บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
เจ้าหนุ่มจิโรไม่อาจเดินผ่านไปได้ เขาเปิดประตูไม้ระแนงก้าวเข้าไปในสวน เลข 8 เริ่มจากกลางลานทราย ทิ้งระยะตัวละประมาณ 2 เมตรเป็นแนวไปทางเรือนฝรั่ง จิโรเดินตามอักษรปริศนาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงมุมตึกฝรั่ง...
ชินอิจิหนุ่มน้อยวัยสิบขวบนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้น กำลังสาละวนอยู่กับการใช้เหล็กแหลมคล้ายตะปูขีดเขียนเลข 8 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตัวที่สิบกว่าเท่าไรแล้วลงบนพื้นดิน
“ชินจัง ทำไมถึงเขียนแต่เลข 8 อย่างนั้นล่ะ”
ชินอิจิสะดุ้งหันมามองคนทัก
“โอ๊ะ...คุณอานี่เอง เขาบอกว่าถ้าผมเขียนเลข 8 อย่างนี้ 64 ตัว จะพบกับอะไรดี ๆ ครับ”
“ใครบอกหนู”
“คนแปลกหน้าคนหนึ่งบอกผมครับ”
จิโรตัวเย็นขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล
“ที่ไหน”
“เมื่อกี้นี้เองครับ ตรงประตูใหญ่โน่น”
“เป็นคนท่าทางยังไง”
“อายุมากแล้วครับ แต่งตัวชุดฝรั่ง”
เป็นไปไม่ได้ ไม่อยากเชื่อว่านี่คือคำขู่ล่วงหน้าของฆาตกรใจโหดเช่นเดียวกับรายของนายฟุกุดะ ทว่าชายสูงอายุคนนั้นคือใคร และประสงค์อะไรจึงได้มาสอนเด็กชายน้อยให้ทำสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้
เจ้าหนุ่มจิโรกลับไปที่ห้องเขียนหนังสือของตนที่เรือนฝรั่งด้วยความรู้สึกเหมือนถูกฝันร้ายจู่โจมคุกคาม และเมื่อโผล่หน้าต่างมองลงไปก็เห็นเด็กชายชินอิจิ ยังก้มหน้าก้มตาเขียนเลข 8 อยู่อย่างขะมักเขม้น
ชายหนุ่มเห็นตาเฒ่าชื่อโอโตคิจิคนทำความสะอาดสวนที่เพิ่งจ้างเข้ามาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เดินออกมาจากด้านใน ถือง่ามหนังสติ๊กที่ทำเองจากกิ่งไม้ติดมือมาด้วย
“คุณหนู ตามีของดีอย่างหนึ่งจะให้ เอาไหมครับ”
ตาเฒ่าโอโตคิจิยิ้มพลางร้องทักเด็กชาย
“อะไรรึ ตา”
“ง่ามหนังสติ๊กไงล่ะ รู้จักไหมครับ”
“เอาไว้ทำอะไรรึ”
“ก็เอาไว้ยิงนก หรืออะไรก็ได้ นี่...ดูนี่นะ”
ตาเฒ่าพูดพลางเก็บก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาวางบนยางหนังสติ๊ก
“ตาเป็นนักยิงหนังสติ๊กมือฉมังเลยนะจะบอกให้ ตาจะยิงใบยาสึเดะใบใหญ่นั่นให้ดู ใบที่สองจากบนสุด ดูให้ดีนะคุณหนู...นั่นไง”
เชี๊ยะ...
“เห็นหรือยังครับ เก่งใช่ไหม เอาละทีนี้...แต่เอ๊ะ คุณพี่นั่งอยู่ที่ระเบียงนั่น กำลังดื่มอะไรอยู่...อ้าว ทำไมทำหน้านิ่วอย่างนั้นล่ะ...น้ำชาต้องขมแน่เลย คุณหนูดูนะ คราวนี้ตาจะยิงถ้วยนั่นให้ดู”
คำพูดของตาเฒ่านั้นแม้แต่เด็กชายชินอิจิก็ยังทำหน้าแปลกใจ แล้วผู้ใหญ่อย่างจิโรเล่ามีหรือจะไม่ตกใจเมื่อคิดว่าตาเฒ่าโอโตคิจิถ้าจะเสียสติไปแล้ว
เชี๊ยะ... ก้อนหินแล่นออกจากแหล่งพุ่งตรงไปยัง เสียงกระเบื้องแตกดังเปรื่องบนระเบียงชั้นเหนือขึ้นไปจากที่จิโรยืนอยู่ เขาได้ยินทาเอโกะอุทานเสียงแหลมด้วยความตกใจ นั่นหมายความว่ากระสุนของง่ามหนังสติ๊กที่ตาเฒ่ายิงขึ้นมานั้นถูกถ้วยชาตรงเป้าพอดี
ทาเอโกะคงออกมานั่งดื่มน้ำชาที่ระเบียงเพราะวันนั้นอากาศอุ่นกว่าที่ควรเป็นตามฤดูกาล
“ตาเล่นอะไรอย่างนั้น ตกใจหมดเลย”
“ขอประทานโทษครับคุณหนู ผม เล็งหนังสติ๊กไปที่นกกระจอกบนหลังคา ตั้งใจจะแสดงฝีมือให้คุณหนูชินอิจิดู แต่กลับพลาดไป”
ตาเฒ่าโกหกหน้าตาเฉย
“เฉียดไปนิดเดียว เกือบได้แผลแล้วไหมล่ะ หินนี่ก็ก้อนเขื่องทีเดียว เลิกเล่นซนแบบนี้ได้แล้ว”
ทาเอโกะบ่นอุบอิบ ตาเฒ่ายกมือขึ้นเกาหัวแล้วเงียบไป
เหตุการณ์ถึงจะมีเพียงเท่านี้และเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีสาระอะไร แต่สำหรับจิโรซึ่งประสาทกำลังตึงเครียดนั้นนับเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมองข้ามไปไม่ได้ ชายหนุ่มมองตามตาเฒ่าโอโตคิจิที่เดินกลับไป ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงราวกันว่าแกเป็นปีศาจฆาตกรใจเหี้ยมตัวจริง
เหตุการณ์แปลก ๆ 2 เรื่องที่ทำให้เจ้าหนุ่มจิโรเกิดความพิศวงสงสัยนั้นได้เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในวันรุ่งขึ้น ในวันต่อไป และต่อไป
วันรุ่งขึ้น จิโรซึ่งตื่นเช้ากว่าเคยออกไปเดินเล่นในสวน และพอเดินเรื่อย ๆ มาทางหน้าประตูทางเข้าเรือนฝรั่ง เจ้าหนุ่มพบตาเฒ่าโอโตคิจิกำลังใช้ผ้าเช็ดถูบานประตูด้วยท่าทางขยันขันแข็ง ทว่าเมื่อเพ่งมองไปก็พบว่าตาเฒ่าไม่ได้เช็ดถูทำความสะอาดประตูตามปกติ แต่กำลังเช็ดรอยชอล์กที่ใครสักคนมาขีดเขียดไว้บนประตู
จิโรหยุดชะงัก แล้วหลุดปากร้องบอกออกไป
“ตา...หยุดก่อน อย่าลบ”
ตาเฒ่าโอโตคิจิหยุดมือด้วยความตกใจ แกลบตัวอักษรออกไปเป็นส่วนใหญ่แล้วเหลือแต่เส้น ๆ เดียวที่ดูไม่มีความหมายอะไร
“ตาจำตัวหนังสือที่เขียนไว้ตรงนั้นได้นะ”
สายตาที่จ้องเขม็งอย่างเอาจริงเอาจังของจิโรทำเอาตาเฒ่าใจเต้นระทึก
“ครับ ไม่รู้ว่าใครมือบอน แย่จริง ๆ ครับ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตานึกดูให้ดี ๆ ตัวหนังสือที่ตาลบออกไปน่ะมันตัวอะไร คงไม่ใช่ตัวเลขหรอกนะ”
