xs
xsm
sm
md
lg

เปิดภูมิหลัง “โอมชินริเกียว” ลัทธิปีศาจสะเทือนญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นายโชโก อาซาฮาระ ผู้ก่อตั้งลัทธิโอมชินริเกียว และสาวกรวม 7 คนได้จบชีวิตตามคำสั่งประหารชีวิตของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น แต่ความโหดร้ายที่ลัทธินี้ได้ใช้แก๊สพิษสังหารผู้บริสุทธิ์ในรถไฟใต้ดินกลางกรุงโตเกียว และก่อคดีอาชญากรรมอีกมากมาย ทำให้โอมชินริเกียวถูกจารึกให้เป็นลัทธิที่สะเทือนญี่ปุ่นมากที่สุดในรอบหลายสิบปี

เว็บเพจ “บูรพาไม่แพ้” ได้นำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังลัทธิโอมชินริเกียว ดังนี้



โอมชินริเกียวคือลัทธิความเชื่อที่สะเทือนญี่ปุ่นมากที่สุดในรอบหลายสิบปี ไม่เพียงเพราะสาวกของลัทธิได้ก่อเหตุปล่อยก๊าซพิษทำลายประสาทบนรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ และก่ออาชญากรรมร้ายแรงอีกหลายคดี แต่ลัทธินี้ยังสามารถดึงดูดหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่มีการศึกษาและการงานดีมาเป็นสาวกได้หลายหมื่นคน มีการจัดตั้งองค์กรที่ใหญ่โต มีทรัพย์สินมากมาย จนสามารถซื้อและผลิตอาวุธที่สั่นคลอนแดนอาทิตย์อุทัยได้

เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นได้ลงนามในคำสั่งให้ประหารชีวิตบุคคล 7 คนที่เกี่ยวข้องกับลัทธิโอมชินริเกียว นายโชโก อาซาฮาระ ผู้ก่อตั้งลัทธิ และสาวกจบชีวิตลงหลังจากรอวันสุดท้ายของในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลนานกว่า 14 ปี

จากเด็กตาบอด สู่เจ้าลัทธิผู้หวังปลดปล่อยญี่ปุ่น

นายอาซาฮาระมีชื่อจริงว่า ชิซูโอะ มัตสึโมโตะ เกิดในครอบครัวฐานะยากจนในจังหวัดคุมาโมโต และมีพี่น้องมากถึง 7 คน เขามีปัญหาด้านการมองเห็นตั้งแต่เด็กทั้งตาซ้ายและตาขวาจนถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนคนตาบอด ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ไม่โดดเด่น แต่ก็ถือว่าเรียนดีถึงขนาดที่สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แต่เนื่องจากสอบไม่ผ่าน อาซาฮาระหันมาเปิดร้านขายยาในจังหวัดชิบะ และถูกดำเนินคดีในข้อหาขายยาโดยไม่มีใบอนุญาต

ในปี 1984 เขาเปิดโรงเรียนสอนโยคะ ซึ่งพัฒนามาเป็นลัทธิโอมชินริเกียวในเวลาแค่เพียง 3 ปี โอมชินริเกียวจดทะเบียนเป็นองค์กรศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของญี่ปุ่น และเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถดึงดูดผู้ที่มีการศึกษาสูง แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ทนายความเข้ามาเป็นสาวกทั่วประเทศญี่ปุ่นได้หลายหมื่นคน และยังขยายสำนักไปยังต่างประเทศที่รัสเซียด้วย

โอมชินริเกียวมีการจัดองค์กรที่ดีเยี่ยมไม่แตกต่างจากรัฐบาล โดยแบ่งงานเป็น “กระทรวง” ต่างๆ และให้สาวกหนุ่มสาวที่มีความสาวกมาเป็น “รัฐมนตรี” สาวกหลายรายถึงขนาดยอมละทิ้งครอบครัวมาอยู่ในที่พักของทางลัทธิ บริจาคเงินและทรัพย์สินมากมายให้กับอาซาฮาระ

ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามลัทธินี้มากว่า 10 ปีระบุว่า ในยุค 1980 ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจที่ดีมาก แต่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากกลับเหนื่อยหน่ายกับลัทธิบริโภคนิยมและการแข่งกันร่ำรวย พวกเขาต้องการความสุขทางใจมากกว่าความสุขจากวัตถุ จึงถูกดึงดูดให้เข้าสู่ลัทธิอย่างมืดบอดโดยไม่อาจใช้ความคิดได้ด้วยตนเอง และนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในที่สุด

นายอาซาฮาระ ผู้เป็นเจ้าลัทธิผสมผสานแนวคิดของฮินดู พุทธศาสนา คริสตศาสนาเพื่อดึงดูดสาวกได้อย่างไม่ลืมหูลืมตา บางคนถึงขนาดยอมดื่มน้ำที่นายอาซาฮาระอาบ และสวมหมวกไฟฟ้าที่อ้างว่าสามารถเชื่อมต่อกับสมองของนายอาซาฮาระ นายอาซาฮาระอ้างว่า เขาเป็นพระศิวะอวตาร และบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น วันสิ้นโลกจะมาถึงในไม่ช้า และเขาจะเป็นผู้นำพาสาวกทั้งหลายไปสู่การปลดปล่อย
กองกำลังป้องกันตนเองพร้อมอุปกรณ์ป้องกันก๊าซพิษเข้าควบคุมสถานการณ์ในกรุงโตเกียว หลังถูกโจมตีด้วยก๊าซพิษซาริน
สร้างอาณาจักรธุรกิจ ซื้ออาวุธรัสเซีย ผลิตอาวุธเคมี

