xs
xsm
sm
md
lg

รหัสรักจากอเวจี ตอนที่ 2 สมาคมลับ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่เขาทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี

ตอนที่ 2สมาคมลับ

คดีฆาตกรรมปริศนาคดีแรกเกิดขึ้นหลังจากที่โชจิ ทาเคฮิโกะเข้าไปเป็นคนในบ้านของนายโองาวาระได้เดือนกว่า ๆ

ระหว่างหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทาเคฮิโกะวางตัวเหมาะสมกับทุกคนในบ้านของนายโองาวาระ กับแขกผู้มาเยือนคฤหาสน์โองาวาระเป็นประจำ และเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศทั่วไปภายในคฤหาสน์

สมาชิกในบ้านมี นายโองาวาระ โยชิอากิอดีตขุนนางชั้นสูง เจ้าของบ้าน กับ คุณนายผู้อ่อนเยาว์กว่าซึ่งเป็นภรรยาคนที่สอง ภรรยาคนแรกของนายโองาวาระเสียชีวิตด้วยโรคร้ายหลังแท้งบุตร เขาแต่งงานใหม่เมื่อสามปีที่แล้วแต่ยังไม่มีทายาทสืบตระกูลและไม่มีญาติพี่น้องคนไหนที่เขาต้องเลี้ยงดูจุนเจือ พ่อเฒ่าคุโรอิวะ เก็นโซ ผู้ดูแลทั่วไปของคฤหาสน์มีบ้านส่วนตัวของตนเองจึงทำงานเช้าไปเย็นกลับ และแม่นมผู้เฒ่ากับผัวของนางที่ติดตามมาดูแลคุณนายสาว สองผัวเมียนี้เท่านั้นที่เกือบถือได้ว่าเป็นคนในตระกูลโองาวาระเพราะอยู่ในฐานะที่จะไม่มีการเลิกจ้างไปตลอดชีวิต นอกจากนั้นก็มีคนรับใช้ 2 คน เด็กชายที่เป็นคนรับแขกหน้าเรือน ผัวเมียคนขับรถ แม่ครัว และหญิงรับใช้หลายคน พ่อเฒ่าคนทำสวน ทั้งหมดนอกจากพ่อเฒ่าคุโรอิวะคือผู้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์โองาวาระ

คุณนายสาวชื่อยูมิโกะเป็นลูกสาวอดีตขุนนางผู้ครองแคว้นผู้มีชื่อเสียงที่ตระกูลต้องล่มสลายลงเพราะสงคราม ท่านพ่อท่านแม่ของเธอเสียชีวิตทันทีหลังจากนั้นด้วยความตรอมใจประกอบกับโรคร้าย นายโองาวาระขอแต่งงานกับเธอที่ถูกทิ้งให้เป็นกำพร้าอยู่เพียงลำพังกับพี่ชาย และได้ช่วยกอบกู้ฐานะของวงศ์ตระกูลกลับคืนมาจนตอนนี้พี่ชายของคุณนายยูมิโกะได้กลับไปชีวิตที่มั่งคั่งตามเดิมและได้แต่งงานเป็นหลักเป็นฐาน

ยูมิโกะอายุ 27 อ่อนกว่านายโองาวาระถึงครึ่งหนึ่ง ตอนที่ทาเคฮิโกะพบกับคุณนายสาวผู้นี้เป็นครั้งแรกความงามของเธอทำให้เขาถึงกับหน้าแดงเรื่อไปเลยทีเดียว ยูมิโกะไม่ได้มีท่าทางกร้าวแกร่งแบบสตรีหลังสงคราม และก็ไม่ใช่คุณหนูที่เงียบหงิมไร้เดียงสา เธอเป็นคนร่าเริงแจ่มใส สมาคมเก่ง หน้าตาสะสวยด้วยผิวพรรณละเอียดอ่อนนิ่มนวล คิ้วดกดำ และมีอะไรที่ดูงามสง่าเหมือนเด็กชายหน้าตาดีคนหนึ่ง คุณนายสาวเคารพรักนายโองาวาระเหมือนเป็นบิดา ขณะเดียวกันนายโองาวาระก็ปกป้องคุ้มครองภริยาคนสวยของเขาอย่างสุดพลังความสามารถ ไม่มีเสน่ห์อะไรจะผูกมัดใจเขาได้มากไปกว่าจริตกิริยาที่ออดอ้อนเอาแต่ใจอย่างน่ารักน่าเอ็นดูของเธออีกเล้ว