“ตัวเลข...เอ...จะว่าไปก็อาจเป็นตัวเลขก็ได้ ผมไม่ค่อยถนัดตัวหนังสือฝรั่ง อ่านไม่ค่อยออกครับ...อือม์ นั่นมันตัวเลขอะไรกันนะ”
“ตาลองเอานิ้วเขียนเป็นรูปเป็นร่างให้ดูซิ”
“ตัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นรูปเป็นร่างหรอกคุณ มีเส้นขีดขวางไปทางขวาแบบนี้ แล้วก็ลากเส้นเฉ ๆ ลงไปข้างล่าง”
“ตาเฒ่า...นั่นมันเลข 7 ไม่ใช่รึ”
“เออ...จริงด้วย เลข 7... เลข 7 ครับ”
เจ้าหนุ่มจิโรยืนตัวแข็งหน้าซีดขาว เมื่อวานนี้เลข 8 วันนี้เลข 7 จะว่าใครมือบอนเอาชอล์กมาเขียนเล่นก็ตามที แต่การพบตัวเลขที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเลขอะไรเช่นนี้จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ละหรือ และยิ่งเป็นลายมือแย่ ๆ อย่างคนมือบอนชอบขีดเขียนเล่นด้วยเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาแล้วอย่างเจ้าหนุ่มถึงกับขนลุก
วันรุ่งขึ้น จิโรเองตื่นขึ้นมาตั้งรับสถานการณ์ เจ้าหนุ่มรอคอยการค้นพบตัวเลขประหลาดนั้นอยู่นาน จนในที่สุดถึงกับต้องออกเดินหาเลข 6 ไปทั่วคฤหาสน์ เผื่อว่าจะพบที่ซอกมุมไหนสักแห่ง และแล้วก็พบตัวเลขประหลาดนั้นจริง ๆ โดยคราวนี้เด็กชายชินอิจิเป็นคนพบ
จิโรเดินหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอตัวเลขอะไรจึงเริ่มคิดว่าตนหวาดระแวงไปเองกับเรื่องที่ไม่มีมูลเหตุ และกลับไปที่ห้องส่วนตัวด้วยความรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ แต่พอกลับมาเข้ามาในห้องก็พบเด็กชายชินอิจิอยู่ที่นั่น พอเห็นหน้าเด็กชายก็ร้องทัก
“อาครับ ทำไมอาเล่นเปิดปฏิทินเอาไว้อย่างนี้ล่ะ วันนี้วันที่ 24 พฤศจิกายนต่างหาก แต่อาเปิดไว้ที่วันที่ 6 ธันวาคมนะ”
จิโรมองตามคำพูดของเด็กชายไปที่ปฏิทิน ก็เห็นเลข 6 เด่นชัดอยู่ตรงนั้น
“ชินจัง เล่นแผลง ๆ อย่างนี้ต้องเป็นฝีมือหนูแน่”
ผู้เป็นอาหัวเราะแต่เป็นหัวเราะที่ฟังดูฝืน ๆ เต็มทน เพราะรู้ดีว่าหลานชายไม่เล่นซนอะไรอย่างนั้น ต้องมีใครสักคนลอบเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขาแล้วฉีกปฏิทินให้แสดงตัวเลข 6 เด่นขึ้นมาแทนการเขียนอย่างสองรายแรก
จิโรพบตัวเลขสองตัวก่อนหน้านั้นที่นอกบ้านแต่ครั้งนี้พบในห้องส่วนตัวของเขาเอง แสดงว่าปีศาจฆาตกรบังอาจเข้ามาเดินไปรอบ ๆ คฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างอิสรเสรีโดยไม่มีใครเห็นตัวราวกับนักเล่นกล เมื่อมาถึงจุดนี้เจ้าหนุ่มคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานิ่งเงียบต่อไปอีกแล้ว
พลบค่ำวันรุ่งขึ้น นายทามามุระนั่งรถจากร้านในโตเกียวกลับคฤหาสน์ที่โอโมริโดยใช้เส้นทางถนนหลวงสายเคฮิน โดยมีจิโรลูกชายของเขานั่งมาด้วย ระยะนี้เจ้าหนุ่มคอยเฝ้าติดตามคุ้มครองบิดาด้วยความห่วงกังวลและเป็นทุกข์อย่างไม่มีใครสามารถประมาณได้
จิโรคิดอยากจะพูดอยากจะบอกบิดา แต่ก็พูดไม่ออกเพราะฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าหากทั้งหมดนั้นเป็นการเล่นตลก ๆ ของใครซักคนก็จะทำให้บิดาที่มีธุระยุ่งอยู่ตลอดนั้นต้องมาวิตกกังวลและเสียงานเสียการกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าหนุ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้จนกระทั่งรถแล่นผ่านสถานีรถไฟโอโมริเข้าเขตยามาโนเตะ
ตะวันตกดินแล้ว คนขับรถเปิดไฟหน้าสว่างเป็นลำไปข้างหน้า
“คุณพ่อครับ ผมว่าเราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ”
จิโรตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสามวันที่ผ่านมาให้บิดาฟังคร่าว ๆ นายทามามุระฟังแล้วหัวเราะและว่า
“นี่เจ้าหมายถึงไอ้ฆาตกรใจโหดนั่นรึ นี่เราก็ระวังตัวกันดีอยู่แล้วไม่ใช่รึ พ่อจ้างคนรับใช้เข้ามาใหม่ตั้งหลายคน ส่วนตัวพ่อเองเจ้าก็คอยเฝ้าระวังใกล้ชิดออกอย่างนี้”
“ไม่ได้ครับคุณพ่อ เราจะประมาทไม่ได้ ถ้าผมคาดไม่ผิดตอนนี้ไอ้ปีศาจฆาตกรมันเข้ามาในบ้านเราแล้วนะครับ”
“บ้าน่า เจ้าคิดไปเองแล้วละ ใครจะลักลอบเข้ามาเดินไปมาในบ้านของเราได้โดยไม่มีใครเห็น ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่มากมายขนาดนั้น ถ้าเป็นนักเล่นกลก็ไปอย่าง”
“นี่ไงครับที่ผมบอกคุณพ่อว่าอย่าประมาท เพราะมันคือนักมายากล คุณพ่อน่าจะรู้ดีแล้วจากเหตุฆาตกรรมคุณอาฟุกุดะ”
พ่อลูกถกเถียงกันยังไม่ทันจะจบ รถก็แล่นมาถึงเขตกำแพงรั้วที่ทอดยาวตลอดอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์ทามามุระ
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า วันนี้เลข 5 ก็จะต้องปรากฏให้เห็นใช่ไหม ดูเหมือนเจ้าจะฝังใจเชื่อเอาจริง ๆ จัง ๆ นะจิโร” นายทามามุระพูดเจือเสียงหัวเราะ
พอรถแล่นมาถึงหน้าประตูใหญ่ คนขับรถก็หักเลี้ยวพารถผ่านซุ้มประตูเข้าไปภายใน ลำแสงสีส้มของไฟหน้ารถส่องกราดเป็นวงไปบนกำแพงคอนกรีตข้างซุ้มประตู ดูราวภาพลวงตา
“ผมเชื่อเกือบทั้งหมดเลยละครับ เกือบ...”
