บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
“คุณ...อย่าบอกนะว่าคุณคือ...ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ นี่มันเรื่องโกหกชัด ๆ”
จิโรพูดจาเกือบไปเป็นภาษามนุษย์ หน้าซีดขาวตาเบิกโพลง ถอยเปะปะไปข้างหลัง
“เข้าใจหรือยัง”
ชายหนุ่มอึกอักยืนตลึงอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเปิดปากเอ่ยชื่อบุรุษที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้าออกไปในทันที จนในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบว่า
“คุณอาเกจิ โคโงโร”
“ใช่”
อาเกจิ โคโงโรในคราบของตาเฒ่าโอโตคิจิตอบสั้น ๆ ด้วยเสียงหนักแน่น
“แต่ฉันไม่เชื่อ เพราะนักสืบอาเกจิ โคโงโรคนนั้น ตายไปตั้งหลายวันมาแล้ว”
“เชื่อซิครับ คุณก็เห็นนี่ว่าผมยืนหายใจเป็นปกติอยู่ตรงนี้จริง ๆ”
“แล้วข่าวในหนังสือพิมพ์พวกนั้นล่ะคุณจะว่ายังไง ข่าวบอกว่าศพคุณลอยมาเกยฝั่งที่สึกิชิมะไม่ใช่รึ แล้วยังงานพิธีเคารพศพที่บ้านสารวัตรนามิโคชิ กับงานเผาศพที่จัดกันใหญ่โตนั่นอีก”
“ทั้งหมดนั่นเราจัดขึ้นอย่างกระทันหันเพื่อตบตาฆาตกรครับ ฆาตกรรายนี้ใจเหี้ยมและมีพฤติกรรมลึกลับซับซ้อนกว่าที่เคยมีมาในประวัติการณ์ ผมเข้ามาขวางทางพอดีกับตอนที่มันกำลังจะลงมือฆ่าล้างตระกูลหลังจากที่ได้คิดแผนมานานถึงสี่สิบปี เลยถูกกำจัดด้วยการลักพาตัวไปเสียให้พ้นทาง ฆาตกรมีเล่ห์กลมายาเหนือเมฆมากไม่อาจรับมือด้วยกลยุทธ์ปราบเหล่าร้ายแบบพื้น ๆ คดีประหลาดพิสดารแบบนี้จำเป็นต้องจัดการด้วยกลยุทธ์ที่ประหลาดพิสดารสูงขั้นขึ้นไปอีก ผมปรึกษากับสารวัตรนามิโคชิแล้วและเล่นละครแบบโลดโผนสุด ๆ ไปเลย หนังสือพิมพ์ถึงกับช็อค คนอ่านก็พลอยช็อคกันไปหมด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะทำให้ฆาตกรประมาทคิดว่าหมดเสี้ยนหนามแล้ว ผมจำเป็นที่จะต้องทำให้ฆาตกรคิดว่าผมตายแล้ว จะได้ปลอมตัวเป็นตาเฒ่าเข้าไปคอยคุ้มครองสวัสดิภาพของพวกคุณอยู่ในคฤหาสน์ทามามุระได้อย่างแนบเนียน”

เมื่อเรื่องราวคลี่คลายออกมาอย่างนี้โล่งใจไปที ตาเฒ่าโอโตคิจิที่ไปเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวที่เกิดเหตุทุกครั้งที่เกิดเหตุอาชญากรรมเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นคนร้ายนั้น ที่แท้ก็เป็นนักสืบเอกปลอมตัวมา ทาเอโกะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด และอิจิโรรอดจากการถูกบั่นคอด้วยเข็มนาฬิกายักษ์บนหอปีศาจมาได้ก็เพราะความชาญฉลาดในการมองรูปการและการตัดสินใจเคลื่อนไหวอย่างฉับไวของ อาเกจิ โคโงโร นักสืบเอกรูปงามผู้นี้เอง
