xs
xsm
sm
md
lg

มายาปีศาจ ตอนที่ 20 กลพรางตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ

แน่นอนว่านั่นคือกลอุบายอันแยบยลที่ปีศาจมายากลใช้ในหลบหนีฝ่ายไล่ล่าไปได้อย่างลอยนวล แม้แต่นักสืบผู้ชาญฉลาดอย่างอาเกจิ โคโงโรก็ยังทึ่งเพราะไม่นึกว่ามันจะเตรียมการรับมือได้อย่างฉับพลัน จนทำให้เขาต้องคว้าน้ำเหลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ในครั้งนี้

เกล็ดหิมะห้าสี

อาเกจิ โคโงโรตกอยู่ในฐานะลำบาก นักสืบเอกสู้อุตส่าห์สร้างสถานการณ์เสี่ยงที่สุดในชีวิตเพื่อคดีนี้คือ “ตาย” แล้วมอมหน้ามอมตาใส่วิกผมขาวปลอมตัวเป็นตาเฒ่าไปสมัครงานเป็นคนกวาดสวนในคฤหาสน์ทามามุระ แต่กลับถูกเจ้าหนุ่มจิโรตัวดีสาระแนทำตัวเป็นนักสืบสมัครเล่นทำลายแผนเหนือเมฆของเขาจนต้องเผยตัวจริงออกมาต่อหน้าโจรใจโหด จนในที่สุดก็ต้องพลาดท่าปล่อยให้ปีศาจมายากลที่เขาสะกดรอยตามมาติด ๆ ลอยนวลไปได้ในระยะประชิดตัวแค่เอื้อมมือถึง เสียหน้า...ใช่เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปนักสืบเอกชนเรืองนามต้องเสียหน้าแน่นอน แต่มันไม่เท่ากับความแค้นใจอย่างสุดทนที่ถูกศัตรูหยามศักดิ์ศรีเอาเช่นนี้

ในเมื่อปีศาจร้ายเหิมเกริมถึงขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออมมือออมแรงอีกต่อไป ไม่มีเวลาจะต้องมานั่งชั่งใจวัดผลดีผลเสียกันอีก ต้องบุกให้ถึงรังของมันเดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...
นักสืบเอกหยุดยืนนิ่งที่ช่องประตูทางเข้าโรงละครระดมพลังสติปัญญาทั้งหมดในสมองมาที่จุดเดียวกันแล้วขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนเพื่อหาคำตอบให้แก่ปริศนาลึกลับดำมืดที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า...ปีศาจฆาตกรหายไปไหน...หาทุกซอกมุมแล้วก็ยังไม่เจอ หรือว่ามันจะฤทธิ์เดชถึงขั้นล่องหนหายตัวได้

อาเกจิหวนคิดถึงตอนที่ถูกปีศาจมายากลจับตัวมัดแน่นติดกับเก้าอี้จนกระดิกตัวไม่ได้อยู่ในห้องปิดตายบนเรือ และในเสี้ยววินาทีวิกฤติเมื่อเข็มฉีดยาพิษในมือปีศาจสังหารพุ่งลงเกือบจะสะกิดเข้าไปที่ต้นแขนนั้นเอง เหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้น คนคนหนึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ได้ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน...ฟุมิโยะ...ลูกสาวของปีศาจร้าย

ประหลาดใจ...ใช่ แต่ก็ไม่ใช่เหลือเชื่อ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นักสืบเอกคาดหวังเอาไว้ก่อนหน้าแล้วด้วยสัมผัสที่เหนือจากสัมผัสทั้งห้า ซึ่งช่วยให้เขาไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยกับวาระสุดท้ายของชีวิตที่กำลังถูกปีศาจร้ายคุกคาม คืนนี้ก็เช่นกัน ความรู้สึกสัมผัสที่เหนือปกติวิสัยบอกเขาว่าความแปลกประหลาดอย่างน่าอัศจรรย์เช่นเดียวกันนั้นอาจเกิดขึ้นอีก