จิโรพูดได้แค่นั้นก็ชะงักไปในอึดใจนั้น แล้วร้องสั่งคนขับรถ
“หยุดรถเดี๋ยวนี้ อย่าขยับเลยทีเดียว”
แล้วตะโกนบอกบิดาด้วยเสียงที่แปลกไปราวคนละคน
“คุณพ่อดูนั่น ดูนั่นซิครับ”
ดูนั่นซิ...ในวงลำแสงของไฟหน้ารถที่ฉายจับรั้วคอนกรีต เลข 5 ปรากฏขึ้นมาราวกับภาพกลุ่มเชื้อโรคที่เห็นเวลาส่องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชวนให้ขนลุก... ใช่ไหม นั่นเลข 5 ใช่ไหม

ตัวเลขที่ดูเหมือนภาพลวงตาบนกำแพงคอนกรีตไหวตัวเล็กน้อยตามแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ใช่...ตัวเลขที่เขียนด้วยหมึกดำบนกระจกครอบหลอดไฟหน้ารถ ถูกลำแสงส่องฉายไปจับเป็นเลขตัวใหญ่น่ากลัวบนกำแพงรั้ว
จะว่าโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ตาเฒ่าโอโตคิจิเดินออกมาต้อนรับ และพอเห็นตัวเลขในวงแสงบนกำแพงแกก็อุทานเสียงดังอย่างประหลาด
“ใครมาเขียนอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ พวกแกรึ”
นายทามามุระเกรี้ยวกราดเอากับคนขับรถ
“ผมไม่ทราบอะไรเลยครับท่าน ไม่รู้ว่าใครมาเขียนไว้เมื่อไร”
คนขับรถเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ คิดว่าคงมีใครแวบมาเขียนระหว่างที่รถจอดอยู่หน้าร้านที่โตเกียว
ตัวเลขที่ฉายอยู่ในวงแสงทำเอานายทามามุระเองไม่อาจหัวเราะความคิดของลูกชายที่เขามองว่าเกิดจากความ ขี้ขลาดได้อีกต่อไป ประมุขของคฤหาสน์ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างรับประทานอาหารกับคนในครอบครัว และกระจายข่าวให้คนรับใช้ในบ้านรับรู้ทั่วกัน ทั้งยังแจ้งเรื่องนี้ไปยังสารวัตรนามิโคชิและเจรจาขอให้สถานีตำรวจท้องที่เพิ่มจำนวนตำรวจนักสืบที่ส่งมาเฝ้าระวังด้วย
คฤหาสน์ทามามุระตอนนี้จึงมีบรรยากาศราวกับบ้านผีสิง คนในบ้านต่างเงี่ยหูจับเสียงที่ผิดปกติและแปลกหู จนถึงกับหวาดผวาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของกันและกัน
พอตกเย็นพระอาทิตย์ยังไม่ทันลับขอบฟ้า คนรับใช้ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปปิดประตูหน้าต่างและตรวจดูอย่างถี่ถ้วนว่าได้ปิดสนิทดีแล้วทุกบาน คนรับใช้วัยหนุ่มวางยามผลัดเปลี่ยนเวรกันเฝ้าคฤหาสน์กันโดยไม่หลับไม่นอน ส่วนที่หน้าประตูใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีตำรวจนอกเครื่องแบบมาประจำการเฝ้าระวังอยู่เคร่งครัดพร้อมเพรียง ไม่เปิดช่องให้ใครก็ตามแม้กระทั่งนักมายากลที่ไม่ว่าจะเก่งกาจปานใดเล็ดรอดเข้ามาได้
ถึงกระนั้น ตัวอักษรประหลาดก็ยังปรากฏให้เห็นเป็นที่สะดุดตาอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งภายในคฤหาสน์ไม่เว้นวัน จะพูดถึงทีละเรื่องอาจทำให้ผู้อ่านเบื่อกันเสียเปล่า ๆ จึงสรุปให้ฟังอย่างย่นย่อคือ รุ่งขึ้นจากวันนั้นพบเลข 4 เขียนด้วยหมึกดำบนขวดนมสดที่ทาเอโกะดื่มทุกเช้า วันต่อมาพบเลข 3 ปรากฏอยู่บนใบไม้แห้งใบหนึ่งที่ปลิวเข้ามาทางหน้าต่างห้องอ่านหนังสือของเจ้าหนุ่มจิโร พบเลข 2 ในวันต่อมา และในที่สุดก็พบเลข 1 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ถ้านั่นเป็นคำขู่ล่วงหน้าว่าเหลืออีก 1 วันแล้วละก็ เหตุร้ายจะต้องเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 30 พฤศจิกายน
เหยื่อฆาตกรรมรายแรกคือนายฟุกุดะ คนที่สองคือนักสืบเอกอาเกจิ โคโงโร แล้วคนต่อไปที่จะตกเป็นเป้าสังหารของปีศาจฆาตกรใจเหี้ยมคือใคร ปีศาจร้ายส่งคำขู่มาแต่ละวันเป็นคำเตือนให้รู้ถึงวันที่มันจะลงมือแต่ไม่ได้ระบุตัวเหยื่อ ความคลุมเครือเช่นนั้นยิ่งทำให้ทุกคนในบ้านหวาดผวาเสียขวัญกันเป็นทวีคูณ
เช้าวันที่ 30 ทุกคนในคฤหาสน์ไม่มีใครออกไปข้างนอก แต่มารวมตัวกันอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งตั้งแต่เช้า ต่างคนต่างพยายามข่มความหวาดกลัวด้วยกันเล่นเกมกันบ้างพูดคุยกันบ้าง นายทามามุระประมุขครอบครัวหยุดงานที่ร้าน ทั้งยังเกณฑ์พนักงานวัยฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงห้าหกคนแม้คนถูกสั่งจะไม่เต็มใจ มาเป็นกำลังสมทบป้องกันการจู่โจมของปีศาจร้ายอย่างแน่นหนาอีกด้วย