ยูมิโกะติดโรคคลั่ง “เลนส์” มาจากสามี รสนิยมของเธอแปลกกว่าใคร ๆ คือรักการส่องกล้องดูดาวที่ติดตั้งไว้บนชั้นสองของตึกฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งยังติดกล้องส่องทางไกลที่ขยายใหญ่ได้หลายสิบเท่าบนสามขาตั้งไว้ตรงชานระเบียงห้องญี่ปุ่นสำหรับส่องดูดอกไม้ มด และแมลงต่าง ๆ ในสวน นั่นคือความสนุกเพลิดเพลินที่ยูมิโกะหาให้ตนเองโดยไม่มีใครสอน

“คุณดูที่รูในบ่อทรายนั่นซิคะ น่าสงสารจังเลยมดมันพลัดตกลงไปและพยายามตะกายขึ้นมาแต่ก็ขึ้นไม่ได้ อยู่ ๆ ตัวอะไรไม่รู้เหมือนสัตว์ประหลาดคลานออกมาเอาก้ามใหญ่เหมือนตะไกรคีบมดลากลงไปในรู”

ยูมิโกะสนิทกับทาเคฮิโกะพอที่จะใช้คำพูดเช่นนั้นกับเขา ชายหนุ่มแนบตาลงไปที่เลนซ์ซึ่งยังอุ่นอยู่จากผิวสัมผัสของผู้ชวนดู

เลนส์ของกล้องส่องทางไกลขยายให้เห็นมดตัวใหญ่ มดที่เคนเห็นตัวดำปี๋ด้วยตาเปล่า เมื่อมาส่องกล้องดูอย่างนี้จึงเห็นว่าคอ ตามปล้องลำตัว และตรงข้อพับที่ขาเป็นสีดำออกแดง ที่ก้นป่อง ๆ มีลายเหมือนยีร๊าฟ ตรงปลายขามีขนเส้นใหญ่ ๆ เหมือนหนาม ก้ามใหญ่มหึมาของสัตว์ประหลาดที่ยื่นออกมาจากรูบนพื้นทราย ทำให้จินตนาการไปถึงสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์

พอทาเคฮิโกะเงยหน้าขึ้นจากกล้อง คุณนายยูมิโกะก็รีบเข้าไปแทนที่ เธอเปลี่ยนมุมกล้องเบนไปสำรวจดูตรงนั้นตรงนี้ของสวน และทันใดนั้นเองเธอก็สะดุ้งแล้วอุทานออกมาเบา ๆ เงยหน้าซีดขาวขึ้นมาจากกล้อง

ทาเคฮิโกะรีบเข้าไปส่องดูก็ผงะไปเหมือนกัน เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์สีเขียวปื๋อ หน้าสามเหลี่ยม ตามากมายน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนฟองสบู่มารวมตัวกันจ้องตอบมา แต่พอดูอีกทีจึงรู้ว่าที่แท้ก็คือตั๊กแตนตำข้าวนั่นเอง

“ฉันเกลียดมากเลย กลัวจนขนลุก ฆ่ามันเลย...ไม่ใช่แค่ไล่ไปเท่านั้นนะ เดี๋ยวจะกระโดดกลับมาอีก”

ทาเคฮิโกะใส่เกี๊ยะวิ่งตามไปหวังจะเหยียบให้ตายแต่ก็ไม่ทัน ตั๊กแตนมีปีกมันจึงบินหนีไปแล้วดันบินตรงไปทางชานระเบียงห้องเสียด้วย ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อคิดว่าคุณนายจะต้องตัวสั่นเพราะความขยะแขยงเพียงใด ตั๊กแตนบินไปชนประตูกระจกตกไปบนพื้นดินพอดีกับที่ทาเคฮิโกะวิ่งด้วยความเร็วเหลือกำลังกลับมาถึงชานระเบียง เขาตรงเข้ากระทืบตั๊กแตนจนแบนติดดิน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าไหล่ของเขาสัมผัสกับเรือนกายอุ่น ๆ ของคุณนาย ความหอมหวานอย่างบอกไม่ถูกและสัมผัสของผิวกายที่นิ่มนวลเพียงเสี้ยววินาทีเดียวนั้น ทำให้ทาเคฮิโกะเกิดอาการเหมือนจับไข้