โอมชินริเกียวไม่เพียงแต่มีเงินบริจาคมากมายจากบรรดาสาวก แต่ยังทำธุรกิจอาหารสุขภาพ จนสามารถซื้อที่ดิน ขยายสาขาต่าง ๆ ไปทั่วประเทศญี่ปุ่นและในต่างประเทศ และยังมีการจัดตั้งหน่วยล่าตัวผู้ทรยศที่ออกจากลัทธิไป ในปี 1989 ทนายความคนหนึ่งที่วิจารณ์ลัทธิโอมชินริเกียว ถูกสังหารโหดพร้อมภรรยาและลูกชายวัย 1 ขวบ จุดชนวนให้หน่วยงานความมั่นคงของญี่ปุ่นเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของลัทธินี้

ในปี 1990 อาซาฮาระพร้อมสาวกอีก 24 คนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเล่นตามเกมการเมืองในระบบไม่ได้ เขาก็กันไปเล่นเกมใต้ดินด้วยการติดต่อซื้อปืนกลและเฮลิคอปเตอร์จากรัสเซีย พร้อมจัดตั้งหน่วยพัฒนาอาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรค

ผู้ที่รับผิดชอบการผลิตอาวุธมรณะนี้ คือ สาวกคนสำคัญที่ถูกประหารพร้อมกับนายอาซาฮาระ ซึ่งมีทั้งแพทย์ นักเคมี นักชีววิทยาที่จบจากมหาวิทยาชื่อดัง โอมชินริเกียวผลิตทั้งแก๊สพิษซาริน อาวุธเชื้อไวรัส และสาร VX ที่ทำลายระบบปราสาท นายโทโมมาซะ นาคางะวะ แพทย์ที่ทำงานให้กับโอมชินริเกียวและถูกประหารชีวิตไปเคยเขียนจดหมายถึงหน่วยสืบสวนของมาเลเซียให้ข้อมูลว่า สารVX คือสารพิษที่ใช้ลอบสังหารนายคิม จ็องนัม พี่ชายของผู้นำแห่งเกาหลีเหนือที่มาเลเซีย แสดงให้เห็นว่าคนที่ทำงานให้ลัทธินี้ไม่ได้ “มาเล่นๆ”

วันที่ 27 มิถุนายน1994 สาวกโอมชินริเกียวปล่อยแก๊สพิษซารินที่กลางเมืองมัตสึโมโต จังหวัดนากาโน มีผู้เสียชีวิต 8 คนและบาดเจ็บกว่า 100 คน
วันที่ 20 มีนาคม 1995 สาวกโอมชินริเกียวปล่อยแก๊สพิษซารินในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ 13 คน มีผู้บาดเจ็บ 6,200 ราย โตเกียวกลายเป็นแดนมิคสัญญีที่ต้องใช้กองกำลังป้องกันตนเองพร้อมขุดป้องกันก๊าซพิษเข้าควบคุมสถานการณ์

หลังจากถูกจับกุมและดำเนินคดี สาวกของโอมชินริเกียวอ้างว่าการฆาตกรรมเป็นหนทางหนึ่งเพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติ ขณะที่เจ้าลัทธิอย่างอาซาฮาระปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าเขาได้ห้ามสาวกแล้ว แต่พวกเขาไม่เชื่อ หลังจากนั้นอาซาฮาระก็ไม่ปริปากอะไรในชั้นศาลอีกเลย พร้อมทำตัวเหมือนคนเสียสติ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับก่อนหน้านี้ที่ถึงขนาดเคยตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้หน่วยงานความมั่นคงของญี่ปุ่นอย่างดุเดือด ที่เพิกถอนให้โอมชินริเกียวเป็นลัทธินอกกฎหมาย

แกล้งบ้า หวังรอดโทษประหาร

นายอาซาฮาระถูกตัดสินโทษประหารชีวิตในปี 2004 และคดีสิ้นสุดในปี 2006 แต่เนื่องจากกฎหมายของญี่ปุ่นทำให้เขายังไม่ต้องเดินสู่ตะแลงแกงได้นานกว่า 10 ปี ในระหว่างที่อยู่ในคุก เจ้าลัทธิรายนี้มีท่าทางเหมือนคนประสาทหลอน ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือแกล้งเพราะกฎหมายของญี่ปุ่นระบุว่า จะไม่ประหารชีวิตคนที่สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์

วาระสุดท้ายของเจ้าลัทธิและแกนนำโอมชินริเกียวได้จบลงแล้ว แต่ลัทธินี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในลักษณะของกลุ่มต่าง ๆ ที่เปลี่ยนชื่อ และแพร่อุดมการณ์ผ่านทั้งบนดินและโลกออนไลน์ แต่เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นก็ทำได้เพียงเฝ้าจับตามอง และกำหนดให้กลุ่มเหล่านี้ต้องรายงานทรัพย์สิน และให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นหากจำเป็น บทเรียนที่ได้จากเหตุโจมตีของโอมชินริเกียว ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นได้ยกระดับการสืบสวนและป้องกันการโจมตีก่อการร้ายที่เป็นฝีมือกลุ่มลัทธิเช่นนี้

ในสายตาของหลายคน ญี่ปุ่นเป็นแดนแห่งความสุข สวัสดิการดีเยี่ยม ผู้คนเอื้ออาทร แต่สภาวะ “ไร้ที่พึ่งทางใจ” ทำให้ชาวญี่ปุ่นถูกดึงดูดให้เชื่อในลัทธิอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้ ไม่ว่าลัทธินั้นจะใช้ชื่อว่า โอมชินริเกียว หรือลัทธิก่อการร้ายอื่น ๆ ก็ตาม.


กำลังโหลดความคิดเห็น