xs
xsm
sm
md
lg

หน้าร้อนสุดท้ายของยุคเฮเซย์แห่งภัยพิบัติ ทำไมคนญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับการพับนกกระเรียนพันตัว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว ช่วงวันหยุดสามวันได้เข้าไปเที่ยวในใจกลางกรุงเทพฯ พบว่าบนถนนหนทางโล่งมาก รถราน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นง่ายๆ เลยนอกจากช่วงวันหยุดยาวๆ ผมทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวได้นั่งเรือโดยสารล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ไปทานกาแฟที่โรงแรมริมน้ำแห่งหนึ่ง ขณะที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นก็บังเอิญเจอคอลัมน์นึงพาดหัวเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าหน้าร้อนปีนี้ "หน้าร้อนสุดท้ายของยุคเฮเซย์" 「平成最後の夏」

พอดีกับวันที่ 15 สิงหาคม ตรงกับช่วงเทศกาลโอบ้ง ลูกหลานจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อไปไหว้หลุมฝั่งศพของบรรพบุรุษ และเชื่อว่าวิญญาณปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านด้วย ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นจะมีวันหยุดยาว บางเดือนอาจจะถึง 10 วันเลยทีเดียว นอกจากนั้นเดือนสิงหาคมยังเป็นเดือนที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทำให้เป็นช่วงที่ทุกคนมักจะหวนรำลึกถึงอดีต , สงคราม แม้แต่รายการพิเศษหรือสารคดีทางโทรทัศน์ก็จะมีรายการย้อนอดีตเป็นส่วนใหญ่

เมื่อพ่ายแพ้ต่อสงครามโลก, ยุคโชวะ ( ปี 1926 - 1989 ) ได้เร่งฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดรวมทั้งจัดการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิคปี 1964 ยุคนี้ได้ชื่อว่า ยุคพ่ายแพ้และยุคแห่งการพัฒนาเศษฐกิจเฟื่องฟู จนเรียกได้ว่า Japan as No.1

ส่วนยุคเฮเซย์ ถ้าเทียบกับยุคที่เร่งฟื้นฟูบ้านเมือง เร่งรีบวุ่นวายอย่างสมัยโชวะแล้ว ถือว่าเดินมาสู่ช่วงเศรษฐกิจถดลอย เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง เกิดการลดลงของจำนวนประชากร เป็นยุคที่เกิดภัยพิบัติเยอะ ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่นถล่ม ต่างๆ อยู่ในช่วงสังคมหม่นหมอง ซึ่งเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก แต่ยุคเฮเซย์กลับทำให้โลกอยู่ในอำนาจของ manga, animetion , game ต่างๆ หรือเพลิดเพลินกับ pop culture แพร่ขยายไปทั่วโลก

เมื่อเข้าสู่ยุคเฮเซย์ความชอบส่วนบุคคลของแต่ละคนค่อนข้างจะหลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับสิ่งของในยุคโชวะ ยุคเฮเซย์เกิดสิ่งที่ทำให้คนคลั่งไคล้จนฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองได้ยากขึ้นกว่ายุคโชวะ อย่างพวก 「ウルトラマン」,「仮面ライダー」 อุลตร้าแมน คาเมนไรเดอร์ คือสิ่งที่มาจากโลกอนาคตอันสดใสเพื่อเป็นแสงทองแห่งการเริ่มต้นพัฒนาทั้งด้านวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี ต่างจากของในยุคเฮเซย์ที่มักจะแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลและความไม่มั่นคงต่ออนาคต เช่น「新世紀エヴァンゲリオン」,「シンゴジラ」 Evangelion, Shin Godzilla ในยุคเฮเซย์ต่างจาก Godzilla ในยุคโชวะที่จะออกแนวโจ๊ก ติ๊งต๊องบ่องตื้น เป็นต้น ผมครุ่นคิดสิ่งต่างๆ และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น