“ตายจริง ขอโทษนะ ฉันขี้ขลาดมากเลยใช่ไหม แต่ไอ้แมลงตัวนี้ฉันกลัวมันจริง ๆ นะ อย่างงู หรืออะไร ฉันไม่เห็นจะกลัวเลย”

คุณนายรีบผละตัวออกไป แล้วหัวเราะอาย ๆ หน้าซีดขาวกลับมาสดใสมีน้ำมีนวลขึ้นอีกครั้ง ทาเคฮิโกะนึกไปถึงคำโบราณที่ว่าแมลงตัวแรกที่ไต่ขึ้นมาบนรกของเราที่เอาไปฝังดินตอนแรกเกิดจะเป็นแมลงที่เราเกลียดกลัวไปตลอดชีวิต ตัวเขาเองเกลียดแมงมุม โดยเฉพาะตัวแบนใหญ่ที่ไต่อยู่บนผนังบ้านเก่า ๆ ยิ่งกลัวเป็นที่สุด

แขกที่เข้าออกคฤหาสน์โองาวาระเป็นประจำนั้นมีมากมายหลายหมู่เหล่าจนน่าตกใจ นายโองาวาระนั้นแม้จะเป็นประธานและเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของหลายบริษัทแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านโดยมีพนักงานบริษัทต่าง ๆ นำรายงานมาเสนอ นอกจากผู้มาเยือนด้วยธุระของทางบริษัทแล้ว ยังมีแขกจากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งได้แก่ นักการเมือง นักสวัสดิการสังคม ผู้เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา ผู้ทำธุรกิจด้านศิลปะวัตถุ ปรมาจารย์ศิลปะการชงชา ศิลปะดนตรีโบราณ และคนรู้จักในวงธุรกิจอีกมากมาย ทาเคฮิโกะผู้ทำหน้าที่เลขานุการได้ติดต่อใกล้ชิดกับผู้คนมากหน้าหลายตาในหลายด้านหลายสาขาจนรู้สึกว่าตนเองได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันน้อยนิด

นอกจากนั้นยังมีแขกชายหญิงอีกหลายคนที่มาเยือนสม่ำเสมอไม่มีขาดเกินสามวันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีธุระอะไร ในจำนวนนั้นมีอยู่สองคนที่ทาเคฮิโกะคอยจับตามองเป็นพิเศษ ทั้งสองคนเป็นพนักงานชั้นผู้น้อยในบริษัทที่นาย โองาวาระดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง สองคนนี้มาที่คฤหาสน์โองาวาระด้วยธุรกิจอะไรสักอย่างและกลายเป็นคนเข้านอกออกในได้ทุกเวลาจนทุกคนถือว่าเป็นคนในบ้าน

ทั้งสองคนเป็นชายโสด คนหนึ่งคือนายฮิเมดะ โกโร ชายหนุ่มท่าทางดีเข้าคนง่าย ร่าเริงแจ่มใสและคล่องแคล่วว่องไว อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เป็นพนักงานชั้นผู้น้อยในบริษัทผู้ผลิตกระดาษนิตโต มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าคล้ายผู้หญิง หรืออาจเป็นเพราะขนตายาวงอนและดวงตาที่สวยเหมือนแต่งด้วยเครื่องสำอางก็เป็นได้