รู้สึกมีอะไรแปลก ๆ มาสะกิดเบา ๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องหัวใจ เจือมากับกลิ่นหอมจาง ๆ คล้ายกับ...ความทรงจำเมื่อรักครั้งแรกในวัยรุ่น

สายตาของนักสืบเอกที่กวาดไปทั่วบริเวณหลังโรงละครหยุดตรึงอยู่ที่จุดหนึ่งบนพื้นดิน เขาเขม้นมองไปที่จุดนั้นเป็นครู่ใหญ่ และแล้วความตึงเครียดบนใบหน้าคมสันก็คลายลงพร้อมกับคิ้วดกดำที่ขมวดอยู่ รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าและส่งรัศมีแห่งความปิติไปทั่วทั้งตัว

“คุณจิโร ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่เสียคนรักไปเดี๋ยวนี้เอง” นักสืบรูปงามหันมาพูดกับเจ้าหนุ่มจิโรที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่ข้าง ๆ “คุณทำหน้าฉงนเพราะไม่เข้าใจใช่ไหมว่าทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น ก็ผม...ผมเพิ่งรู้ตัวว่าได้หลงรักสาวสวยมากคนหนึ่งเข้าแล้วน่ะซี”

อยู่ ๆ อาเกจิ โคโงโร ก็พูดอะไรแปลก ๆ ไม่เหมาะกับกาลเทศะ แถมยังมองเหม่อออกไปด้วยสายตาเคลิบเคลิมราวกับกำลังสารภาพรักกับใครสักคน ทำเอาเจ้าหนุ่มจิโรและคนทั้งกลุ่มอึ้งแล้วสบตากันอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อมาทบทวนดูในภายหลังเจ้าหนุ่มจึงรู้ว่าว่า อาเกจิ โคโงโรของเรากระจ่างใจกับรักครั้งแรกในชีวิตของเขาขณะที่ยืนอยู่ตรงช่องประตูทางเข้าโรงละครและเพ่งไป ณ จุด ๆ หนึ่งบนพื้นดินท่ามกลางความมืดมิดนั้นเอง หญิงสาวแสนสวยคือใคร...คำตอบจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นตามลำดับ

“เอาละ เราแยกย้ายกันไล่ล่าเจ้าปีศาจกันต่อไป ผมเชื่อว่าเราจะรังโจรของมันได้ในไม่ช้า”

นักสืบอาเกจิสั่งเสียงดังก้องด้วยท่าทีฮึกเหิมราวกับแม่ทัพกำลังจะยกทัพบุกทะลวงข้าศึก จนจิโรกับตำรวจและคนในกลุ่มต้องสบตากันอีกครั้ง

“เราจะตามไปทางไหนดีครับ”

“ตามผมมาเป็นดี รับรองได้แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์ว่าจะไม่ทำให้พวกคุณผิดหวัง”

นักสืบรูปงามพูดพลางออกเดินอาด ๆ นำหน้าคณะไล่ล่าไปทางด้านขวาของเมือง

ในเมื่อเป็นคำพูดของนักสืบเอกชนเลืองนาม เจ้าหนุ่มจิโรกับตำรวจสี่นายจึงออกเดินตามกันไปเป็นฝูงรวม 6 คน เมื่อเดินมาถึงทางสองแพร่งที่มุมถนนอาเกจิก็พาเลี้ยวไปทางหนึ่งโดยไม่ลังเล ราวกับมีป้ายชี้บอกที่ไม่มีใครมองเห็น
เดินไปได้ราวห้าหกร้อยเมตรก็มาถึงทางข้ามทางรถไฟสายโทไคโด ถนนหนทางบริเวณนั้นดูสว่างมองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น

“โอ๊ะ ผมเข้าใจแล้ว คุณอาเกจิ คุณเดินตามสิ่งนั้นมาใช่ไหม”