ทว่า จนกระทั่งพลบค่ำสถานการณ์ภายในคฤหาสน์สงบดีไม่มีวี่แววว่าจะเป็นไปตามคำขู่ สองทุ่มก็แล้ว สามทุ่มก็แล้วไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แม้ว่าทุกคนยังไม่วางใจถึงกับคิดว่า...โธ่เอ๋ย ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ก็เริ่มโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อคิดว่าการวางกำลังป้องกันคฤหาสน์อย่างแน่นหนาขนาดนี้ อาจทำให้ปีศาจฆาตกรจนปัญญาแม้จะพยายามใช้มายากลจนหมดภูมิแล้วก็ตาม
ทุกคนในบ้านแยกย้ายกันกลับห้องนอนของตนเมื่อสี่ทุ่ม และแน่นอนว่าไม่มีใครลืมปิดประตูหน้าต่างห้องนอนของตนอย่างแน่นหนา คนรับใช้หนุ่มสองคนตื่นอยู่ยามตลอดคืนในห้องคนรับใช้ที่อยู่ติดกับประตูทางเข้าตัวเรือน ส่วนภายนอกอาณาบริเวณคฤหาสน์มีตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าระวังอยู่หน้าประตูใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เจ้าหนุ่มจิโรขึ้นเตียงนอนแต่ก็ยังไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทลงได้ แม้คนอื่น ๆ จะสบายใจคลายกังวล แต่จะให้เขาพลอยสบายไปด้วยได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นพฤติกรรมอันประหลาดพิสดารเหนือมนุษย์ของปีศาจมายากลคนนี้มาหลายช่วงตอนนั้น
จิโรได้ยินเสียงระฆังดังมาจากหอนาฬิกาที่ได้ชื่อว่าหอนาฬิกาปีศาจที่อยู่สูงเหนือหัวของเขาขึ้นไปตีบอกเวลาห้าทุ่มและหลังจากนั้นราวสามสิบนาทีเห็นจะได้อยู่ ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังแว่วมา
ได้ยินซิ...ได้ยินจริง ๆ ไม่ใช่หูฝาด เสียงขลุ่ยหวีดหวิวสะเทือนขวัญ ท่วงทำนองเดียวกับที่แว่วมาเมื่อครั้งที่นายฟุกุดะ ถูกสังหารโหด
จิโรกุมด้ามปืนพกที่เตรียมไว้กระชับมือก่อนกระโจนลงจากเตียง แม้จะไม่แน่ใจว่าเสียงขลุ่ยเป็นสัญญาณแจ้งว่าฆาตกรใจโหดลงมือสังหารเหยื่อของมันแล้วหรือกำลังจะลงมือ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเสี้ยววินาทีแห่งวิกฤติโดยแท้ ชายหนุ่มไม่มีเวลาแม้จะไปปลุกคนในบ้าน ได้แต่ออกวิ่งไปบนเฉลียงทางเดินที่ยาวเหยียดของเรือนฝรั่ง ตรงไปตามทิศทางของเสียงขลุ่ยพลางวิ่งแผดเสียงเว้ยเฮ้ยเอ็ดอึงไปด้วย ราวกับกำลังวิ่งไล่ตะเพิดนกประหลาดที่หลงหลุดเข้ามาในบ้าน ขณะวิ่งไปด้วยและครุ่นคิดถึงที่มาของเสียงประหลาดไปด้วยอยู่นั้นเอง จิโรก็เอะใจขึ้นมาว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปทางห้องนอนของทาเอโกะน้องสาวของเขามิใช่หรือ...หรือว่า หรือว่าเยื่อรายที่สามของปีศาจฆาตกรคือน้องสาวของเขาเอง...เหตุผลหลาย ๆ อย่างประดังประเดเข้ามาสอดคล้องกันอยู่ในห้วงคิดของเจ้าหนุ่ม
และพอเขม้นมองไปที่ประตูห้องนอนของทาเอโกะ จิโรก็เห็นเงาดำ ๆ ของร่างประหลาดเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น เจ้าหนุ่มหยุดชะงักอยู่กับที่ เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมาจากรักแร้จนวาบไปทั้งตัว ในที่สุดเขาก็ได้เผชิญหน้ากับมัน...ปีศาจฆาตกรสยองขวัญ จิโรเค้นเสียงอย่างเอาไปเอาตายกว่าจะหลุดคำขู่ออกมาได้ แต่มือที่ถือปืนอยู่สั่นสะท้านไม่น่ามีพิษสงดังคำขู่นั้น
“ใคร...แกคือใคร หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ยังนั้นข้ายิงแน่”
“นั่นคุณจิโร หรือครับ”
ร่างประหลาดที่ขานรับเจ้าหนุ่มจิโรคือตาเฒ่าโอโตคิจิ...นี่มันอะไรกัน
“ผมได้ยินเสียงขลุ่ยฟังดูน่าประหลาดก็เลยออกมาตรวจดู เดินตามเสียงมาถึงห้องคุณหนู แปลกมากครับ”
“อย่างนั้นรึ พยายามเปิดประตูซิ ถ้าไม่ได้ก็พังประตูเข้าไปเลย”
จิโรตะโกนสั่งเสียงกร้าว ดีที่ประตูไม่แข็งแรงเท่าประตูห้องของนายฟุกุดะ ใช้แรงคนเพียงสองคนช่วยกันกระแทกก็เปิดกว้างออก
จิโรกับตาเฒ่าถลันเข้าไปในห้อง และทันทีที่เห็นภาพภายในห้องชายต่างวัยก็แผดเสียงลั่นราวกับไม่ใช่เสียงมนุษย์ มนาออกมาพร้อมกัน
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
เจ้าหนุ่มจิโรไม่อาจเดินผ่านไปได้ เขาเปิดประตูไม้ระแนงก้าวเข้าไปในสวน เลข 8 เริ่มจากกลางลานทราย ทิ้งระยะตัวละประมาณ 2 เมตรเป็นแนวไปทางเรือนฝรั่ง จิโรเดินตามอักษรปริศนาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงมุมตึกฝรั่ง...