ที่ยังไม่เข้าใจคือ นักสืบเอกในร่างของตาเฒ่าคนทำความสะอาดสวนมีเหตุผลอะไรถึงได้ยิงกระสุนด้วยง่ามหนังสติ๊กไปที่ทะเอโกะ เรื่องนี้นักสืบเอกชี้แจงในภายหลังว่า ตอนนั้นน้องสาวของเจ้าหนุ่มจิโรกำลังจะดื่มน้ำชาใส่ยาพิษเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะร้องเอะอะขึ้นมาฆาตกรที่อาจยังแฝงตัวอยู่แถวนั้นจะหนีหลุดมือไปได้ พอดีเขามีง่ามหนังสติ๊กอยู่ในมือก็เลยยิงถ้วยชาแตกเสียเท่านั้นเอง
“เข้าใจแล้วครับ เสียใจมากที่เข้ามายุ่งจนเสียเรื่องไปหมด แต่เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ผมว่าเรานิ่งเฉยอยู่ไม่ได้แล้วละครับ ต้องรีบกลับไปที่โรงละครเดี๋ยวนี้เลย และแจ้งตำรวจด้วย”
เมื่อมาถึงตอนนี้เจ้าหนุ่มจิโรชักจะเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางสงบราบคาบของนักสืบอาเกจิเสียแล้ว
“ไม่ครับ คุณกลับคฤหาสน์ไปดีกว่า ผมจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น”
นักสืบเอกพูดแปลก ๆ
“ทำไมครับ”
“ผมไม่ชอบวิธีที่พวกตำรวจเขาทำ ๆ กันอยู่หรอกนะ อย่างเช่นจะกวดตามผู้ร้ายไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันสายไปแล้ว เสียเวลาเปล่าครับ เพราะคนมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างมันคงไม่มีทางพลาดให้เราจับได้ อย่างคืนนี้ มันต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้อย่างแยบยลแน่นอน จนป่านนี้แล้วคุณยังจะให้ตำรวจไปล้อมโรงละครนั่นเพื่อดักจับมัน อย่างนั้นรึ บอกได้คำเดียวว่าสายไปแล้วครับ ตอนนี้โรงละครนั่นเหลือแต่โครงเปล่า ๆ ”
“แล้วจะทำยังไงกันต่อไป”
“คุณก็กลับบ้าน นอนหลับให้สบาย แต่ขออย่างเดียวอย่าบอกใครเป็นอันขาดแม้แต่คนในครอบครัวว่า อาเกจิ โคโงโร ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้สำคัญจริง ๆ ครับ นอกจากที่ผมขอร้องเรื่องนี้แล้วคุณไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ผมจะเป็นธุระเองทั้งหมด ตอนนี้แปลงตัวเป็นตาเฒ่าโอโตคิจิไม่ได้แล้ว แต่ผมก็มีแผนรองรับขั้นที่สองที่แตกต่างกันทุกอย่าง...”