เจ้าหนุ่มจิโรอุทานเมื่อพบสิ่งนั้นปรากฏอยู่ในแสงสว่าง ทุกคนในกลุ่มมองตามมือชี้ของเขาไปที่พื้นดิน ก็เห็นกระดาษสีห้าสีที่ตัดเป็นฝอยละเอียดราวฝุ่นผงโรยเป็นแนวยาวไปข้างหน้า และเมื่อหันไปมองข้างหลังก็เห็นผงกระดาษแบบเดียวกันนี้โรยเป็นทางอยู่ในความมืด ที่ทุกคนเดินผ่านมาโดยไม่ได้สังเกตเห็นก็เพราะความมืดและฝอยกระดาษละเอียดยิบเหมือนเกล็ดหิมะ
ปีศาจมายากล
“คุณอาเกจิครับ ใครเป็นเอากระดาษมาโรยเป็นเครื่องหมายนำทางให้เราอย่างนี้ และคุณรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นทางหนีของเจ้าปีศาจ”

เจ้าหนุ่มจิโรถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เกล็ดหิมะพวกนี้ทำจากกระดาษสีที่ใช้สำหรับเล่นกลแบบเดียวกับพวกเทปสีต่าง ๆ คนโปรยเขาค่อย ๆ ทิ้งมันลงไปตามทางทีละนิด และถ้าเราตามมันไปก็จะถึงซ่องโจรได้โดยง่าย ดีที่คืนนี้ลมสงบผงกระดาษสีก็เลยไม่ถูกพัดกระจายไป”

“แต่มันก็แปลกนะครับ ทำไมเจ้าปีศาจถึงได้จงใจโรยผงกระดาษเป็นเครื่องนำทางให้เราแบบนี้ คิดยังไงมันก็ไม่น่าเป็นไปได้นะครับ”

“เจ้าปีศาจไม่ทำอย่างนั้นแน่ คนที่ทำเครื่องหมายให้เราตามไปคือฟุมิโยะ ลูกสาวของมัน”

“ไม่ว่าโจรหรือลูกสาวโจรก็เหมือนกัน มันจะทำบ้า ๆ อย่างนั้นทำไมกัน”

เจ้าหนุ่มจิโรชักจะห่วงขึ้นมาว่าสติของนักสืบเอกจะฟั่นเฟือนไปจริง ๆ

“ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณจะคิดอย่างนั้น แต่ผมรู้ดีทีเดียวว่าลูกสาวปีศาจร้ายเป็นคนจิตใจดีแตกต่างจากพ่อของหล่อนราวขาวกับดำ ที่หล่อนต้องจำใจทำตามคำสั่งก็เพราะหน้าที่ที่ลูกพึงมีต่อพ่อมันบังคับอยู่เท่านั้นแหละคุณ หล่อนเกลียดการกระทำชั่วร้ายของพ่อมานานเต็มที และคงจะอดกลั้นไว้ใม่ได้อีกต่อไปแล้วในคืนนี้ จึงได้ตัดสินใจวางแผนเพื่อมอบตัวพ่อให้แก่ตำรวจ ทั้งยังมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือผมให้พ้นจากฐานะลำบากอีกด้วย”

นักสืบเอกเดินพลางเล่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดกับเขาบนเรือปีศาจให้ทุกคนฟังย่อ ๆ

ตั้งแต่เกิดคดีนี้ ยามใดที่นักสืบอาเกจิ ตกอยู่ในภาวะคับขันลูกสาวแท้ ๆ ของโจรใจโหดจะเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันการเสมอ ช่างเป็นความผูกพันที่น่าประหลาดเสียจริง ใช่แล้ว...เมื่อครู่ก่อน นักสืบเอกบอกว่าเขาหลงรักสาวงามมากคนหนึ่ง เธอผู้นั้นก็คือฟุมิโยะนี่เอง หนุ่มจิโรรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และพอชำเลืองมองไปที่ตานักสืบเอกก็สังเกตเห็นประกายระยิบอยู่เช่นกัน

กลุ่มไล่ล่าเร่งฝีเท้าเดินตามเครื่องหมายบนทางเดินออกห่างจากตัวเมืองมุ่งไปทางชายหาดที่เงียบสงัดและเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ได้ยินแต่เสียงหวีดหวิวของลมและเสียงคลื่น เมื่อมาถึงบริเวณนี้เกล็ดหิมะห้าสีไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว

เมื่อมองออกไปทางด้านหน้าค่อนไปทางโมริงะซากิก็เห็นมีเรือนฝรั่งแบบเก่าสร้างด้วยไม้หลังหนึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนเนิน คงจะเป็นเรือนพักตากอากาศของคนที่รักความสันโดษหรือไม่ก็เป็นบ้านของจิตรกร พอเข้าไปใกล้ก็พบว่าประตูหน้าต่างทุกบานปิดสนิทดูลึกลับอย่างประหลาด และเรือนหลังนั้นตั้งอยู่สุดทางไม่มีทางออกไปด้านไหนอีก
ตำรวจกระจายกำลังล้อมบ้านไว้ ส่วนนักสืบอาเกจิกับเจ้าหนุ่มจิโรเดินตรงไปที่ด้านหน้าและเคาะประตูส่งเสียงเข้าไปว่าอยากขอถามทาง แสงไฟที่ลอดออกมาเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ข้างไหน แต่ไม่ว่าจะเคาะประตูเรียกกี่ครั้งก็เงียบกริบไม่มีคำตอบ รู้สึกได้ว่าคนอยู่ข้างในคงจะสบตากันในความเงียบขณะเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายนอก

“พวกมันรู้ตัวแล้วละมัง”

“ถึงจะรู้ตัวแต่ก็คงไม่คิดว่าเป็นพวกเรา แต่ในสถานการณ์อย่างนี้มันต้องระวังตัวแน่นอน”

ถึงจะมั่นใจว่าคนในบ้านไม่มีทางรู้ว่าผู้มาเยือนยามวิกาลเป็นใครเพราะอยู่ในที่มืด แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่ประมาท ชวนกันซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตรงมุมอับข้างประตูซึ่งแม้คนข้างในจะแอบมองออกมาก็ไม่เห็น

ไม่กี่นาทีต่อมาก็ปรากฏมีลำแสงเล็ก ๆ ลอดออกมาจากภายในแล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ใครคนหนึ่งกำลังแง้มประตูออกมาดูเห็นเป็นเงาดำตัดกับแสงสว่างซีด ๆ ภายในห้อง และพอประตูเปิดกว้างขึ้นก็เห็นได้ว่าเงานั้นเป็นผู้หญิงในชุดเสื้อผ้าแบบฝรั่ง

“ใคร” เงานั้นถามออกมาเบา ๆ เหมือนคาดหวังอะไรอยู่สักอย่าง

ฟุมิโยะ ลูกสาวโจรใจเหี้ยมนั่นเอง

นักสืบอาเกจิดีดตัวจากที่ซุ่มอยู่ในความมืดปราดเข้าไปตรงหน้าหญิงสาว ทำเอาฟุมิโยะสะดุ้งเกือบจะถอยหนี ตรงนั้นแม้จะมืดแต่ก็พอรู้ได้ว่าใครเป็นใคร และพอเห็นว่าเป็นคนในความคาดหมาย เธอก็ทำหน้าที่อธิบายยากเพราะปนเปกันหลายอารมณ์ คล้ายกับจะร้องไห้ ลังเล ไม่แน่ใจ เมื่อส่งสายตามาเป็นเชิงทักทาย

ช่างเป็นการเผชิญหน้ากันที่ออกจะกระอักกระอ่วนเหลือเกินสำหรับคนสองคนที่เข้าใจกันดี เขาเป็นฝ่ายไล่ล่าส่วนเธอเป็นฝ่ายหนีและจะต้องเป็นไปเช่นนี้ชั่วนิรันดร์ เขากับเธอพบหน้ากันครั้งนี้เป็นครั้งที่สองโดยไม่เคยพูดคุยอย่างสนิทสนมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอได้แต่ทำ...ทำจริงที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจมากกว่าคำพร่ำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำ อาเกจิได้สัมผัสกับน้ำใจใสสะอาดของสาวบริสุทธิ์ผู้นี้มาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว และยิ่งเป็นลูกสาวปีศาจฆาตกรตัวร้ายด้วยเช่นนี้ ใจของเขาจึงหวั่นไหวและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก

“เร็ว ๆ “

ฟุมิโยะกระซิบเร่ง ชายหนุ่มทั้งสองจึงพากันเดินผ่านช่องประตูเข้าไปที่ชานแคบ ๆ

“ไม่เป็นไรรึคุณ ป่านนี้พวกนั้นไม่รู้ตัวแล้วรึว่าเราตามมา”

“ไม่เป็นไร ข้างในนั่นมีแค่สองคน พ่อกับคนที่คุณพบในป่า คนอื่นในคณะมายากลหนีไปคนละทิศละทาง สองคนกำลังกินเหล้ากันอยู่ เข้ามาจับเร็ว ๆ เลย ช่วยจับพ่อให้ได้ในคืนนี้ อย่าปล่อยให้หนีไปได้

ฟุมิโยะอยากระบายความคับแค้นใจที่อัดอยู่ในอกออกมาให้หมด อยากระบายความทุกข์ทรมานและความรันทดใจเหลือที่จะกล่าว ของลูกสาวที่ต้องตัดสินใจมอบตัวพ่อแท้ ๆ ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงให้แก่ตำรวจเพื่อช่วยชีวิตคนในครอบครัวทามามุระ ทว่า ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ เธอจะทำได้อย่างไร

“อย่างแรกเลย คุณต้องจับฉันก่อน ฉันเป็นลูกสาวฆาตกร เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง”

ฟุมิโยะกระซิบเสียงหนักแน่นพร้อมก้าวเข้ามาประชิดตัวนักสืบเอก

“ทำไม ก็เธอเป็นพวกเราแล้วไม่ใช่รึ”

“แต่คุณก็ต้องจับฉัน ไม่เช่นนั้นฉันจะร้องเสียงดังให้พ่อรู้ตัว ลูกสาวที่ทรยศพ่อตัวเองควรต้องถูกจับเป็นธรรมดา”

ฟุมิโยะที่น่าสงสารพูดด้วยเสียงที่จวนจะร้องไห้เต็มที นักสืบอาเกจิและเจ้าหนุ่มจิโรเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ทั้งสองจึงต้องตัดใจยอมทำตามที่ฟุมิโยะบอก อาเกจิปลดผ้าคาดเอวกิโมโนของเขาเอามามัดฟุมิโยะไว้กับเสาที่ห้องโถงทางเข้าบ้านพอเป็นพิธี

พอดีกับตอนนั้นเองที่สมุนโจร(คนที่ทำหน้าที่ฝังศพของโยโกะในป่า)แอบย่องออกจากห้องด้านในของบ้าน ไปซุ่มตัวอยู่ในห้องเล็ก ๆ ข้างห้องโถงทางเข้าบ้านแล้วลอบมองเหตุการณ์อยู่หลังบานประตู โดยที่คนทั้งสามไม่รู้ตัว

ในห้องเล็กนั้นมีหีบสีดำคล้ายหีบศพอยู่ใบหนึ่งซึ่งคงเป็นเครื่องมือเล่นกล แม้แต่ฟุมิโยะก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าในหีบใบนั้นมีอะไร ซึ่งถ้ารู้เธอต้องไม่โง่ที่จะชักนำอาเกจิมาที่นี่แน่

พอมัดฟุมิโยะติดไว้กับเสาเรียบร้อยแล้วนักสืบอาเกจิกับเจ้าหนุ่มจิโรก็ตกลงกันว่าควรสำรวจความเคลื่อนไหวของศัตรูก่อนที่จะเรียกตำรวจเข้ามา ชายหนุ่มทั้งสองพากันย่องกริบ ลึกเข้าไป ลึกเข้าไปในเรือนราวกับหัวขโมย
ระเบียงทางเดินที่หักมุมไปนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงใด ๆ ลอดออกมาจากห้องทั้งสองฟาก มีแต่แสงสลัวที่ลอดเข้ามาทางช่องระบายลมตรงสุดทางระเบียงเท่านั้น ปีศาจฆาตกรน่าจะอยู่ในห้องนั้น...