ส่วนอีกคนหนึ่งคือมุราโคชิ ฮิโตชิ เป็นพนักงานบริษัทผลิตยาโจโฮคุที่มีความดีเด่นไม่แพ้กันและอายุก็ไล่เลี่ยกัน แต่คนนี้ดูจะพูดน้อยเมื่อเทียบกับฮิเมดะและเข้ากับใคร ๆ ได้ยากกว่า หน้าตาดีดูฉลาดเฉลียวแม้จะดูขาวซีดไปหน่อยก็ตาม
ชายหนุ่มทั้งสองผู้มีลักษณะเด่นไปคนละทางนั้นได้รับความเมตตาปรานีจากนายโองาวาระ จนดูเหมือนว่าอดีตขุนนางผู้สูงศักดิ์ผู้นี้กำลังตริตรองอยู่ว่าจะรับใครคนใดคนหนึ่งมาไว้ใกล้ตัวเป็นการถาวร ทำให้ทาเคฮิโกะผู้เป็นเลขานุการส่วนตัวอดอิจฉาไม่ได้ ส่วนฮิเมดะกับมุราโคชินั้นไม่ใช่เพื่อสนิทกัน ฮิเมดะเริ่มเข้าออกคฤหาสน์โองาวาระก่อนราวครึ่งปี และในช่วงก่อนที่มุราโคชิจะเข้ามานั้นชายหนุ่มผู้นี้พยายามทำตัวให้เป็นที่รักเอ็นดูของนายโองาวาระ แต่จนเมื่อสองเดือนมานี้อยู่ ๆ มุราโคชิก็เริ่มมาที่คฤหาสน์บ่อยขึ้น และท่านเจ้าของบ้านก็ทำท่าเหมือนจะเอ็นดูหนุ่มพูดน้อยคนนี้ ทำให้ฮิเมดะแอบอิจฉาอยู่เงียบ ๆ และพอมุราโคชิรู้สึกได้ก็ไม่พอใจแล้วก็เลยมองฮิเมดะเป็นศัตรู นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ทาเคฮิโกะสังเกตเห็น

วันหนึ่งหลังจากที่ทาเคฮิโกะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการได้สิบวัน ขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องทำงานส่วนตัวซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในตึกฝรั่ง เขาเห็นเหตุการณ์หนึ่งที่ดูน่าประหลาดเกิดขึ้นในสวนนอกหน้าต่าง

สวนของคฤหาสน์โองาวาระที่จำลองแบบย่อส่วนมาจากสวนของวัดไดโกะซัมโปอินนั้นงดงามและยิ่งใหญ่มาก จากหน้าต่างห้องทำงานของทาเคฮิโกะไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งสวน แต่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปจากหน้าต่างราวยี่สิบเมตรเขาเห็นฮิเมดะกับมุราโคชิกำลังยืนประจันหน้ากัน ตอนนั้นอากาศขมุกขมัวเพราะใกล้ค่ำ ทั้งสองกำลังเถียงอะไรกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาบางครั้งก็ขึ้นเสียงดัง โดยไม่เห็นว่าทาเคฮิโกะยืนดูอยู่ในห้อง

รู้สึกว่ามุราโคชิจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะเห็นเขาทำสีหน้าเย็นชาขณะพูดเป็นเชิงเหยียดหยามใส่หน้าคู่ปรับอย่างไม่ยั้ง ทำเอาใบหน้าของฮิเมดะที่เคยมีเลือดฝาดถึงกับขาวจนเกือบเขียว ความรื่นเริงเป็นมิตรกับทุกคนเหือดหายไปหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกอีกฝ่ายฟาดฟันด้วยคำพูดเผ็ดร้อนจนต้องถอยฉาก

แต่ในพริบตาเดียวนั้นเองสถานการณ์ก็กลับตาละปัด ฮิเมดะที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ก้าวเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายในทันใด ยกมือขวาขึ้นฟาดด้วยกำลังแรงไปยังเป้าหมายเสียงดังฉาดใหญ่ ฮิเมดะล้มลงก้นกระแทกพื้นทั้ง ๆ ที่มือหนึ่งยังกุมแก้ม ดูเหมือนจะโดนหมัดเหล็กของฮิเมดะเข้าอย่างจังจนไม่มีแรงลุกขึ้น ฮิเมดะสะบัดหน้าเดินหายไปทางหนึ่ง
ครู่หนึ่งต่อมามุราโคชิจึงลุกขึ้นทำสีหน้าที่ทาเคฮิโกะจะไม่มีวันลืม มันเป็นยิ้มเยาะของปีศาจชัด ๆ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมเป็นที่สุดอย่างที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นบนใบหน้าของมนุษย์ และแล้วริมฝีปากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดออกเป็นโพรงดำระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ใบหน้าขาวซีดนั้นเด่นโพลนอยู่แสงสลัวของยามค่ำ

