหาพยานวัตถุและรอยเท้าอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ระหว่างเดินกลับไปที่ถนนหลวง ทาเคฮิโกะมองซ้ายขวาอย่างระวังระไว ด้วยคิดว่าชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาอาจซ่อนกระเป๋าไว้ที่ใดที่หนึ่งตามทางนี้ ความที่ตั้งใจมากทำให้เขาเห็นหญ้าบางส่วนราบลงไปคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่แต่ก็เหลวทั้งเพ
เจ้าหนุ่มคินุตะเดินตามหลังคนทั้งสองมาติด ๆ และพอมาถึงถนนหลวงก็ชี้มือไปทางหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ในป่าไม้ไกลออกไปแล้วบอกว่า “จากตรงนี้มองเห็นบ้านผม” แล้วก็ลาจากไป
เย็นวันนั้น ทางตำรวจมอบศพฮิเมดะคืนให้ครอบครัวนำกลับไปโตเกียวและวันรุ่งขึ้นพ่อของฮิเมดะก็ลากลับไป บ้านพักตากอากาศโองาวาระจึงเงียบเหงาลง ทุกคนหมดสนุกกับการพำนักอยู่ที่นั่นจึงพากันเดินทางกลับคฤหาสน์ที่โตเกียวในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง นายฮิเมดะตกหน้าผาตายเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และคณะของนายโองาวาระเดินทางกลับโตเกียวในวันที่ 6 พฤศจิกายน
ก่อนเดินทางกลับนายโองาวาระไม่ลืมที่จะไปพบกับนายตำรวจหัวหน้าทีมสืบสวนของสถานีตำรวจอาตามิ เพื่อรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับสาวใช้ร้านน้ำชากับเจ้าหนุ่มคินุตะให้ทราบเอาไว้ ซึ่งทางตำรวจก็แสดงความยินดีที่ได้รับข้อมูลและขอบอกขอบใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสืบหาตัวชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาจากบรรดานักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาพักแรมในเมืองอาตามินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่เขาทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
นายโองาวาระส่องกล้องมองไปอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นแค่ส่วนหนึ่งของหน้าต่าง และมองไม่เห็นยุมิโกะ เมื่อวานตอนเกิดเหตุ ถึงจะมีใครสักคนผลักฮิเมดะตกลงไปจากหน้าผาจริง แต่ถึงคน ๆ นั้นจะอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่อาจมองเห็นมาได้จากหน้าต่างบ้านพักตากอากาศ
“จุดนี้เป็นชัยภูมิที่เหมาะเจาะจริง ๆ เหมาะเจาะเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วยิ่งได้กลิ่นฆาตกรชัดขึ้น เธอบอกว่าฮิเมดะมีท่าทีหวาดกลัวสมาคมลับอะไรสักอย่างใช่ไหม ถ้ามองว่ากรณีนี้เป็นการฆาตกรรมแล้วละก็ ฉันว่าแผนแนบเนียนขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกสมาคมลับแน่”
ขณะที่นายโองาวาระพึมพำอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตท่าทางเป็นคนท้องถิ่นโผล่ออกมาจากแนวหมู่ไม้ข้างทางพร้อมกับเสียงแกรกกราก เจ้าหนุ่มมองมาทางคนทั้งสองอย่างเขิน ๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้คล้ายกับมีธุระอะไรสักอย่าง พอนายโองาวาระเห็นเข้าก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงร้องทัก