นักสืบอาเกจิย่องเข้าไปที่ประตูห้องแล้วมองลอดรูกุญแจเข้าไปดูความเป็นไปภายในห้อง...อยู่ มันอยู่ในนั้น มันเปลี่ยนเสื้อผ้า และหน้าขาววอกก็ถูกล้างแป้งออกหมดแล้ว แต่ชายคนที่นั่งท้าวข้อศอกกับโต๊ะและจิบเหล้าสาเกจากถ้วยใบน้อยนั้นไม่ใช่ใครอื่น...มันคือปีศาจฆาตรกร รูกุญแจแคบเกินไปทำให้เขามองไม่เห็นชายอีกคนหนึ่ง แต่ก็คิดว่าคงจะนั่งจิบสาเกอยู่ตรงข้ามนายของมัน

ที่น่าแปลกคือเจ้าปีศาจได้แต่จิบเหล้าสาเกอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จาอะไรเลย หรือมันจะนั่งจ้องหน้ากันเงียบ ๆ หรือว่า...หรือว่ามัน...

“ผมคิดว่าเราประมาทไม่ได้แล้วละ”

นักสืบเอกผละจากประตูกำลังจะเปลี่ยนแผนใหม่ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว มีอะไรแข็ง ๆ กระแทกเข้ามาที่หลังพร้อมกับเสียงขู่เหี้ยมเกรียม

“ยกมือขึ้น”

ไม่รู้ว่ามันแอบมาตั้งแต่เมื่อไร มาเห็นเอาก็เมื่อสมุนโจรตัวร้ายถือปืนสองมือจ่ออยู่ที่หลังของอาเกจิและจิโร อารามตกใจกับการจู่โจมอย่างไม่คาดฝัน สองหนุ่มจึงไม่มีเวลาคิดทำอะไรอย่างอื่นนอกจากยกมือขึ้นตามที่มันสั่ง

“ออกมาเถิดครับนาย ผมจับมันได้แล้ว”

พอสิ้นเสียงเรียก ประตูห้องก็เปิดออก นักสืบเอกกับปีศาจฆาตกรเผชิญหน้ากันเป็นครั้งที่สอง แต่ทั้งสองคนตีหน้าเฉยไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด

“ขอบคุณที่กรุณามาเยี่ยมเยือน ความจริงผมก็คอยพบคุณอยู่เพราะนึกแล้วว่ามันคงจะเป็นอย่างนี้”

ปีศาจร้ายทักท้ายอย่างเย้ยหยันพร้อมยิ้มแสยะน่าขยะแขยง นักสืบอาเกจินิ่งเฉยเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อปากต่อคำในสถานการณ์เช่นนี้

“แล้วนี่จะให้ผมเรียกคุณว่ายังไงดี”

ปีศาจทำท่าลำพองใจ พูดเน้นทุกคำพูดพลางถูมือไปมาราวกับสนุกกับรสชาติของคำแต่ละคำของมัน

“ตาเฒ่าโอโตคิจิ หรือว่า อาเกจิ โคโงโร แต่ก็เอาเถอะเรื่องนี้พักไว้ก่อน คุณอุตส่าห์มาถึงที่นี่ เห็นจะต้องให้ชมมายากลที่เป็นสินค้าของผมสักหน่อย จะเตรียมอาหารการกินต้อนรับก็ไม่มีปัญญา ดูมายากลแทนก็แล้วกันนะครับ”

“เชิญทางนี้เลยขอรับนาย”

สมุนโจรเชิญนายของมันอย่างสุภาพ ขณะที่ใช้ปืนสองกระบอกจ่อหลังเชลยของมันราวกับต้อนวัวต้อนควายกลับไปทางห้องโถงทางเข้าบ้าน นักสืบอาเกจิกับจิโรไม่มีทางอื่นนอกจากเดินกลับไปที่ประตูทางเข้าบ้านอย่างว่าง่าย โดยมีเจ้าปีศาจหัวหน้าโจรตามมาติด ๆ