หลังจากนั้นสิบสองหรือสิบสามวันทาเคฮิโกะก็ได้เห็นความแปลกประหลาดนั้นอีกครั้ง ระหว่างช่วงเวลานั้นคู่อริทั้งสองมีโอกาสพบหน้านายโองาวาระไม่มากนัก แต่เมื่อใดที่ทั้งสองจำต้องมานั่งอยู่ด้วยกันต่างก็พยายามสงบเสงี่ยมฉาบหน้าเอาไว้ในขณะที่ดวงตาไม่อาจปิดบังความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงเอาไว้ได้ ทาเคฮิโกะได้เห็นเหตุการณ์ในสวนจึงรู้ดี แต่ดูเหมือนนายโองาวาระกับคุณนายยูมิโกะที่อยู่ในที่นั้นด้วยจะไม่ระแวงสงสัยความเป็นปรปักษ์ที่ทั้งสองพยายามซ่อนเอาไว้แม้แต่น้อย

ราวสิบสองหรือสิบสามวันหลังเกิดเหตุในสวน คืนหนึ่งหลังอาหารเย็นทาเคฮิโกะมีธุระต้องไปทำที่บ้านบิดา ขณะที่เดินผ่านซุ้มประตูคฤหาสน์ ฮิเมดะที่ยืนซุ่มอยู่ในความมืดก็ออกเดินมาด้วย

“ผมกำลังจะกลับบ้านพอดี คุณก็จะไปขึ้นรถรางใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“งั้นเดินไปที่ป้ายจอดรถด้วยกันนะ”

ป้ายจอดรถรางอยู่ห่างออกไปราวเจ็ดแปดร้อยเมตร สองคนเดินคุยอะไรกันไปเรื่อย ๆ บนทางเปลี่ยวเรียบกำแพงและรั้วต้นไม้ ที่เกือบไม่มีใครเดินผ่านไปมา

“งานเลขานุการเป็นยังไงครับ สนุกไหม”

“ก็ไม่ยากอย่างที่คิดครับ การได้อยู่กับท่านและได้พบกับคนมีชื่อเสียงจากหลายวงการ ก็รู้สึกสนุกและน่าสนใจมาก”

“คุณชอบนิยายสืบสวนใช่ไหม คงจะถูกใจท่านประธานเพราะรสนิยมเหมือนกัน” ฮิเมดะเรียกนายโองาวาระว่าท่านประธาน “นิยายสืบสวนหลายเรื่องมีเรื่องราวของสมาคมลับ อย่างเช่นเรื่อง “เมล็ดส้มห้าเมล็ด” ของโคนัน ดอยล์ ผมอ่านเรื่องนี้เป็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษสมัยอยู่มัธยมต้น”

“มันก็มีอยู่นะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบเรื่องที่มีอะไรแบบสมาคมลับอยู่ในเนื้อเรื่อง ความจริงมันก็สนุกดีสำหรับคนที่ชอบ แต่ผมว่ามีนิยายสืบสวนหลายเรื่องที่ไม่สนุกเพราะมีสมาคมลับอะไรพวกนั้น อย่างสมาคม KKK ku klux klan ของอเมริกาซึ่งตอนนี้ก็ยังมีอยู่ พวกที่ใส่หน้ากากสามเหลี่ยมขาววอก เจาะตา ขมูก ปาก ใส่เสื้อคลุมสีขาว สมาชิกสมาคมลับต่างไม่รู้จักหน้ากันว่าใครเป็นใคร ลงไปรวมตัวกับในห้องลับใต้ดิน วางแผนฆ่าคน นิยายสืบสวนที่ทีแบบนั้นผมว่าไม่สนุกนะครับ”

“จริงรึ แต่ถ้าที่ญี่ปุ่นมีสมาคมลับแบบนั้นคุณไม่คิดหรือว่ามันน่ากลัว มันน่ากลัวเกินกว่านิยายมากเลย คุณไม่คิดว่ามันน่าสนใจบ้างเลยรึ”