ชินอิจิหนุ่มน้อยวัยสิบขวบนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้น กำลังสาละวนอยู่กับการใช้เหล็กแหลมคล้ายตะปูขีดเขียนเลข 8 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตัวที่สิบกว่าเท่าไรแล้วลงบนพื้นดิน
“ชินจัง ทำไมถึงเขียนแต่เลข 8 อย่างนั้นล่ะ”
ชินอิจิสะดุ้งหันมามองคนทัก
“โอ๊ะ...คุณอานี่เอง เขาบอกว่าถ้าผมเขียนเลข 8 อย่างนี้ 64 ตัว จะพบกับอะไรดี ๆ ครับ”
“ใครบอกหนู”
“คนแปลกหน้าคนหนึ่งบอกผมครับ”
จิโรตัวเย็นขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล
“ที่ไหน”
“เมื่อกี้นี้เองครับ ตรงประตูใหญ่โน่น”
“เป็นคนท่าทางยังไง”
“อายุมากแล้วครับ แต่งตัวชุดฝรั่ง”
เป็นไปไม่ได้ ไม่อยากเชื่อว่านี่คือคำขู่ล่วงหน้าของฆาตกรใจโหดเช่นเดียวกับรายของนายฟุกุดะ ทว่าชายสูงอายุคนนั้นคือใคร และประสงค์อะไรจึงได้มาสอนเด็กชายน้อยให้ทำสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้
เจ้าหนุ่มจิโรกลับไปที่ห้องเขียนหนังสือของตนที่เรือนฝรั่งด้วยความรู้สึกเหมือนถูกฝันร้ายจู่โจมคุกคาม และเมื่อโผล่หน้าต่างมองลงไปก็เห็นเด็กชายชินอิจิ ยังก้มหน้าก้มตาเขียนเลข 8 อยู่อย่างขะมักเขม้น
ชายหนุ่มเห็นตาเฒ่าชื่อโอโตคิจิคนทำความสะอาดสวนที่เพิ่งจ้างเข้ามาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เดินออกมาจากด้านใน ถือง่ามหนังสติ๊กที่ทำเองจากกิ่งไม้ติดมือมาด้วย
“คุณหนู ตามีของดีอย่างหนึ่งจะให้ เอาไหมครับ”
ตาเฒ่าโอโตคิจิยิ้มพลางร้องทักเด็กชาย
“อะไรรึ ตา”
“ง่ามหนังสติ๊กไงล่ะ รู้จักไหมครับ”
“เอาไว้ทำอะไรรึ”
“ก็เอาไว้ยิงนก หรืออะไรก็ได้ นี่...ดูนี่นะ”
ตาเฒ่าพูดพลางเก็บก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาวางบนยางหนังสติ๊ก
“ตาเป็นนักยิงหนังสติ๊กมือฉมังเลยนะจะบอกให้ ตาจะยิงใบยาสึเดะใบใหญ่นั่นให้ดู ใบที่สองจากบนสุด ดูให้ดีนะคุณหนู...นั่นไง”
เชี๊ยะ...
“เห็นหรือยังครับ เก่งใช่ไหม เอาละทีนี้...แต่เอ๊ะ คุณพี่นั่งอยู่ที่ระเบียงนั่น กำลังดื่มอะไรอยู่...อ้าว ทำไมทำหน้านิ่วอย่างนั้นล่ะ...น้ำชาต้องขมแน่เลย คุณหนูดูนะ คราวนี้ตาจะยิงถ้วยนั่นให้ดู”
คำพูดของตาเฒ่านั้นแม้แต่เด็กชายชินอิจิก็ยังทำหน้าแปลกใจ แล้วผู้ใหญ่อย่างจิโรเล่ามีหรือจะไม่ตกใจเมื่อคิดว่าตาเฒ่าโอโตคิจิถ้าจะเสียสติไปแล้ว
เชี๊ยะ... ก้อนหินแล่นออกจากแหล่งพุ่งตรงไปยัง เสียงกระเบื้องแตกดังเปรื่องบนระเบียงชั้นเหนือขึ้นไปจากที่จิโรยืนอยู่ เขาได้ยินทาเอโกะอุทานเสียงแหลมด้วยความตกใจ นั่นหมายความว่ากระสุนของง่ามหนังสติ๊กที่ตาเฒ่ายิงขึ้นมานั้นถูกถ้วยชาตรงเป้าพอดี
ทาเอโกะคงออกมานั่งดื่มน้ำชาที่ระเบียงเพราะวันนั้นอากาศอุ่นกว่าที่ควรเป็นตามฤดูกาล
“ตาเล่นอะไรอย่างนั้น ตกใจหมดเลย”
“ขอประทานโทษครับคุณหนู ผม เล็งหนังสติ๊กไปที่นกกระจอกบนหลังคา ตั้งใจจะแสดงฝีมือให้คุณหนูชินอิจิดู แต่กลับพลาดไป”
ตาเฒ่าโกหกหน้าตาเฉย
“เฉียดไปนิดเดียว เกือบได้แผลแล้วไหมล่ะ หินนี่ก็ก้อนเขื่องทีเดียว เลิกเล่นซนแบบนี้ได้แล้ว”
ทาเอโกะบ่นอุบอิบ ตาเฒ่ายกมือขึ้นเกาหัวแล้วเงียบไป
เหตุการณ์ถึงจะมีเพียงเท่านี้และเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีสาระอะไร แต่สำหรับจิโรซึ่งประสาทกำลังตึงเครียดนั้นนับเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมองข้ามไปไม่ได้ ชายหนุ่มมองตามตาเฒ่าโอโตคิจิที่เดินกลับไป ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงราวกันว่าแกเป็นปีศาจฆาตกรใจเหี้ยมตัวจริง
เหตุการณ์แปลก ๆ 2 เรื่องที่ทำให้เจ้าหนุ่มจิโรเกิดความพิศวงสงสัยนั้นได้เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในวันรุ่งขึ้น ในวันต่อไป และต่อไป
วันรุ่งขึ้น จิโรซึ่งตื่นเช้ากว่าเคยออกไปเดินเล่นในสวน และพอเดินเรื่อย ๆ มาทางหน้าประตูทางเข้าเรือนฝรั่ง เจ้าหนุ่มพบตาเฒ่าโอโตคิจิกำลังใช้ผ้าเช็ดถูบานประตูด้วยท่าทางขยันขันแข็ง ทว่าเมื่อเพ่งมองไปก็พบว่าตาเฒ่าไม่ได้เช็ดถูทำความสะอาดประตูตามปกติ แต่กำลังเช็ดรอยชอล์กที่ใครสักคนมาขีดเขียดไว้บนประตู
จิโรหยุดชะงัก แล้วหลุดปากร้องบอกออกไป
“ตา...หยุดก่อน อย่าลบ”
ตาเฒ่าโอโตคิจิหยุดมือด้วยความตกใจ แกลบตัวอักษรออกไปเป็นส่วนใหญ่แล้วเหลือแต่เส้น ๆ เดียวที่ดูไม่มีความหมายอะไร
“ตาจำตัวหนังสือที่เขียนไว้ตรงนั้นได้นะ”
สายตาที่จ้องเขม็งอย่างเอาจริงเอาจังของจิโรทำเอาตาเฒ่าใจเต้นระทึก
“ครับ ไม่รู้ว่าใครมือบอน แย่จริง ๆ ครับ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตานึกดูให้ดี ๆ ตัวหนังสือที่ตาลบออกไปน่ะมันตัวอะไร คงไม่ใช่ตัวเลขหรอกนะ”
“ตัวเลข...เอ...จะว่าไปก็อาจเป็นตัวเลขก็ได้ ผมไม่ค่อยถนัดตัวหนังสือฝรั่ง อ่านไม่ค่อยออกครับ...อือม์ นั่นมันตัวเลขอะไรกันนะ”