นักสืบอาเกจิหยุดพูดอย่างกระทันหัน สีหน้าภายใต้แสงริบหรี่ของไฟแช็คดูตื่นเต้นและวาววามขึ้นมาราวกับกำลังมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับอะไรสักอย่าง
วินาทีต่อมาขณะที่เจ้าหนุ่มจิโรยังไม่ทันตั้งตัว นักสืบเอกร่างก็ย่อร่างสูงเพรียวของเขาลงแล้วหันขวับพุ่งตัวเข้าไปในความมืดทางด้านหลัง
“โอ้ย” จิโรได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ตามมันไป ตามไปเดี๋ยวนี้เลย” นักสืบเอกตะโกนก้องกังวานไปทั้งป่าพร้อมเร่งฝีเท้ากวดตามคนร้ายที่วิ่งหนีหลบหลีกต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางความมืดมิดด้วยความแรงเร็วไม่แพ้กันราวลมกรดกำลังโหมผ่าน
เหตุเกิดเพราะคนร้ายหวนกลับมาซุ่มดูความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองอยู่ห่าง ๆ นักสืบอาเกจิรู้สึกผิดสังเกตจึงกระโจนเข้าใส่พร้อมกับขว้างก้อนหินไปถูกมันอย่างจัง
“ไม่ใช่แล้ว บ้าชะมัด มันยังอยู่แถวนี้ ...ไอ้นี่มันต้องเป็นพวกลูกกะจ๊อกที่ถูกใช้ให้มาแอบซุ่มดูเราในป่า เราอาจยังมีหวังนะคุณ จ่าฝูงอาจยังอยู่ที่โรงละครก็ได้”
อาเกจิวิ่งพลางตะโกนบอกจิโร เสียงขาดเป็นห้วง ๆ ขณะวิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ปีศาจฆาตกรตัวหัวหน้าต้องยังไม่รู้ว่าศพอันน่าอนาจของโยโกะถูกค้นพบแล้ว และโจรใจเหี้ยมโหดอาจหาญอย่างมันก็คงแสดงมายากลบนเวทีต่อไปอย่างหน้าตาเฉย
เมื่อได้ยินนักสืบเอกบอกว่ายังมีความหวังที่จะจับตัวศัตรูผู้สังหารคนรัก เพลิงความเคียดแค้นชิงขังที่มีต่อมายากรปีศาจใจโหดก็พลุ่งขึ้นมาเผาผลาญจิตใจของเจ้าหนุ่มจิโรที่วิ่งกวดตามมาติด ๆ ให้ร้อนรุ่มเหลือที่จะกล่าว
ถ้าได้ตัวมันมา ถึงจะเตะต่อยทุบตี กระทืบซ้ำ ควักลูกตาสองข้าง และเลาะฟันออกทีละซี่ก็คงจะยังไม่สาแก่ใจ เจ้าหนุ่มคิดด้วยความแค้นรุนแรงราวบ้าคลั่ง
ทั้งคนหนีและคนตามวิ่งตะบึงไปข้างหน้า ในท่ายืดคอสุดเหยียดลำตัวทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นดินราวกับการวิ่งของม้าแข่ง ไม่มีใครชะลอรอใคร
ฝ่ายกวดตามประชิดตัวคนร้ายเข้าไปในระยะแปดเมตร หกเมตร สี่เมตรตามลำดับ และใกล้เข้าในจนจังหวะหนึ่ง มือขวาของอาเกจิแตะไหล่คนร้ายได้อย่างเฉียดฉิว...แต่น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ เพราะถึงเส้นชัยเสียแล้ว
โรงละครตั้งอยู่มุมซอยโดยประตูทางเข้าของผู้ชมการแสดงอยู่ทางด้านถนน ส่วนประตูทางเข้าสำหรับนักแสดงอยู่ด้านหลังซึ่งต้องเข้าซอยไป
การที่ผู้ร้ายวิ่งกลับมาที่โรงละครแล้ววิ่งอ้าวยังประตูด้านหลังเช่นนี้แสดงว่าจ่าฝูงของมันยังอยู่ในนั้น ลูกน้องที่จงรักภักดีอย่างมันจะต้องรีบรุดไปแจ้งเหตุร้ายแก่จ่าฝูงแน่นอน