“เธอคงเป็นคนแถวนี้ซีนะ”
“ใช่ครับ” เจ้าหนุ่มตอบห้วน ๆ
“ถ้างั้นก็คงรู้เรื่องเมื่อวานนี้”
“รู้ซิครับถึงได้เดินตามมาเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก”
นายโองาวาระหัวเราะชอบใจ
“เธอคิดว่าเราจะกระโดดลงไปอย่างนั้นรึ”
“อ้าว...อ๋อท่านคือเจ้าของบ้านพักตากอากาศโองาวาระนั่นเอง ออกมาตรวจสอบอะไรแถวนี้หรือครับ”
เจ้าหนุ่มพูดจาสุภาพขึ้นเมื่อรู้ว่าใครเป็นใคร
“ใช่น่ะซี ฉันคือนายโองาวาระคนนั้นนั่นแหละ ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรดี ๆ นะ คนที่ตกหน้าผาเมื่อวานนี้คือนาย ฮิเมดะคนสนิทของฉันเอง ถ้าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วยบอกฉันด้วย อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ผมเองก็บอกไม่ได้หรอกครับว่ารู้อะไรบ้าง เพียงแต่ว่าสงสัย”
“สงสัย สงสัยอะไรรึ”
“คือสงสัยว่าไม่ใช่ฆ่าตัวตาย แต่อาจถูกใครผลักตกลงไป”
“อะไรนะ เธอเห็นอะไรอย่างนั้นรึ ช่วยเล่ารายละเอียดหน่อยได้ไหม”
นายโองาวาระและทาเคฮิโกะหน้าเครียดไปทั้งสองคน
“หลังหมู่ไม้ตามแนวทางเดินมาตรงนี้มีโพรงที่คล้ายถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ถ้าเข้าไปหลบอยู่ในนั้นจะไม่มีใครเห็น เป็นที่สว่างแสงแดดส่องถึง เมื่อเย็นวานผมอยู่ตรงนั้นครับ”
“อ้อ ไปนั่งผึ่งแดดอย่างนั้นรึ ดูไม่สมกับวัยหนุ่มเลยนะเธอ แล้วนี่ก็ออกมาจากตรงนั้นรึ”
“ก็...เอ้อ ครับ”
เจ้าหนุ่มอึกอัก หน้าแดงเรื่อ
“เธอจะเข้าไปทำอะไรในโพรงถ้ำก็ช่างเธอ แต่ฉันอยากรู้ว่าเมื่อเย็นวานนี้เธอเห็นอะไร”
เจ้าหนุ่มฝืนใจตอบทั้ง ๆ ที่หน้ายังแดง
“คือ มันมีพงไม้บังอยู่เลยเห็นอะไรไม่ค่อยถนัดนัก แต่ผมเห็นผู้ชายสองคนเดินตามทางแคบ ๆ มาตรงนี้ คิดว่าคนหนึ่งคงใช่นายฮิเมดะแน่ ๆ “
พอได้ยินเช่นนั้น นายโองาวาระกับทาเคฮิโกะก็สบตากันด้วยความตื่นระทึกที่ได้มาพบกับพยานปากสำคัญโดยไม่ได้คาดหมาย
“ทำไมเธอถึงรู้ว่าเป็นฮิเมดะ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าเห็นไม่ค่อยถนัด”
“ผมไม่เห็นหน้า แต่เห็นลวดลายของเสื้อผ้าชัดเจนครับ เป็นลวดลายทันสมัยผมเลยจำได้แม่น เมื่อคืนตอนเขากู้ศพขึ้นมาที่ชายหาด ผมมองข้ามหัวไหล่คนที่มามุงกันอยู่ เห็นคนตายใส่เสื้อนอกลายเดียวกันกับคนที่ผมเห็น คิดว่าไม่มีใครใส่เสื้อลายเดียวกันสองคนแน่ครับ ผมเห็นคนใส่เสื้อลายนั้นโดดลงไปจากหน้าผา เอ๊ะ...ไม่ใช่ซิ ถูกผลักตกลงไปจากหน้าผาครับ”
“แล้วชายอีกคนหนึ่งล่ะ ลักษณะยังไง”
“ชายคนนั้นใส่หมวกสีเทาหลุบหน้า ใส่เสื้อโค้ตสีเทาที่รู้สึกว่ายาวมาก ๆ ผมไม่เห็นหน้าชัดแต่รู้สึกว่าจะใส่แว่นตาครับ”
“มีหนวดรึเปล่า”
ทาเคฮิโกะถามแทรกขึ้น เพราะนึกถึงคำบอกเล่าของสาวใช้ที่ร้านน้ำชาขึ้นมาได้
“อาจมีก็ได้ครับ แต่ผมเห็นไม่ค่อยชัด”
“แล้วผู้ชายในชุดสีเทาถือกระเป๋ามาด้วยหรือเปล่า กระเป๋าสี่เหลี่ยมใบใหญ่”
“ไม่นะครับ ไม่ได้ถืออะไรมาเลย ไม่ได้ถืออะไรมาแน่ ๆ ครับ”
“แน่นะ”
“แน่ครับ เพราะผมมองเห็นด้านหลังของคนสองคนที่เดินเคียงกันมาถนัดมาก แต่ละคนไม่ได้ถืออะไรติดมือมาเลย ไม่มีแม้แต่กระเป๋าใบเล็ก ๆ “