“ตาลองเอานิ้วเขียนเป็นรูปเป็นร่างให้ดูซิ”
“ตัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นรูปเป็นร่างหรอกคุณ มีเส้นขีดขวางไปทางขวาแบบนี้ แล้วก็ลากเส้นเฉ ๆ ลงไปข้างล่าง”
“ตาเฒ่า...นั่นมันเลข 7 ไม่ใช่รึ”
“เออ...จริงด้วย เลข 7... เลข 7 ครับ”
เจ้าหนุ่มจิโรยืนตัวแข็งหน้าซีดขาว เมื่อวานนี้เลข 8 วันนี้เลข 7 จะว่าใครมือบอนเอาชอล์กมาเขียนเล่นก็ตามที แต่การพบตัวเลขที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเลขอะไรเช่นนี้จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ละหรือ และยิ่งเป็นลายมือแย่ ๆ อย่างคนมือบอนชอบขีดเขียนเล่นด้วยเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาแล้วอย่างเจ้าหนุ่มถึงกับขนลุก
วันรุ่งขึ้น จิโรเองตื่นขึ้นมาตั้งรับสถานการณ์ เจ้าหนุ่มรอคอยการค้นพบตัวเลขประหลาดนั้นอยู่นาน จนในที่สุดถึงกับต้องออกเดินหาเลข 6 ไปทั่วคฤหาสน์ เผื่อว่าจะพบที่ซอกมุมไหนสักแห่ง และแล้วก็พบตัวเลขประหลาดนั้นจริง ๆ โดยคราวนี้เด็กชายชินอิจิเป็นคนพบ
จิโรเดินหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอตัวเลขอะไรจึงเริ่มคิดว่าตนหวาดระแวงไปเองกับเรื่องที่ไม่มีมูลเหตุ และกลับไปที่ห้องส่วนตัวด้วยความรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ แต่พอกลับมาเข้ามาในห้องก็พบเด็กชายชินอิจิอยู่ที่นั่น พอเห็นหน้าเด็กชายก็ร้องทัก
“อาครับ ทำไมอาเล่นเปิดปฏิทินเอาไว้อย่างนี้ล่ะ วันนี้วันที่ 24 พฤศจิกายนต่างหาก แต่อาเปิดไว้ที่วันที่ 6 ธันวาคมนะ”
จิโรมองตามคำพูดของเด็กชายไปที่ปฏิทิน ก็เห็นเลข 6 เด่นชัดอยู่ตรงนั้น
“ชินจัง เล่นแผลง ๆ อย่างนี้ต้องเป็นฝีมือหนูแน่”
ผู้เป็นอาหัวเราะแต่เป็นหัวเราะที่ฟังดูฝืน ๆ เต็มทน เพราะรู้ดีว่าหลานชายไม่เล่นซนอะไรอย่างนั้น ต้องมีใครสักคนลอบเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขาแล้วฉีกปฏิทินให้แสดงตัวเลข 6 เด่นขึ้นมาแทนการเขียนอย่างสองรายแรก
จิโรพบตัวเลขสองตัวก่อนหน้านั้นที่นอกบ้านแต่ครั้งนี้พบในห้องส่วนตัวของเขาเอง แสดงว่าปีศาจฆาตกรบังอาจเข้ามาเดินไปรอบ ๆ คฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างอิสรเสรีโดยไม่มีใครเห็นตัวราวกับนักเล่นกล เมื่อมาถึงจุดนี้เจ้าหนุ่มคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานิ่งเงียบต่อไปอีกแล้ว
พลบค่ำวันรุ่งขึ้น นายทามามุระนั่งรถจากร้านในโตเกียวกลับคฤหาสน์ที่โอโมริโดยใช้เส้นทางถนนหลวงสายเคฮิน โดยมีจิโรลูกชายของเขานั่งมาด้วย ระยะนี้เจ้าหนุ่มคอยเฝ้าติดตามคุ้มครองบิดาด้วยความห่วงกังวลและเป็นทุกข์อย่างไม่มีใครสามารถประมาณได้
จิโรคิดอยากจะพูดอยากจะบอกบิดา แต่ก็พูดไม่ออกเพราะฉุกคิดขึ้นได้ว่าถ้าหากทั้งหมดนั้นเป็นการเล่นตลก ๆ ของใครซักคนก็จะทำให้บิดาที่มีธุระยุ่งอยู่ตลอดนั้นต้องมาวิตกกังวลและเสียงานเสียการกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าหนุ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้จนกระทั่งรถแล่นผ่านสถานีรถไฟโอโมริเข้าเขตยามาโนเตะ
ตะวันตกดินแล้ว คนขับรถเปิดไฟหน้าสว่างเป็นลำไปข้างหน้า
“คุณพ่อครับ ผมว่าเราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ”
จิโรตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสามวันที่ผ่านมาให้บิดาฟังคร่าว ๆ นายทามามุระฟังแล้วหัวเราะและว่า
“นี่เจ้าหมายถึงไอ้ฆาตกรใจโหดนั่นรึ นี่เราก็ระวังตัวกันดีอยู่แล้วไม่ใช่รึ พ่อจ้างคนรับใช้เข้ามาใหม่ตั้งหลายคน ส่วนตัวพ่อเองเจ้าก็คอยเฝ้าระวังใกล้ชิดออกอย่างนี้”
“ไม่ได้ครับคุณพ่อ เราจะประมาทไม่ได้ ถ้าผมคาดไม่ผิดตอนนี้ไอ้ปีศาจฆาตกรมันเข้ามาในบ้านเราแล้วนะครับ”
“บ้าน่า เจ้าคิดไปเองแล้วละ ใครจะลักลอบเข้ามาเดินไปมาในบ้านของเราได้โดยไม่มีใครเห็น ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่มากมายขนาดนั้น ถ้าเป็นนักเล่นกลก็ไปอย่าง”
“นี่ไงครับที่ผมบอกคุณพ่อว่าอย่าประมาท เพราะมันคือนักมายากล คุณพ่อน่าจะรู้ดีแล้วจากเหตุฆาตกรรมคุณอาฟุกุดะ”
พ่อลูกถกเถียงกันยังไม่ทันจะจบ รถก็แล่นมาถึงเขตกำแพงรั้วที่ทอดยาวตลอดอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์ทามามุระ
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า วันนี้เลข 5 ก็จะต้องปรากฏให้เห็นใช่ไหม ดูเหมือนเจ้าจะฝังใจเชื่อเอาจริง ๆ จัง ๆ นะจิโร” นายทามามุระพูดเจือเสียงหัวเราะ
พอรถแล่นมาถึงหน้าประตูใหญ่ คนขับรถก็หักเลี้ยวพารถผ่านซุ้มประตูเข้าไปภายใน ลำแสงสีส้มของไฟหน้ารถส่องกราดเป็นวงไปบนกำแพงคอนกรีตข้างซุ้มประตู ดูราวภาพลวงตา
“ผมเชื่อเกือบทั้งหมดเลยละครับ เกือบ...”