ยุคเฮเซย์ ( ปี 1989-2019) เกิดอุบัติภัยค่อนข้างบ่อย อาทิเช่น ปี 1995 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โอซาก้าและโกเบ ปี 2011 เกิดมหาตภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสึนามิที่ญี่ปุ่นฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ยังคงทำให้เกิดบาดแผลฝั่งลึกในใจคนญี่ปุ่นมาถึงทุกวันนี้ แม้กระทั่งปี 2018 แค่ปีเดียวนี้ ก็เกิดภัยธรรมชาติหนักๆ ทั้งพายุไต้ฝุ่น ฝนตกหนักจนเกิดดินถล่มในหลายพื้นที่ของจังหวัด Hiroshima และ Okayama เป็นต้น แล้วเร็วๆ นี้ยังตามมาด้วยพายุไต้ฝุ่นหนักๆ ทำให้ต้องปิดสนามบินคันไซโอซาก้าชั่วคราว ยาวไปถึงดินถล่มและแผ่นดินไหวที่ฮอกไกโดเมืองที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ค่อยเกิดภัยพิบัติเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินกว่ากำลังความสามารถที่มนุษย์จะควบคุมได้ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม สำหรับมนุษยชาตินั้นสิ่งที่ทำได้อย่างแรกเลยคือการสวดอ้อนวอนภาวนา


ก่อนนี้มีเด็กผู้หญิงจากจังหวัด Hiroshima ชื่อ 貞子 Sadako เธอเป็นที่รู้จักเพราะ เธอได้พับกระดาษ Origami เป็นรูปนกกระเรียนจำนวนหนึ่งพันตัวเพื่อขอพรให้ตัวเองหายจากอาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์

*โอริกามิ 折り紙 Origami มาจากคำว่า โอริ แปลว่า "การพับ" และ กามิ แปลว่า "กระดาษ" ถือเป็นศิลปะในการพับกระดาษอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น เพื่อสร้างสรรค์รูปทรงหรือวัตถุต่างๆ ขึ้นมาจากการพับกระดาษอาจจะสีพื้น หรือกระดาษที่มีลวดลายสวยงาม การพับกระดาษเป็นรูปนกกระเรียน 折鶴 Origami Crane นั้น คนญี่ปุ่นถือว่านกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข ดังนั้นถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วอธิษฐานขอพรจะช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ และผู้ที่เจ็บป่วยจะมีอาการดีขึ้น *

เมื่อต้องการสวดขอพรสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การพับนกกระเรียนกระดาษก็เป็นรูปแบบการขอพรอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ผมเองในบางครั้งก็มีช่วงที่ต่อมน้ำตาแตก ครั้งหนึ่งเคยไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิท ตอนที่ฟัง speech ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตอนที่เจ้าสาวเขียนจดหมายถึงคุณแม่ของเธอ ฟังแล้วตื้นตันไปด้วย

มีอยู่ตอนหนึ่งเจ้าบ่าวเล่าว่า เมื่อความรักของทั้งคู่มีเหตุให้ทั้งสองต้องห่างไกลกัน เจ้าสาวได้พับนกกระเรียนพันตัวไว้ให้ตนเอง ผมคิดว่าเพื่อให้เป็นสิ่งที่จะทำให้ความรักของทั้งคู่มีความสุขไปด้วยกันตลอดไปกระมัง

อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าปัจจุบันนี้ การพับนกกระเรียนกระดาษถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตอนที่เกิดน้ำท่วมและดินถล่มที่เมือง Hiroshima และ Okayama นกกระเรียนกระดาษที่ถูกส่งไปเพื่อภาวนากลายเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถส่งของที่มีประโยชน์กว่าได้ อย่างตอนที่มีคนส่งนกกระเรียนกระดาษไปที่โดมรำลึกเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่เมือง Hiroshima ทำให้ต้องสูญเสียงบประมาณสำหรับการจัดเก็บนกกระดาษเหล่านั้น ซึ่งที่จริงแล้วสุดท้ายก็ต้องถูกนำไปทำลายทิ้ง

เร็วๆ นี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นคนหนึ่งกล่าวว่า เหล่าชาวรักร่วมเพศ LGBTเช่น พวก Gay ต่างๆ นั้นไม่เกิดประโยชน์เลย 「生産性がない」ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรให้การสนับสนุน (ขอขยายความหมายของคำว่า「生産性がない」ในกรณีนี้น่าจะหมายถึง คนที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ ต่างจากผู้ที่ทำให้เกิดประโยชน์เช่น ผู้เป็นแม่ เป็นผู้ที่ให้กำเนิดลูกได้ คือเป็นคุณเป็นประโยชน์ แต่รักร่วมเพศไม่สามารถทำให้เกิดการขยายจำนวนประชากรได้ ) คำพูดดังกล่าวได้ขยายวงกว้างเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นปัญหาระดับนานาชาติเลยทีเดียว แต่เรื่อง Sensitive เช่นนี้เราไม่พูดดีกว่าครับ