“คุณซุ่มดูอยู่ตรงนี้” นักสืบเอกหันมาสั่งเจ้าหนุ่มจิโร “ซอยนี้เป็นซอยตันพวกมันไม่มีทางหนีไปไหนได้นอกจากออกมาทางนี้ ถ้าเห็นใครท่าทางเป็นนักเล่นกลผ่านออกมาจับตัวมันไว้เลย แล้วบอกให้คนเฝ้าประตูโรงละครโทรแจ้งตำรวจ เข้าใจนะ
นักสืบอาเกจิทิ้งเจ้าหนุ่มจิโรไว้ที่ปากซอยก่อนวิ่งไปที่ประตูทางเข้าหลังเวที
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
“คุณ...อย่าบอกนะว่าคุณคือ...ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ นี่มันเรื่องโกหกชัด ๆ”
จิโรพูดจาเกือบไปเป็นภาษามนุษย์ หน้าซีดขาวตาเบิกโพลง ถอยเปะปะไปข้างหลัง
“เข้าใจหรือยัง”
ชายหนุ่มอึกอักยืนตลึงอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเปิดปากเอ่ยชื่อบุรุษที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้าออกไปในทันที จนในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบว่า
“คุณอาเกจิ โคโงโร”
“ใช่”
อาเกจิ โคโงโรในคราบของตาเฒ่าโอโตคิจิตอบสั้น ๆ ด้วยเสียงหนักแน่น
“แต่ฉันไม่เชื่อ เพราะนักสืบอาเกจิ โคโงโรคนนั้น ตายไปตั้งหลายวันมาแล้ว”
“เชื่อซิครับ คุณก็เห็นนี่ว่าผมยืนหายใจเป็นปกติอยู่ตรงนี้จริง ๆ”
“แล้วข่าวในหนังสือพิมพ์พวกนั้นล่ะคุณจะว่ายังไง ข่าวบอกว่าศพคุณลอยมาเกยฝั่งที่สึกิชิมะไม่ใช่รึ แล้วยังงานพิธีเคารพศพที่บ้านสารวัตรนามิโคชิ กับงานเผาศพที่จัดกันใหญ่โตนั่นอีก”
“ทั้งหมดนั่นเราจัดขึ้นอย่างกระทันหันเพื่อตบตาฆาตกรครับ ฆาตกรรายนี้ใจเหี้ยมและมีพฤติกรรมลึกลับซับซ้อนกว่าที่เคยมีมาในประวัติการณ์ ผมเข้ามาขวางทางพอดีกับตอนที่มันกำลังจะลงมือฆ่าล้างตระกูลหลังจากที่ได้คิดแผนมานานถึงสี่สิบปี เลยถูกกำจัดด้วยการลักพาตัวไปเสียให้พ้นทาง ฆาตกรมีเล่ห์กลมายาเหนือเมฆมากไม่อาจรับมือด้วยกลยุทธ์ปราบเหล่าร้ายแบบพื้น ๆ คดีประหลาดพิสดารแบบนี้จำเป็นต้องจัดการด้วยกลยุทธ์ที่ประหลาดพิสดารสูงขั้นขึ้นไปอีก ผมปรึกษากับสารวัตรนามิโคชิแล้วและเล่นละครแบบโลดโผนสุด ๆ ไปเลย หนังสือพิมพ์ถึงกับช็อค คนอ่านก็พลอยช็อคกันไปหมด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะทำให้ฆาตกรประมาทคิดว่าหมดเสี้ยนหนามแล้ว ผมจำเป็นที่จะต้องทำให้ฆาตกรคิดว่าผมตายแล้ว จะได้ปลอมตัวเป็นตาเฒ่าเข้าไปคอยคุ้มครองสวัสดิภาพของพวกคุณอยู่ในคฤหาสน์ทามามุระได้อย่างแนบเนียน”