วิธีพูดของอีกฝ่ายฟังดูแปลกจนทาเคฮิโกะตกใจต้องหันไปจ้องหน้าด้านข้างของผู้พูด

“คุณพูดเหมือนรู้จักสมาคมลับอะไรสักแห่ง”

“ไม่รู้จักหรอกครับแค่นึกขึ้นมา แล้วคุณล่ะคิดว่ายังไง คิดว่าที่ญี่ปุ่นมีสมาคมลับวางแผนฆ่าคนบ้างไหม”

“ผมเคยได้ยินข่าวลือครับว่าโลกทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายมีสมาคมลับ พอเห็นว่าใครเป็นเสี้ยนหนามก็จะเก็บเสีย สหภาพโซเวียตมีตำรวจลับของรัฐบาลที่มีเครือข่ายใหญ่โตและปฏิบัติการอย่างฉับพลันทันที ข้าราชการคนไหนมีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลก็เก็บเสีย แล้วก็ลือกันว่าประเทศไหนก็มีเหมือนกัน แต่เป็นในรูปของสมาคมลับที่เล็กกว่ามาก คนก็ลือกันไปแต่จะจริงหรือไม่เราก็ไม่รู้ แต่โลกเรานี้บางทีก็มีอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่จริง ๆ

มันก็ไม่เชิงสมาคมลับวางแผนฆ่าคนหรอกนะครับ อย่างสมาคมลับฟรีเมสัน ผมรู้ว่าที่ญี่ปุ่นก็มีอยู่ลับ ๆ เหมือนกัน เป็นสมาคมที่เอียงไปทางลัทธิศาสนามาก ๆ คนที่เข้าประชุมใส่สายสะพายด้วยผ้าสีดำปักด้วยด้ายสีทองปิดแผ่นทองบาง ๆ สลักลวดลาย ส่วนใหญ่จะประชุมกันในห้องลับใต้ดิน ให้แสงสว่างด้วยเชิงเทียนปักเทียน 7 เล่ม สายสะพายมีหลายแบบต่างกันไปตามระดับชั้นของสมาชิก คนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาขาของสมาคมในประเทศนั้นจะใส่สายสะพายงดงามประดับประดาโอ่อ่ามากราวกับพระสงฆ์ที่มีสมณะศักดิ์สูงเลยทีเดียว ผมได้สายสะพายแบบนั้นอันหนึ่งมาจากคนรู้จักและยังเก็บเอาไว้เลย มันไม่ใช่ของคนที่ตำแหน่งสูง คงจะระดับกลาง ๆ แต่ก็ประดับเสียงดงามระยิบระยับ ผมคิดว่าคงไม่ค่อยมีคนรู้หรอกครับว่าที่ญี่ปุ่นก็มีสมาคมลับฟรีเมสันอยู่เหมือนกัน แต่สายสะพายที่ผมมีอยู่เป็นหลักฐานยืนยันได้ ดังนั้นเราจึงบอกไม่ได้เต็มปากหรอกนะครับว่าไม่มีสมาคมก่อการร้ายวางแผนฆาตกรรม”

คุยกันมาถึงตรงนี้ก็เกือบจะถึงป้ายรถรางอยู่แล้วแต่ทั้งสองดูเหมือนจะยังไม่อยากแยกทางกันไป ฮิเมดะชี้ไปที่สวนสาธารณะที่อยู่ด้านโน้นของป้ายจอดรถรางแล้วบอกว่า

“เราไปนั่งคุยต่อกันที่นั่นสักพักดีไหมครับ”

ตรงนั้นเป็นแค่สวนหย่อมเล็ก ๆ ไม่ถึงขนาดที่จะเรียกได้ว่าสวนสาธารณะ มีม้านั่งสองสามตัวล้อมรอบด้วยต้นไม้ไม่กี่ต้น แสงจากดวงไฟบนเสาเหล็กสูงสาดส่องไปทั่วบริเวณนั้น ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งเคียงกันบนม้านั่งตัวหนึ่ง

“คุณทาเคฮิโกะ ผมมีอะไรให้คุณดูอย่างหนึ่ง รู้ไหมว่าอะไร”

ฮิเมดะเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบซอง ๆ หนึ่งออกมาจากกระเป๋าส่งให้ทาเคฮิโกะ

“เปิดซองออกดูข้างในสิครับ”

แสงจากดวงไฟส่องให้เห็นจ่าหน้าซองเป็นชื่อและที่อยู่ของฮิเมดะ แต่ไม่มีชื่อผู้ส่ง ภายในซองไม่มีกระดาษแต่เป็นขนนกสีขาว ลักษณะเหมือนปากกาขนห่านที่ใช้เขียนหนังสือในสมัยโบราณ ทำให้คิดได้ว่าน่าจะเป็นขนห่าน ภายในซองไม่มีอะไรอื่นอีกนอกจากขนนกอันนั้น

“ในซองมีไอ้นี่อยู่อันเดียวหรือครับ”

“ใช่ครับ จดหมายก็ไม่มี ใครส่งมาก็ไม่รู้ ประทับตราไปรษณีย์นิฮนบาชิ คุณจะตีความว่ายังไง แค่เป็นเรื่องแกล้งกันเล่นขำ ๆ หรือว่า...”

“ผมว่าใครคงส่งมาเล่นตลก ๆ น่ะครับ นึกออกไหมว่ามีใครชอบเล่นแบบนี้”

“เพื่อนผมไม่มีใครเล่นบ้า ๆ แบบนี้แน่นอน รู้สึกไม่ดีมากเลย ทำให้นึกถึง “เมล็ดส้ม 5 เมล็ด” ของโคนัน ดอยล์เลยครับ

“ลูกธนูขนนกขาวเครื่องหมายของการบูชายันต์”

“คงจะตีความหมายได้อย่างนั้นอย่างเดียวแหละครับ ที่คฤหาสน์ของท่านประธาน ผมได้พบนักการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาบ่อย ๆ และเคยถกเถียงกันด้วย ผมมันก็พูดมากเสียด้วย บางทีอาจพูดอะไรไม่ถูกหูใครเข้าโดยไม่รู้สึกตัว หรืออาจจะไปได้ยินความลับอะไรที่เราไม่ควรรู้เข้าก็ได้ แต่เท่าที่คิดดูก็ยังนึกไม่ออกว่ามันอะไรกันแน่”

“คงไม่ใช่อย่างนั้นละมัง เพราะคงไม่มีใครเอาความลับมาพูดที่คฤหาสน์โองาวาระหรอกครับ”

“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก็คิดหาสาเหตุอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นการแกล้งกันสนุก ๆ ก็ดีไป แต่ผมรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล บอกตรง ๆ ผมกลัวครับ”

ใบหน้าของฮิเมดะภายใต้แสงสลัวดูซีดเซียวเหมือนคนละคน เป็นใบหน้าของคนที่กำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง

ตอนนั้นเองที่ทาเคฮิโกะนึกถงเหตุการณ์ในสวนวันนั้นขึ้นมาได้ จึงถามออกไปตรง ๆ

“คงไม่ใช่ฝีมือของมุราโคชิหรอกนะ เพราะผมเห็นคุณกับมุราโคชิไม่ค่อยถูกกันยังไงไม่รู้”

“ใช่ มุราโคชิเขาไม่ชอบหน้าผม แต่คนอย่างนายนั่นคงไม่ทำอะไรเหมือนหลอกเด็กอย่างนี้ละมัง ผมไม่คิดเลยสักนิดว่าท่านอาจารย์นักปรัชญานั่นจะมาทำอะไรอย่างนี้”

โชจิ ทาเคฮิโกะฉุกคิดถึงเรื่องอะไรแปลก ๆ อย่างหนึ่งขึ้นมาได้ในตอนนั้นเอง ครั้งหนึ่งมีนักการเมืองฝ่ายขวาคนหนึ่งมาหานายโองาวาระที่คฤหาสน์ หลังจากที่พูดถึงภาวะที่น่าเป็นห่วงของบ้านเมืองจบลง นายโองาวาระก็แผดเสียงออกมาอย่างดุดันว่า