“เอาละ คุณอาเกจิดูนี่ ดูหน้าลูกสาวฉันที่คุณมัดเอาไว้ที่ตะกี้”

นักสืบเอกถูกดันด้วยปลายประบอกปืนจนเสียหลักเซไปข้างหน้า หวุดหวิดชนกับฟุมิโยะ และวินาทีที่ปลายกระบอกปืนหลุดออกไปจากแผ่นหลังของเขานั้นเอง อาเกจิก็กระโจนเข้าไปทางด้านหลังของหญิงสาวจับตัวไว้เป็นโล่กำลัง ชักปืนที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมีอยู่ออกมาจากกระเป๋า แล้วจ่อในท่าเตรียมยิงเข้าที่ศีรษะของฟุมิโยะซึ่งอยู่ในสภาพคอพับคออ่อน เสียใจที่ต้องทำเช่นนั้น...แต่ในภาวะจวนตัวมันมีอยู่วิธีเดียว แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ยิง แค่อาศัยเป็นหลักยึดในการต่อรองกับศัตรูเท่านั้นเอง

ร้ายกาจอะไรเช่นนั้น เจ้าปีศาจฆาตกรหัวเราะงอหาย

“ยิงเลย ยิงเลยครับ ผมจะไม่เสียใจอะไรเลยกับการตายของนางผู้หญิงคนนั้นแต่กลับอยากขอบใจคุณเสียอีก”

“แน่ใจแล้วรึ ถ้าฉันยิง นอกจากลูกสาวแกจะบาดเจ็บแล้ว เสียงปืนยังจะเรียกให้ตำรวจที่ล้อมบ้านอยู่บุกเข้า”

อาเกจิ โคโงโรเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก ดวงตาของเขาลุกโชติช่วงราวเปลวไฟด้วยความโกรธแค้น ไม่คิดว่าคนเราจะเหี้ยมโหดกว่าสัตว์ป่าได้ถึงขนาดนี้

“แน่นอน เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะไม่คิด ตำรวจจะเข้ามากี่ร้อยก็เชิญ คุณฆ่านางนั่นก็เหมือนช่วยฉัน พอตำรวจเข้ามาคุณก็ถูกจับในฐานะที่เป็นพวกของฉันคนหนึ่ง” ปีศาจฆาตกรหัวเราะเย้ยหยันจนงอหาย “คุณอาเกจิ ผมว่าคุณสงบอกสงบใจไว้ดีกว่า แล้วดูหน้านางคนนั้นดี ๆ “

พอได้ยินนักสืบอาเกจิก็อดที่จะใจหายวาบจนตัวเย็นเฉียบ กวาดสายตาไปทั่วร่างที่ถูกมัดไว้กับเสาท่ามกลางแสง ซีด ๆ ของดวงไฟ...เอ๊ะ ไม่ใช่แล้ว ความจริงก็จำไม่ได้ชัดเจนนักหรอกแต่เสื้อผ้าชุดนั้นมันไม่ใช่...แล้วนี่หมายความว่าอย่างไร ในชั่วเวลาสองสามนาทีมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ นักสืบเอกรวบรวมความกล้าก้มลองมองหน้าที่ก้มหลุบลงไปแล้วก็ได้คำตอบ...ร่างนั้นไม่ใช่ฟุมิโยะ แต่เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ทั้งอาเกจิและจิโรรู้จักดี

ปีศาจร้ายเล่นกลได้แนบเนียนอย่างน่าอัศจรรย์ ชั่วเวลาสองสามนาทีมันสามารถเปลี่ยนตัวผู้หญิงได้ และยิ่งกว่านั้นทำไมจึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้...ทำไม

ขนาดอาเกจิ โคโงโรยังอุทานออกมาได้เพียงคำเดียว แล้วตกตะลึงตาค้าง หมดสภาพความเป็นนักสืบเอก ไร้พลังความสามารถที่จะวางแผนเอาชนะปีศาจร้ายต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น