ชายคนนั้นอาจวางกระเป๋าไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อจะได้เดินตัวเบาไปยังที่เกิดเหตุ ชายคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่เข้าไปนั่งพักที่ร้านน้ำชาหรือไม่ก็ไม่รู้
“แล้วยังไงต่อไป เธอได้ยินเสียงสองคนนั่นทะเลาะกันรึ”
“ไม่ครับ ไม่ได้ยินอะไร ที่ที่ผมยืนอยู่ห่างจากที่นี่มาก เลยไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน”
“แล้วเธอทำยังไงต่อไป”
“ผมก็กลับบ้านซีครับ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนั้นขึ้นมา นี่ถ้าผมรู้ว่าชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาจะผลักอีกคนตกลงไปผมก็คงตามไปขัดขวาง นี่ก็ได้แต่มาเสียใจในภายหลัง”
“อ้อ วันนี้เธอก็เลยตามเราสองคนมา เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อวานละซี”
“ใช่ครับ”
“แล้วหลังจากนั้นเธอไม่เห็นหรือว่าผู้ชายใส่เสื้อโค้ตสีเทานั้นหายไปไหน”
“ไม่เห็นครับ เพราะผมกลับบ้านไปก่อน”
น่าเสียดาย...และหลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากเจ้าหนุ่มชาวท้องถิ่นคนนี้อีก
นายโองาวาระไม่ลืมที่จะถามข้อมูลส่วนตัวของพยานปากเอกผู้นี้ เจ้าหนุ่มชื่อคินุตะ อิซซากุ อายุ 24 ปีเป็นลูกเป็นลูกเกษตรกรในละแวกนี้ หลังเรียนจบมัธยมต้นได้เดินทางเข้าไปทำงานในร้านขายส่งของเล่นที่โตเกียว แต่ตอนนี้ตกงานจึงเดินทางกลับบ้านเกิดมาช่วยงานเกษตรของครอบครัว และเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากคำของเจ้าหนุ่มผู้นี้นายโองาวาระและทาเคฮิโกะก็ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ
เมื่อเสร็จจากการพูดคุย นายโองาวาระเดินไปตรงชะง่อนผาแล้วนอนพังพาบมองลงไปจากหน้าผาที่สูงลิ่วขึ้นมาจากพื้นน้ำทะเล และเนื่องจากหน้าผาสูงชันจนทำให้ตาลายได้ ทาเคฮิโกะจึงปราดเข้ามาจับขาทั้งสองข้างของนาย โองาวาระเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง แล้วก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากตนไม่จับขาทั้งสองตรึงเอาไว้ แต่กลับยกขาทั้งสองขึ้นแล้วละก็ ร่างของขุนนางสูงศักดิ์ผู้นี้จะต้องหัวทิ่มดิ่งลงไปจากหน้าผา เช่นเดียวกับฮิเมดะเมื่อคืนนี้แน่ ทาเคฮิโกถึงกับคิดแปลก ๆ ...หรือว่าเราจะยกขาทั้งสองของท่านขึ้นมาดี
นายโองาวาระยืดคอมองลงไปจากหน้าผา แล้วพูดอะไรที่เหมือนได้ยินมาจากไกลโพ้น
“สูงอย่างน่าทึ่งมาก เยี่ยมมากที่มองไม่เห็นอะไรข้างล่างเลย เธอลองชะโงกออกไปดูซิ ถ้าตกลงไปจากตรงนี้รับรองร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี จุดนี้เหมาะมากสำหรับทั้งฆ่าตัวตายและฆาตกรรม”
ผู้พูดลุกขึ้นยืนแล้วหลีกทางให้ทาเคฮิโกะลงนอนพังพาบยืดคอออกไปดูบ้างโดยคราวนี้เขาเป็นคนช่วยตรึงขาของอีกฝ่ายเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกเกรงใจที่ต้องให้จุนนางผู้สูงศักดิ์มาทำเช่นนั้นให้ตน แต่เจ้าตัวดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรขณะใช้ฝ่ามือใหญ่และอบอุ่นกดแก้มก้นเลขานุการหนุ่มของเขาเอาไว้มั่น