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายออกมาอย่างนี้โล่งใจไปที ตาเฒ่าโอโตคิจิที่ไปเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวที่เกิดเหตุทุกครั้งที่เกิดเหตุอาชญากรรมเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นคนร้ายนั้น ที่แท้ก็เป็นนักสืบเอกปลอมตัวมา ทาเอโกะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด และอิจิโรรอดจากการถูกบั่นคอด้วยเข็มนาฬิกายักษ์บนหอปีศาจมาได้ก็เพราะความชาญฉลาดในการมองรูปการและการตัดสินใจเคลื่อนไหวอย่างฉับไวของ อาเกจิ โคโงโร นักสืบเอกรูปงามผู้นี้เอง
ที่ยังไม่เข้าใจคือ นักสืบเอกในร่างของตาเฒ่าคนทำความสะอาดสวนมีเหตุผลอะไรถึงได้ยิงกระสุนด้วยง่ามหนังสติ๊กไปที่ทะเอโกะ เรื่องนี้นักสืบเอกชี้แจงในภายหลังว่า ตอนนั้นน้องสาวของเจ้าหนุ่มจิโรกำลังจะดื่มน้ำชาใส่ยาพิษเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะร้องเอะอะขึ้นมาฆาตกรที่อาจยังแฝงตัวอยู่แถวนั้นจะหนีหลุดมือไปได้ พอดีเขามีง่ามหนังสติ๊กอยู่ในมือก็เลยยิงถ้วยชาแตกเสียเท่านั้นเอง
“เข้าใจแล้วครับ เสียใจมากที่เข้ามายุ่งจนเสียเรื่องไปหมด แต่เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ผมว่าเรานิ่งเฉยอยู่ไม่ได้แล้วละครับ ต้องรีบกลับไปที่โรงละครเดี๋ยวนี้เลย และแจ้งตำรวจด้วย”
เมื่อมาถึงตอนนี้เจ้าหนุ่มจิโรชักจะเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางสงบราบคาบของนักสืบอาเกจิเสียแล้ว
“ไม่ครับ คุณกลับคฤหาสน์ไปดีกว่า ผมจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น”
นักสืบเอกพูดแปลก ๆ
“ทำไมครับ”
“ผมไม่ชอบวิธีที่พวกตำรวจเขาทำ ๆ กันอยู่หรอกนะ อย่างเช่นจะกวดตามผู้ร้ายไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันสายไปแล้ว เสียเวลาเปล่าครับ เพราะคนมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างมันคงไม่มีทางพลาดให้เราจับได้ อย่างคืนนี้ มันต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้อย่างแยบยลแน่นอน จนป่านนี้แล้วคุณยังจะให้ตำรวจไปล้อมโรงละครนั่นเพื่อดักจับมัน อย่างนั้นรึ บอกได้คำเดียวว่าสายไปแล้วครับ ตอนนี้โรงละครนั่นเหลือแต่โครงเปล่า ๆ ”
“แล้วจะทำยังไงกันต่อไป”
“คุณก็กลับบ้าน นอนหลับให้สบาย แต่ขออย่างเดียวอย่าบอกใครเป็นอันขาดแม้แต่คนในครอบครัวว่า อาเกจิ โคโงโร ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้สำคัญจริง ๆ ครับ นอกจากที่ผมขอร้องเรื่องนี้แล้วคุณไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ผมจะเป็นธุระเองทั้งหมด ตอนนี้แปลงตัวเป็นตาเฒ่าโอโตคิจิไม่ได้แล้ว แต่ผมก็มีแผนรองรับขั้นที่สองที่แตกต่างกันทุกอย่าง...”