“ฮิตเลอร์ ต้องมีคนอย่างฮิตเลอร์ขึ้นมาสักคนหนึ่งไม่งั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องฮิตเลอร์ที่ทำสงครามโดยเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก แต่ถ้าจะทำให้โลกทั้งโลกเห็นพ้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยไม่ได้ทำอย่างนั้น มันจะต้องมีฮิตเลอร์ที่เหนือขึ้นไปกว่าฮิตเลอร์ออกมา ไม่งั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผมคิดของผมอย่างนี้แหละ”

ภาพนายโองาวาระที่โกรธเกรี้ยวในตอนนั้นเชื่อมโยงกับลูกธนูขนนกขาวในทันที ภาพของนายโองาวาระสวมหน้ากากประหลาดเจาะที่ตาและจมูกลึกผุดเด่นขึ้นมาที่ส่วนลึกของดวงตาทาเคฮิโกะ นั่นมันเป็นภาพลวงตาที่น่าขัน มันจะเป็นไปได้ยังไง แต่ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ภาพของคนที่อำพรางตัวตนด้วยหน้ากากสามเหลี่ยมสีขาว และเสื้อคลุมสีขาว ในห้องลับใต้ดินที่ไหนสักแห่ง ภายใต้แสงไฟวอมแวมจากเปลวเทียนยังปรากฏขึ้นมาบนม่านตาราวกับภาพหนึ่งของภาพยนตร์ หากว่าฮิเมดะได้ไปล่วงรู้ความลับอันน่าสพรึงกลัวของนายโองาวาระเข้าแม้เพียกซีกเสี้ยว ก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องได้รับลูกธนูขนนกขาวแห่งการบูชายันตร์ การที่ฮิเมดะพูดเรื่องสมาคมลับขึ้นมาอาจเป็นเพราะตัวเขาเองก็คงรู้ตัวขึ้นมา ถึงจะเป็นจินตนาการที่ออกจากเลยเถิดมากไปสักหน่อยแต่ก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่มีเสน่ห์จูงใจให้คิดตามพอควร

“คุณทาเคฮิโกะ ทำไมทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้น กำลังคิดอะไรอยู่รึ”

ฮิเมดะถามเสียงสั่น
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่คิดฟุ้งซ่านไปตามเรื่อง ผมนี่ถ้าจะบ้านิยายสืบสวนเอามาก ๆ บางทีก็วาดภาพอะไรเรื่อยเปื่อยไร้สาระ อย่าถือสาเลยครับ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริง ๆ”

“ทำเอาผมตกอกตกใจหมด ว่าแต่คุณดูเหมือนจะรู้จักกับคุณอาเกจิ โคโงโร นักสืบเอกชนชื่อดังคนนั้นใช่ไหม”

“ครับ ก็ไปมาหาสู่เป็นบางครั้ง”

“ถ้างั้น ผมอยากให้คุณช่วยขอฟังความเห็นจากคุณอาเกจิทีเถิด เพราะถ้าให้เขาดูขนนกในซองนี้ นักสืบเอกท่านนั้นอาจจะจับเบาะแสอะไรได้บ้าง เรื่องแบบนี้ถึงจะไปแจ้งความ ตำรวจเขาก็คงไม่สนใจมาสืบให้ ผมไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากต้องขอยืมภูมิปัญญาของนักสืบเอกชนท่านนี้”

“เป็นความคิดที่ดีครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคุณอาเกจิเดินทางไปแถบคันไซ คงจะมีใครขอให้เป็นสืบเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่รู้เลยว่าจะกลับเมื่อไร พอกลับมาแล้วผมจะไปปรึกษาให้นะครับ”

“ช่วยหน่อยนะ งั้นผมฝากซองจดหมายกับขนนกไว้กับคุณเลยดีกว่า พอคุณอาเกจิกลับมาโตเกียวคุณช่วยเอาไปให้เขาดูด้วยแล้วกัน”

ด้วยเหตุนี้ทาเคฮิโกะจึงรับฝากซองจดหมายที่ไม่ระบุชื่อผู้ส่งกับขนนกเอาไว้ แต่ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะเหตุร้ายอันประหลาดล้ำได้เกิดขึ้นก่อนที่อาเกจิ โคโงโรจะกลับมาจากคันไซ


กำลังโหลดความคิดเห็น