จิโรพูดได้แค่นั้นก็ชะงักไปในอึดใจนั้น แล้วร้องสั่งคนขับรถ
“หยุดรถเดี๋ยวนี้ อย่าขยับเลยทีเดียว”
แล้วตะโกนบอกบิดาด้วยเสียงที่แปลกไปราวคนละคน
“คุณพ่อดูนั่น ดูนั่นซิครับ”
ดูนั่นซิ...ในวงลำแสงของไฟหน้ารถที่ฉายจับรั้วคอนกรีต เลข 5 ปรากฏขึ้นมาราวกับภาพกลุ่มเชื้อโรคที่เห็นเวลาส่องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชวนให้ขนลุก... ใช่ไหม นั่นเลข 5 ใช่ไหม
ตัวเลขที่ดูเหมือนภาพลวงตาบนกำแพงคอนกรีตไหวตัวเล็กน้อยตามแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ใช่...ตัวเลขที่เขียนด้วยหมึกดำบนกระจกครอบหลอดไฟหน้ารถ ถูกลำแสงส่องฉายไปจับเป็นเลขตัวใหญ่น่ากลัวบนกำแพงรั้ว
จะว่าโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ตาเฒ่าโอโตคิจิเดินออกมาต้อนรับ และพอเห็นตัวเลขในวงแสงบนกำแพงแกก็อุทานเสียงดังอย่างประหลาด
“ใครมาเขียนอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ พวกแกรึ”
นายทามามุระเกรี้ยวกราดเอากับคนขับรถ
“ผมไม่ทราบอะไรเลยครับท่าน ไม่รู้ว่าใครมาเขียนไว้เมื่อไร”
คนขับรถเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ คิดว่าคงมีใครแวบมาเขียนระหว่างที่รถจอดอยู่หน้าร้านที่โตเกียว
ตัวเลขที่ฉายอยู่ในวงแสงทำเอานายทามามุระเองไม่อาจหัวเราะความคิดของลูกชายที่เขามองว่าเกิดจากความ ขี้ขลาดได้อีกต่อไป ประมุขของคฤหาสน์ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างรับประทานอาหารกับคนในครอบครัว และกระจายข่าวให้คนรับใช้ในบ้านรับรู้ทั่วกัน ทั้งยังแจ้งเรื่องนี้ไปยังสารวัตรนามิโคชิและเจรจาขอให้สถานีตำรวจท้องที่เพิ่มจำนวนตำรวจนักสืบที่ส่งมาเฝ้าระวังด้วย
คฤหาสน์ทามามุระตอนนี้จึงมีบรรยากาศราวกับบ้านผีสิง คนในบ้านต่างเงี่ยหูจับเสียงที่ผิดปกติและแปลกหู จนถึงกับหวาดผวาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของกันและกัน
พอตกเย็นพระอาทิตย์ยังไม่ทันลับขอบฟ้า คนรับใช้ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปปิดประตูหน้าต่างและตรวจดูอย่างถี่ถ้วนว่าได้ปิดสนิทดีแล้วทุกบาน คนรับใช้วัยหนุ่มวางยามผลัดเปลี่ยนเวรกันเฝ้าคฤหาสน์กันโดยไม่หลับไม่นอน ส่วนที่หน้าประตูใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีตำรวจนอกเครื่องแบบมาประจำการเฝ้าระวังอยู่เคร่งครัดพร้อมเพรียง ไม่เปิดช่องให้ใครก็ตามแม้กระทั่งนักมายากลที่ไม่ว่าจะเก่งกาจปานใดเล็ดรอดเข้ามาได้
ถึงกระนั้น ตัวอักษรประหลาดก็ยังปรากฏให้เห็นเป็นที่สะดุดตาอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งภายในคฤหาสน์ไม่เว้นวัน จะพูดถึงทีละเรื่องอาจทำให้ผู้อ่านเบื่อกันเสียเปล่า ๆ จึงสรุปให้ฟังอย่างย่นย่อคือ รุ่งขึ้นจากวันนั้นพบเลข 4 เขียนด้วยหมึกดำบนขวดนมสดที่ทาเอโกะดื่มทุกเช้า วันต่อมาพบเลข 3 ปรากฏอยู่บนใบไม้แห้งใบหนึ่งที่ปลิวเข้ามาทางหน้าต่างห้องอ่านหนังสือของเจ้าหนุ่มจิโร พบเลข 2 ในวันต่อมา และในที่สุดก็พบเลข 1 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ถ้านั่นเป็นคำขู่ล่วงหน้าว่าเหลืออีก 1 วันแล้วละก็ เหตุร้ายจะต้องเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 30 พฤศจิกายน
เหยื่อฆาตกรรมรายแรกคือนายฟุกุดะ คนที่สองคือนักสืบเอกอาเกจิ โคโงโร แล้วคนต่อไปที่จะตกเป็นเป้าสังหารของปีศาจฆาตกรใจเหี้ยมคือใคร ปีศาจร้ายส่งคำขู่มาแต่ละวันเป็นคำเตือนให้รู้ถึงวันที่มันจะลงมือแต่ไม่ได้ระบุตัวเหยื่อ ความคลุมเครือเช่นนั้นยิ่งทำให้ทุกคนในบ้านหวาดผวาเสียขวัญกันเป็นทวีคูณ
เช้าวันที่ 30 ทุกคนในคฤหาสน์ไม่มีใครออกไปข้างนอก แต่มารวมตัวกันอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งตั้งแต่เช้า ต่างคนต่างพยายามข่มความหวาดกลัวด้วยกันเล่นเกมกันบ้างพูดคุยกันบ้าง นายทามามุระประมุขครอบครัวหยุดงานที่ร้าน ทั้งยังเกณฑ์พนักงานวัยฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงห้าหกคนแม้คนถูกสั่งจะไม่เต็มใจ มาเป็นกำลังสมทบป้องกันการจู่โจมของปีศาจร้ายอย่างแน่นหนาอีกด้วย