กระนั้น จากที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบอกคือจะสื่อว่า “ไร้ซึ่งประโยชน์ “ หรือเปล่า ตอนที่ผมยังทำงานที่ญี่ปุ่น จำได้ว่ามีช่วงที่งานยุ่งจนตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต แต่มีคนบอกให้ช่วยกันนั่งพับนกกระเรียนเพื่อขอพรหน่อย ระหว่างทำงานยุ่งขนาดนี้ให้มานั่งพับนกโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการงานที่ทำเลย ผมรู้สึกไม่ชอบเท่าไหรนัก อย่างผู้บริหารระดับผู้จัดการฝ่ายได้รับค่าแรงประมาณชั่วโมงละ 5,000 เยน ( หรือราวๆ 1,500 บาท) แต่มานั่งพับกระดาษนี่ผมว่ามันไม่ใช่ล่ะนะ (•́ω•̀ )

จากนั้นอีกไม่นานนักก็เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิที่ฝั่งญี่ปุ่นตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อปี 2011 เป็นเรื่องจริง ที่ทุกคนไม่คาดฝัน ทุกคนยุ่งมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ถ้ามานั่งพับนกเหมือนก่อนนี้อีก คงจะเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ เพราะทำงานช่วยเหลือคนไม่ทัน

ก่อนอื่นเรื่องงานที่ทำให้เกิดความยากลำบากในตอนนั้นคือ รัฐบาลประกาศให้หน่วยงานราชการออกเอกสารใหม่ให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายเรื่องเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานทะเบียนราษฏร์ที่ถูกพัดหายไปทั้งหมดจากคลื่นสึนามิ คนที่ประสบภัยเมื่อหนี้ภัยไปอยู่จังหวัดไหนก็ขอให้หน่วยงานราชการช่วยออกเอกสารใหม่ให้ด้วย แต่เมื่อไม่มีเอกสารต้นฉบับอยู่เลย จะสามารถออกเอกสารและสืบประวัติได้ทางไหน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดความกังวล แต่ละเคสๆ ผ่านการสัมภาษณ์กันนานมากและยากลำบากมากทีเดียว

จังหวะพอดีช่วงนั้นผมได้ฟังเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์การเป็น volunteer ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผมเองก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้น แต่เพราะงานยุ่งมากจึงไม่สามารถหาเวลาไปได้ วันหนึ่งมีลูกค้ามาทำเอกสารต้องพูดและให้คำปรึกษากับลูกค้านานมากจนเกินเวลาพักทานอาหารกลางวัน จึงไปโรงอาหารในเวลาที่ช้ากว่าคนอื่น แต่ดันตรงกับเวลาที่ผู้จัดการเข้ามาทานอาหารพอดี จึงนั่งทานอาหารด้วยกันกับผู้จัดการ และคุยเรื่องต่างๆ นานา "ผมอยากไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่พื้นที่เกิดเหตุ แต่คิดว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้น่าจะสามารถมีส่วนใดที่พอช่วยเหลือพวกเขาได้บ้าง ก็คงเกิดประโยชน์ต่อพวกเขาไม่มากก็น้อย" ผู้จัดการรีบพูดทันทีว่า "คนที่ไม่มีกำลัง อย่างผมก็ด้วย จะไปยืนในจุดที่เขาทำงานกู้ภัยอย่างจริงจังก็อาจจะไปกีดขวางและไม่ทำให้เกิดประโยชน์เสียมากกว่า ดังนั้นที่ทำได้ตอนนี้คือตั้งใจทำงานดีกว่า"

ตามความเป็นจริงนั้นคือ นกกระเรียนกระดาษนั้น ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือต่อจากนี้ก็ตาม ถึงจะส่งไปให้แต่ในที่สุดก็ถูกนำไปทิ้ง

แต่อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็อยากช่วยเหลือคนที่อยู่ในช่วงที่เดือดร้อนหรือยากลำบาก คงขอแค่ทำอะไรสักอย่างที่กำลังความสามารถพอจะช่วยได้ก็ยังดีนั่นเอง เพราะหลายครั้งหลายเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ การพับนกกระดาษก็คงเพื่อให้กำลังใจกับทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ที่ได้รับและผู้ให้ (การได้คุยกับผู้จัดการในครั้งนั้นทำให้ผมเห็นว่า ผู้บริหารคือ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานเป็น และเพราะว่าเขามีความประพฤติและบุคลิกดีงามจึงได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง คนรุ่นใหม่ๆ พวกคนหนุ่มคนสาวในสำนักงานบางครั้งก็อายและไม่กล้าเข้าหาผู้ใหญ่ แต่การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เข้าไปพูดคุยได้เห็นมุมมองใหม่ๆ บ้างก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ )

วันนี้สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น