นักสืบอาเกจิหยุดพูดอย่างกระทันหัน สีหน้าภายใต้แสงริบหรี่ของไฟแช็คดูตื่นเต้นและวาววามขึ้นมาราวกับกำลังมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับอะไรสักอย่าง
วินาทีต่อมาขณะที่เจ้าหนุ่มจิโรยังไม่ทันตั้งตัว นักสืบเอกร่างก็ย่อร่างสูงเพรียวของเขาลงแล้วหันขวับพุ่งตัวเข้าไปในความมืดทางด้านหลัง
“โอ้ย” จิโรได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ตามมันไป ตามไปเดี๋ยวนี้เลย” นักสืบเอกตะโกนก้องกังวานไปทั้งป่าพร้อมเร่งฝีเท้ากวดตามคนร้ายที่วิ่งหนีหลบหลีกต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางความมืดมิดด้วยความแรงเร็วไม่แพ้กันราวลมกรดกำลังโหมผ่าน
เหตุเกิดเพราะคนร้ายหวนกลับมาซุ่มดูความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองอยู่ห่าง ๆ นักสืบอาเกจิรู้สึกผิดสังเกตจึงกระโจนเข้าใส่พร้อมกับขว้างก้อนหินไปถูกมันอย่างจัง
“ไม่ใช่แล้ว บ้าชะมัด มันยังอยู่แถวนี้ ...ไอ้นี่มันต้องเป็นพวกลูกกะจ๊อกที่ถูกใช้ให้มาแอบซุ่มดูเราในป่า เราอาจยังมีหวังนะคุณ จ่าฝูงอาจยังอยู่ที่โรงละครก็ได้”
อาเกจิวิ่งพลางตะโกนบอกจิโร เสียงขาดเป็นห้วง ๆ ขณะวิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ปีศาจฆาตกรตัวหัวหน้าต้องยังไม่รู้ว่าศพอันน่าอนาจของโยโกะถูกค้นพบแล้ว และโจรใจเหี้ยมโหดอาจหาญอย่างมันก็คงแสดงมายากลบนเวทีต่อไปอย่างหน้าตาเฉย
เมื่อได้ยินนักสืบเอกบอกว่ายังมีความหวังที่จะจับตัวศัตรูผู้สังหารคนรัก เพลิงความเคียดแค้นชิงขังที่มีต่อมายากรปีศาจใจโหดก็พลุ่งขึ้นมาเผาผลาญจิตใจของเจ้าหนุ่มจิโรที่วิ่งกวดตามมาติด ๆ ให้ร้อนรุ่มเหลือที่จะกล่าว
ถ้าได้ตัวมันมา ถึงจะเตะต่อยทุบตี กระทืบซ้ำ ควักลูกตาสองข้าง และเลาะฟันออกทีละซี่ก็คงจะยังไม่สาแก่ใจ เจ้าหนุ่มคิดด้วยความแค้นรุนแรงราวบ้าคลั่ง
ทั้งคนหนีและคนตามวิ่งตะบึงไปข้างหน้า ในท่ายืดคอสุดเหยียดลำตัวทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นดินราวกับการวิ่งของม้าแข่ง ไม่มีใครชะลอรอใคร
ฝ่ายกวดตามประชิดตัวคนร้ายเข้าไปในระยะแปดเมตร หกเมตร สี่เมตรตามลำดับ และใกล้เข้าในจนจังหวะหนึ่ง มือขวาของอาเกจิแตะไหล่คนร้ายได้อย่างเฉียดฉิว...แต่น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ เพราะถึงเส้นชัยเสียแล้ว
โรงละครตั้งอยู่มุมซอยโดยประตูทางเข้าของผู้ชมการแสดงอยู่ทางด้านถนน ส่วนประตูทางเข้าสำหรับนักแสดงอยู่ด้านหลังซึ่งต้องเข้าซอยไป
การที่ผู้ร้ายวิ่งกลับมาที่โรงละครแล้ววิ่งอ้าวยังประตูด้านหลังเช่นนี้แสดงว่าจ่าฝูงของมันยังอยู่ในนั้น ลูกน้องที่จงรักภักดีอย่างมันจะต้องรีบรุดไปแจ้งเหตุร้ายแก่จ่าฝูงแน่นอน
“คุณซุ่มดูอยู่ตรงนี้” นักสืบเอกหันมาสั่งเจ้าหนุ่มจิโร “ซอยนี้เป็นซอยตันพวกมันไม่มีทางหนีไปไหนได้นอกจากออกมาทางนี้ ถ้าเห็นใครท่าทางเป็นนักเล่นกลผ่านออกมาจับตัวมันไว้เลย แล้วบอกให้คนเฝ้าประตูโรงละครโทรแจ้งตำรวจ เข้าใจนะ
นักสืบอาเกจิทิ้งเจ้าหนุ่มจิโรไว้ที่ปากซอยก่อนวิ่งไปที่ประตูทางเข้าหลังเวที