ด้านล่างของหน้าผาว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ล่างลงไปคือหน้าผาที่ชันดิ่งมองเห็นฟองคลื่นลิบ ๆ ที่ตีนผา จากบนหน้าผาลงไปประมาณหนึ่งในสามจองความสูงทั้งหมด มีโขดหินใหญ่ยื่นออกไป ใครก็ตามที่ตกลงไปจากหน้าผาจะต้องกระทบกับโขดหินนี้ก่อนที่จะดิ่งลงไปเบื้องล่าง บาดแผลสังหารที่ศีรษะของฮิเมดะต้องเกิดจากการกระทบกับโขดหินนี้แน่นอน จากจุดนั้นลงไปจะไม่เห็นผนังหินของหน้าผา มีแต่โขดหินใหญ่น้อยที่ถูกคลื่นซัดเป็นฟองกระจายไม่รู้หยุด ความสูงดิ่งลงไปเบื้องล่างทำเอาทาเคฮิโกะเกร็งฝ่าเท้าจนถึงกับเป็นตะคริว เขาได้ยินเสียงหัวเราะของนายโองาวาระดังอยู่ข้างหลัง
“เมื่อวานนี้คนสองคนคงทำเหมือนเราอย่างนี้ และอีกฝ่ายอาจผลักฮิเมดะลงไปจากตรงนี้ก็ได้นะ มันไม่ได้ยากอะไรเลย แค่ยกขาเขาขึ้นเท่านั้นเอง”
ทาเคฮิโกะขนลุกซู่เมื่อคิดได้ว่านายโองาวาระอาจยกขาเขาขึ้นเมื่อไรก็ได้ แล้วรีบผลีผลามลุกขึ้นยืนทันที ไม่นึกว่าขุนนางสูงศักดิ์จะคิดเหมือนกับที่เขาคิดเมื่อครู่ก่อน พอคิดว่าการฆ่าคนนั้นช่างง่ายดายจริง ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม และถอยร่นออกมาจากริมหน้าผาโดยเร็ว
จากนั้นทั้งสองช่วยกันค้นหาพยานวัตถุและรอยเท้าอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ระหว่างเดินกลับไปที่ถนนหลวง ทาเคฮิโกะมองซ้ายขวาอย่างระวังระไว ด้วยคิดว่าชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาอาจซ่อนกระเป๋าไว้ที่ใดที่หนึ่งตามทางนี้ ความที่ตั้งใจมากทำให้เขาเห็นหญ้าบางส่วนราบลงไปคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่แต่ก็เหลวทั้งเพ
เจ้าหนุ่มคินุตะเดินตามหลังคนทั้งสองมาติด ๆ และพอมาถึงถนนหลวงก็ชี้มือไปทางหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ในป่าไม้ไกลออกไปแล้วบอกว่า “จากตรงนี้มองเห็นบ้านผม” แล้วก็ลาจากไป
เย็นวันนั้น ทางตำรวจมอบศพฮิเมดะคืนให้ครอบครัวนำกลับไปโตเกียวและวันรุ่งขึ้นพ่อของฮิเมดะก็ลากลับไป บ้านพักตากอากาศโองาวาระจึงเงียบเหงาลง ทุกคนหมดสนุกกับการพำนักอยู่ที่นั่นจึงพากันเดินทางกลับคฤหาสน์ที่โตเกียวในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง นายฮิเมดะตกหน้าผาตายเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และคณะของนายโองาวาระเดินทางกลับโตเกียวในวันที่ 6 พฤศจิกายน
ก่อนเดินทางกลับนายโองาวาระไม่ลืมที่จะไปพบกับนายตำรวจหัวหน้าทีมสืบสวนของสถานีตำรวจอาตามิ เพื่อรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับสาวใช้ร้านน้ำชากับเจ้าหนุ่มคินุตะให้ทราบเอาไว้ ซึ่งทางตำรวจก็แสดงความยินดีที่ได้รับข้อมูลและขอบอกขอบใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสืบหาตัวชายใส่เสื้อโค้ตสีเทาจากบรรดานักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาพักแรมในเมืองอาตามินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