ทว่า จนกระทั่งพลบค่ำสถานการณ์ภายในคฤหาสน์สงบดีไม่มีวี่แววว่าจะเป็นไปตามคำขู่ สองทุ่มก็แล้ว สามทุ่มก็แล้วไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แม้ว่าทุกคนยังไม่วางใจถึงกับคิดว่า...โธ่เอ๋ย ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ก็เริ่มโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อคิดว่าการวางกำลังป้องกันคฤหาสน์อย่างแน่นหนาขนาดนี้ อาจทำให้ปีศาจฆาตกรจนปัญญาแม้จะพยายามใช้มายากลจนหมดภูมิแล้วก็ตาม
ทุกคนในบ้านแยกย้ายกันกลับห้องนอนของตนเมื่อสี่ทุ่ม และแน่นอนว่าไม่มีใครลืมปิดประตูหน้าต่างห้องนอนของตนอย่างแน่นหนา คนรับใช้หนุ่มสองคนตื่นอยู่ยามตลอดคืนในห้องคนรับใช้ที่อยู่ติดกับประตูทางเข้าตัวเรือน ส่วนภายนอกอาณาบริเวณคฤหาสน์มีตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าระวังอยู่หน้าประตูใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เจ้าหนุ่มจิโรขึ้นเตียงนอนแต่ก็ยังไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทลงได้ แม้คนอื่น ๆ จะสบายใจคลายกังวล แต่จะให้เขาพลอยสบายไปด้วยได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นพฤติกรรมอันประหลาดพิสดารเหนือมนุษย์ของปีศาจมายากลคนนี้มาหลายช่วงตอนนั้น
จิโรได้ยินเสียงระฆังดังมาจากหอนาฬิกาที่ได้ชื่อว่าหอนาฬิกาปีศาจที่อยู่สูงเหนือหัวของเขาขึ้นไปตีบอกเวลาห้าทุ่มและหลังจากนั้นราวสามสิบนาทีเห็นจะได้อยู่ ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังแว่วมา
ได้ยินซิ...ได้ยินจริง ๆ ไม่ใช่หูฝาด เสียงขลุ่ยหวีดหวิวสะเทือนขวัญ ท่วงทำนองเดียวกับที่แว่วมาเมื่อครั้งที่นายฟุกุดะ ถูกสังหารโหด
จิโรกุมด้ามปืนพกที่เตรียมไว้กระชับมือก่อนกระโจนลงจากเตียง แม้จะไม่แน่ใจว่าเสียงขลุ่ยเป็นสัญญาณแจ้งว่าฆาตกรใจโหดลงมือสังหารเหยื่อของมันแล้วหรือกำลังจะลงมือ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเสี้ยววินาทีแห่งวิกฤติโดยแท้ ชายหนุ่มไม่มีเวลาแม้จะไปปลุกคนในบ้าน ได้แต่ออกวิ่งไปบนเฉลียงทางเดินที่ยาวเหยียดของเรือนฝรั่ง ตรงไปตามทิศทางของเสียงขลุ่ยพลางวิ่งแผดเสียงเว้ยเฮ้ยเอ็ดอึงไปด้วย ราวกับกำลังวิ่งไล่ตะเพิดนกประหลาดที่หลงหลุดเข้ามาในบ้าน ขณะวิ่งไปด้วยและครุ่นคิดถึงที่มาของเสียงประหลาดไปด้วยอยู่นั้นเอง จิโรก็เอะใจขึ้นมาว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปทางห้องนอนของทาเอโกะน้องสาวของเขามิใช่หรือ...หรือว่า หรือว่าเยื่อรายที่สามของปีศาจฆาตกรคือน้องสาวของเขาเอง...เหตุผลหลาย ๆ อย่างประดังประเดเข้ามาสอดคล้องกันอยู่ในห้วงคิดของเจ้าหนุ่ม
และพอเขม้นมองไปที่ประตูห้องนอนของทาเอโกะ จิโรก็เห็นเงาดำ ๆ ของร่างประหลาดเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น เจ้าหนุ่มหยุดชะงักอยู่กับที่ เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมาจากรักแร้จนวาบไปทั้งตัว ในที่สุดเขาก็ได้เผชิญหน้ากับมัน...ปีศาจฆาตกรสยองขวัญ จิโรเค้นเสียงอย่างเอาไปเอาตายกว่าจะหลุดคำขู่ออกมาได้ แต่มือที่ถือปืนอยู่สั่นสะท้านไม่น่ามีพิษสงดังคำขู่นั้น
“ใคร...แกคือใคร หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ยังนั้นข้ายิงแน่”
“นั่นคุณจิโร หรือครับ”
ร่างประหลาดที่ขานรับเจ้าหนุ่มจิโรคือตาเฒ่าโอโตคิจิ...นี่มันอะไรกัน
“ผมได้ยินเสียงขลุ่ยฟังดูน่าประหลาดก็เลยออกมาตรวจดู เดินตามเสียงมาถึงห้องคุณหนู แปลกมากครับ”
“อย่างนั้นรึ พยายามเปิดประตูซิ ถ้าไม่ได้ก็พังประตูเข้าไปเลย”
จิโรตะโกนสั่งเสียงกร้าว ดีที่ประตูไม่แข็งแรงเท่าประตูห้องของนายฟุกุดะ ใช้แรงคนเพียงสองคนช่วยกันกระแทกก็เปิดกว้างออก
จิโรกับตาเฒ่าถลันเข้าไปในห้อง และทันทีที่เห็นภาพภายในห้องชายต่างวัยก็แผดเสียงลั่นราวกับไม่ใช่เสียงมนุษย์ มนาออกมาพร้อมกัน